บางบอนฯ ตอนนี้เริ่มที่ภาพมุมสูง เห็นก้อนเมฆลอยล่องส่งภาษาเมฆทักทายกันอยู่ไปมา ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าละออตา (แน่ล่ะ..ท้องฟ้าก็ต้องสีฟ้าน่ะสิ--เสียงแซวมาจากตากล้อง) นอกจากเมฆแล้วบนท้องฟ้าก็ต้องมีนก ขาดไม่ได้เหมือนบอร์ดหนอนก็ต้องมี saranya_nok.worm หากขาดก็จะเหมือนผู้ใหญ่มาขาดทุ่งหมาเมิน สินเจริญขาดกะละแม (เกี่ยวอะไรกันฟะ--ตากล้องอีกแระ)
มันเป็นนกกระจอกพันธุ์ทาง พ่อกระจอกแม่นกเอี้ยง (กล้องซูมใบหน้า--มันขยิบตาขยับปากเหลืองยังกะทาขมิ้น "พ่อผมไม่ธรรมดา")
กระจอกน้อยพันธุ์ทางบินตุปัดตุเป๋สวนกับนกกางเขนสาวที่กำลังบ่ายหน้าไปบางเขน กระจอกพันธุ์ทางยักคิ้วให้ทีนึง กางเขนสาวแลบลิ้นตอบ เจ้ากระจอกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บินวนตีลังกาหนึ่งรอบก่อนตุปัดตุเป๋บินต่อ
เป็นความจริงที่ว่า 'นกบินไม่ทิ้งรอยเท้า' แต่สำหรับเจ้ากระจอกชักไม่แน่เสียแล้ว มันบินถึงไหนไม่เคยลืมทิ้งร่องรอยว่าตนเคยผ่านมาย่านนี้ (เป็นที่สงสัยแต่ไม่มีการยืนยันว่าบรรพบุรุษพันธุ์ทางของมันอาจติดนิสัยมาจากสุนัข)
เจ้ากระจอกเบ่งขี้ปุ๊ด! ทิ้งหลักฐานก่อนตุปัดตุเป๋บินจากไป
อุจจาระสีผ่องลอยลิ่วตามกฎแรงโน้มถ่วงถูกลมถองบิดเกลียวนิดหน่อยแล้วตีโค้งพองาม พลิกตัวอีกสองตลบก่อนปะทะหลังคาสังกะสีดัง แป๊ะ!
เบี้ยวสะดุ้งเฮือก!
เหลือบหลังคาแต่หาใส่ใจ มือยังสเก็ตช์ภาพตรงหน้า สำนักพิมพ์เร่งมาอีกแล้ว อาทิตย์ละตอนทำให้เบี้ยวมีรายได้เพิ่มนิดหน่อย แต่นักเขียนตัวแสบกว่าส่งงานแทบคาบเส้นยาแดง เหลือเวลาให้เบี้ยวนั่งอ่านนั่งคิดและลงมือเขียนภาพไม่ถึงสองวัน แต่ละครั้งต้องเร่งหูตาเหลือก เป็นหยั่งงี้งานภาพประกอบของหลาย ๆ คนจึงออกมาแบบขอไปที ผู้อ่านที่ไหนจะรู้ที่มาที่ไป
'มันจะเขียนไว้ล่วงหน้าสักหลาย ๆ ชิ้นไม่ได้หรือไงฟะ?' เบี้ยวคิด
อาชีพนักเขียนภาพประกอบต๊อกต๋อยจะไปมีปากเสียงอะไรสู้กับนักเขียนใหญ่ ได้งานก็บุญโข หากคิดสะเออะเรื่องมาก ดีไม่ดีสำนักพิมพ์หาคนแทนเป็นอันได้อดข้าว คนเขียนภาพประกอบคงไม่ต่างภาพประกอบที่เขียน ชื่อก็บอกว่าประกอบ ทำหน้าที่แค่เสริมเพิ่มรสให้ตัวหนังสือไม่มีความหมายมากไปกว่านั้น ผู้อ่านสนใจแต่เนื้อหา ภาพประกอบดูแล้วก็ลืม บางครั้งเบี้ยวรู้สึกว่าความตั้งใจที่บรรจงรังสรรค์งานทุกชิ้นเป็นแค่ลม ลมที่ลอยหายไปในอากาศ
บรรยากาศในรูปสลัวราง กระจกหลังบาร์เหล้าสะท้อนเงาไฟภายในร้านคาราโอเกะ เบี้ยวลงสีเจ้าแมวขนตางอนผูกโบว์แดงรอบคอ "คนบ้าอะไรนั่งพูดกับแมว" เบี้ยวพึมพำ ก่อนเซ็นชื่อตัวเล็ก ๆ ตรงขอบรูป
เสียงเคาะประตู ป๊อก! ป๊อก!
เบี้ยวหันมอง คนเคาะเข้ามายืนในบ้านเรียบร้อยแล้ว
"ทำไรเพ่?" ไอ้จูร้องทักโผหาตู้เย็นยี่ห้อเจนเนอร์รอลอิเลคตริกทรงรถโฟล์ค
"นั่งขี้มั้ง" เบี้ยวตอบ
"แหม..ถามดี ๆ ตอบกวน คงนึกว่าเท่" มือเปิดฝาตู้เย็น ก้มตัวส่ายตามอง ทั้งตู้พบแต่น้ำเปล่าขวดเดียว
"ตู้เย็นก็ใหญ่" คว้าขวดน้ำปิดฝาตู้ดังปัง! "มีแค่น้ำเปล่า"
"เราไม่นิยมน้ำอัดลม ดื่มน้ำเปล่าดีแล้ว ตรงประเด็น"
"ขี้ตืดไม่ว่า" ไอ้จูงึมงำ
เบี้ยวไม่สนใจ นั่งสำรวจภาพนังแมวผูกโบว์ตรงหน้า ไอ้จูรินน้ำใส่แก้วยกซดแล้วทิ้งตัวบนโซฟาแดงมีรอยขาดผ่ากลางเบาะ เสียงสปริงร้องเอี๊ยดอ๊าดต้อนรับก้นจู
"พวกซอยห้าเค้าหารายได้พิเศษกันใหญ่ พี่ไม่สนใจบ้างเรอะ?"
"ยังไง?" เบี้ยวถาม
"รับกางเกงยีนส์มาแกะด้าย" จูตอบ "รายได้ไม่เลวนา"
"เราแค่เขียนภาพประกอบของนักเขียนขึ้นอืดคนนี้ให้ทันเวลาก็แทบบ้าตาย จะเอาเวลาที่ไหนหารายได้พิเศษ"
"พี่ล่ะก้อ.." ไอ้จูนั่งไขว่ห้างกางมือ เอนหลังพิงพนัก "คิดหยังงี้ถึงไม่รวยสักที"
"ยังไง?" เบี้ยวถาม
"คนจีนว่าจงนั่งเก้าอี้สามขา (เก้าอี้คนจีนมีสามขา--ผู้เขียน) หมายความว่าให้ทำงานสามอย่างในเวลาเดียวกัน" ไอ้จูกระดิกปลาย teen ประกอบเพลงฤทธิ์มีดสั้น "เผื่อว่างานหนึ่งติดขัดเกิดปัญหา รายได้ก็ยังไม่ขาดมือ" ไอ้จูเปลี่ยนจังหวะเป็นฮิบฮอบ "ทำอย่างพี่ เกิดอะไรขึ้นมามีหวังเจ๊งบ๊ง"
"อ้าว.." เบี้ยวอ้าว
"ว่าแต่พี่รับหนังสือพิมพ์อะไร?"
"หนังสือพิมพ์..?" เบี้ยวงง
"งงอะไร ก็หนังสือพิมพ์ที่ชาวบ้านชาวช่องอ่านกันไง"
"โธ่จู..เราก็อ่านของแปะอยู่ทุกวันจะต้องเสียตังค์ซื้อทำไม"
"เออ..ก็จริง" ไอ้จูผงกหัวหงึก นั่งมองเบี้ยวล้างพู่กัน มันสูดลมผ่านไรฟันเสียงดังฟีด ๆ เบี้ยวหันมองแล้วหันกลับ
"พี่ทำงานแบบนี้ไม่มีอะไรค้ำประกัน เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยจะเอารายได้จากไหน" ไอ้จูขยับก้นเสียงสปริงลั่นเอี๊ยด "พี่น่าทำประกันสุขภาพไว้บ้างนา"
"เราไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่" เบี้ยวยังก้มหน้าล้างพู่กัน "นาน ๆ เป็นหวัดที นายอย่ามากังวลแทนเราหน่อยเลย"
"วุ้ย! พูดกับพี่ชักไม่รู้เรื่อง" ไอ้จูลุกพรวด "ไปล่ะ ยังมีธุระอีกเยอะ"
"โชคดี" เบี้ยวลาไม่ทันจบ ไอ้จูปิดประตูดังปัง!
2
แดดบ่ายเล่นซ่อนหาหลังทิวเมฆ อากาศร้อนกำลังดี ท้องฟ้าสีฟ้ากำลังงาม นกกระจอกพันธุ์ทางตัวเดิม (จำปากเหลืองละออของมันได้) กำลังบิดตุปัดตุเป๋ ใช้ปีกข้างขวาปาดเหงื่อบนหน้าผาก กล้องซูมที่ใบหน้า มันขยิบตา พูดว่า "หลายวันต่อมา"
เบี้ยวไม่ได้เจอไอ้จูหลายวันแล้ว นึกสงสัยหายหัวไปไหนของมัน ยามบ่ายที่เคยโผล่ไปซดโอเลี้ยงร้านแปะก็ไม่ไป เบี้ยวปั่นจักรยานไปบ้านไอ้จู เห็นมันยงโย่ยงหยกล้างรถเข็นอยู่หน้าบ้าน
"ทำไร?" เบี้ยวถาม
"นั่งขี้มั้ง" ไอ้จูตอบ
"แหม ถามแค่เนี้ยตอบกวนคงนึกว่าเท่" เบี้ยวกระเซ้า
"พี่มีไรให้รับใช้บอกได้เลย จูเซอร์วิสพร้อมบริการ" ไอ้จูล้างรถเข็นพลางงำเพลงยิ่งรักยิ่งเจ็บของกอล์ฟ-ไมค์
"ไม่มี" เบี้ยวบอก "เห็นไม่ไปร้านแปะเลยมาดูเสียหน่อย"
"ไม่ค่อยว่างนะเพ่" ไอ้จูลุกขึ้นคว้าสายยางฉีดน้ำ"ผมไม่เหมือนพี่ มีเวลานั่งเอ้อระเหยดูดโอเลี้ยง"
"ดูดโอเลี้ยงไม่ดีตรงไหน?" เบี้ยวถาม
"ไอ้ดีน่ะมันก็พอจะดี แต่เสียเวลา" ไอ้จูหันมองแล้วส่ายหน้า "คนรวยเค้าใช้เวลาทุกนาทีหาเงินทอง ตอนหลับเงินก็ยังงอกเงยเค้าถึงได้รวย คนซอยเรามัวแต่นั่งดูดโอเลี้ยงถึงได้จนกันอย่างที่เห็น ๆ"
ไม่พูดเปล่ามันเลิกคิ้วหลิ่วตามองเบี้ยว เบี้ยวเลิกลั่กว่าจะมาชวนไปนั่งร้านแปะเสียหน่อยเป็นอันยกเลิก
"แล้วนั่นจะขายอะไร?"
"ยังมีเวลาว่างช่วงเย็น ว่าจะขายน้ำเต้าหู้ปากซอย" ไอ้จูหยิบผ้าเช็ดรถ "ผมซื้อฟรานไชส์มาเชียวนาเพ่ คนในซอยเราจะได้กินอะไรที่มีประโยชน์บ้าง ไม่ใช่ติดแต่กาแฟโอเลี้ยงแปะ" มันเลิกคิ้วเหลือบมองอีกแระ
เบี้ยวไม่อยากต่อปากต่อคำ หันจักรยานปั่นจากไปเงียบ ๆ
3
ท้องฟ้าหลายวันมานี่เป็นสีเทา ไม่ใช่มองผิดหรือมองผ่านแว่นกันแดดแต่ท้องฟ้าสำหรับเบี้ยวเป็นสีเทาจริง ๆ หากเพื่อนที่เคยพบปะพูดคุยกันทุกวันห่างหายไป ท้องฟ้าของคน ๆ นั้นคงไม่มีวันเป็นสีอื่นไปได้ ไม่เฉพาะท้องฟ้า ก้อนเมฆ นกที่บินผ่านไปมาก็เป็นสีเทา ไม่เว้นแม้เจ้ากระจอกพันธุ์ทาง ท่าบินตุปัดตุเป๋ทำให้จำได้ว่าเป็นมัน วันนี้มันดูหดหู่ซึมเซากว่าทุกวัน กล้องซูมใกล้ มันใช้ปีกข้างซ้ายปาดหน้าผากแล้วสบัด เม็ดเหงื่อปลิวราวฝนร่วง มันหันมองกล้อง ส่งเสียงละห้อยละเหี่ย "หลายวันต่อมา" ก่อนบินตุปัดตุเป๋จากไปไม่ลืมทิ้งร่องรอย ปุ๊ด!
เหมือนฟิล์มย้อนต้นม้วน (หากจำไม่ได้กรุณาย้อนกลับไปย่อหน้า ๖) ผิดแต่วันนี้ทุกอย่างเป็นสีเทา เบี้ยวยินเสียง แป๊ะ! บนหลังคาแต่ไม่ได้แหงนมอง มือยังคงปัดพู่กันลงสีสุนัขขนทองผูกหูกระต่ายแบบหมีพูห์
ประตูถูกผลักผัวะ!
ไอ้จูวิ่งหน้าตื่นเข้ามา ยืนหันรีหันขวาง หันซ้ายหันขวา หันหน้าหันหลัง เบี้ยวชี้พู่กันในมือ
"โน่นห้องน้ำ"
"ใช่! ใช่! ห้องน้ำ!" ไอ้จูละล่ำละลัก จ้ำพรวดเข้าห้องน้ำ เปิดประตูโผล่หน้าออกมา "ใครมาหาบอกผมไม่อยู่นะ"
ไม่สิ้นคำก็ได้ยินเสียงทุบประตู ปัง! ปัง! ไอ้จูรีบมุดเข้าห้องน้ำ เบี้ยวลุกจากเก้าอี้ทั้งมือยังถือพู่กัน เปิดประตูบ้านออกมา
ข้างนอกมีคนร่วมสิบส่งเสียงเอะอะลั่น เบี้ยวปิดประตูสูดหายใจลึก
"มีธุระอะไรครับ?"
"ผมเห็นคุณจูวิ่งมาทางนี้" ชายหนุ่มผูกไท หน้ามันแผลบร้องบอก
"ใช่! เราก็เห็น" คนที่เหลือส่งเสียง
"มีธุระอะไรกับจูครับ?" เบี้ยวถาม
"คุณจูค้างค่างวดมาหลายงวดแล้ว" หนุ่มผูกไทบอก
"เงินประกันที่รับจากลูกค้าก็ไม่ยอมส่ง" หญิงสาวสวมแว่นกันแดดพูดเร็วปรื๋อ
"ค่าหนังสือพิมพ์ก็ไม่ไปเคลียร์..."
เบี้ยวได้ยินแค่นั้นเพราะพวกที่เหลือแย่งส่งเสียงเอะอะพูดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ผ่านไปครู่ใหญ่เหตุการณ์จึงคืนสู่ความสงบ เบี้ยวเปิดประตูเดินกลับนั่งเก้าอี้จุ่มพู่กันลงสีเหลืองทองบนภาพสุนัข
ไอ้จูค่อย ๆ แง้มประตูห้องน้ำโผล่หน้าออกมา
"ไปกันแล้ว?" มันถาม
เบี้ยวพยักหน้า ไอ้จูถอนหายใจเฮือก ยืดอกเดินออกจากห้องน้ำ สะบัดแขนประกบสองมือพนมโค้งตัวอย่างสวยงาม
"ขอบคุณพี่มาก ไม่ได้พี่ผมแย่เลย"
"อืมม์..ไม่เป็นไร" เบี้ยวลงสีแดงเสื้อเจ้าสุนัขขนทอง
"ว่าแต่.." ไอ้จูเขยิบยืนใกล้ทำสีหน้าท่าทางประจบประแจง "พี่ทำอย่างไรพวกนั้นถึงได้ยอมกลับไป?"
"เราบอกให้ไปรอที่บ้านนาย เดี๋ยวเย็น ๆ แม่ไอ้จ้อยเลิกงาน ทุกคนก็จะได้เงินครบจำนวน"
ร่างไอ้จูหงายผึ่งลงบนโซฟา เสียงสปริงร้องลั่น ไม่มีเสียงจากไอ้จู เห็นแต่สปริงดีดออกมาเด้งดึ๊งดึ๊ง เบี้ยวไม่ได้ใส่ใจเพราะต้องเสร็จงานตรงหน้าส่งสำนักพิมพ์ภายในวันนี้ เจ้านักเขียนใหญ่คนนั้นส่งงานช้าอีกแล้ว มีเวลาเขียนภาพประกอบวันเดียว เบี้ยวเซ็นชื่อตรงมุมภาพปากพึมพำ "คนอะไรพูดกับหมา.."
OOO
ขอบคุณท่านจิน ท่านสายสำหรับปรู๊ฟคำ
จดหมายถึงเถ้าดิลล์ ณ ปลายนาเมืองระโนด
ตอบลบสวัสดีท่านดิลล์ที่เคารพรัก
ปกติบทเริ่มต้นของจดหมายสักฉบับ คงหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า “เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย” แต่ข้าพเจ้าจะไม่ถามแบบนั้นหรอกนะ เพราะการได้เห็นตัวอักษรของท่านเริงร่าอยู่เบื้องหน้า หรือขนำที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ข้าพเจ้าก็คงไม่คิดเป็นอื่นนอกจากสรุปได้เพียงอย่างเดียวว่า ‘ท่านสบายดี’ หรืออย่างน้อยท่านก็ยังพอมีแรงกายแรงใจดำเนินชีวิตไปได้ปกติสุขดีอยู่
และข้าพเจ้าก็จะไม่บอกท่านหรอกนะว่าชีวิตช่วงนี้ของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ก็เหมือนกันนั่นแหละ แค่ท่านเห็นตัวอักษรของข้าพเจ้าเดินหน้า เชื่อว่าท่านคงสบายใจแล้ว
ข้าพเจ้าเชื่อเสมอมา ไม่ว่าชีวิตจะต้องพบเจอกับอะไร หากสิ่งที่รักยังอยู่กับเรา ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสสากัลย์ไปได้เลย มันก็แค่อุปสรรคขี้ปะติ๋วที่ไม่นาน เราก็ผ่านมันไป
เมื่อคืนดูรายการทีวีรายการหนึ่ง เป็นรายการแนวตลก พิธีการชายกล่าวแซวแขกรับเชิญสาวนางหนึ่งขณะที่เธอกำลังแสดงละครร่วมกับทีมงานของรายการว่า
“คุณเป็นผู้หญิงยิงเรือนะ ทำอย่างนั้นได้ยังไง”
(ประโยคอาจไม่เหมือนอย่างนี้เด๊ะ แต่ความหมายคงไม่ต่างกันเท่าไหร่)
คำว่า ‘ผู้หญิงยิงเรือ’ ในประโยคนี้ถ้าเอามาคิดให้ดี ข้าพเจ้าว่ามันให้ความหมายไปในแง่ดีนะ อาจหมายความว่า เรียบร้อย สงบเสงี่ยม เป็นกุลสตรี (หรืออะไรอีกมากมาย)
อย่างเช่น ‘เป็นผู้หญิงยิงเรือนะ ก็ต้องเรียบร้อยสิ ทำอย่างนั้นได้ยังไง’
ข้าพเจ้าว่ามันดูจะขัดแย้งกับความหมายเดิมที่ท่านหนุ่มฯ บอกมานะ หรือท่านว่าไง?
ข้าพเจ้าเคยสงสัยความหมายของ ‘ผู้หญิงยิงเรือ’ กับ ‘ผู้ชายพายเรือ’ สองคำนี้มานานแล้ว คงเป็นตั้งแต่สมัย ม.ปลาย (คิดดูสิ ความสงสัยของข้าพเจ้ายาวนานขนาดไหน) เคยสอบถามจากเพื่อนหรือคนรู้จักที่พอจะสอบถามได้ ทุกคนต่างทำตาปริบๆ แล้วเมินหน้าหนี นานๆ ไปข้าพเจ้าก็ไม่ใส่ใจที่จะหาคำตอบอีก ได้ยินคำนี้ทีไรก็กล้อมแกล้มตีความหมายไปตามประสา คล้ายๆ จะเข้าใจ แต่ลึกลงข้างใน เหมือนมีบางอย่างคอยสะกิดย้ำเตือน
สองสามวันก่อนนึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ เลยลองถามท่านดู ที่ไหนได้ ท่านก็เป็นหนึ่งในผู้ทำตาปริบๆไปซะงั้น(แล้วยังมีหน้ามากลบเกลื่อน ขอเปลี่ยนคำถามอีกนะ คนเรา ไม่รู้ก็บอกไม่รู้สิ) ดีนะที่ท่านหนุ่มเป็นพระเอกขี่ม้าขาวพราวเฉิดฉายมาช่วยไว้ได้ทัน ไม่งั้นข้าพเจ้าคงนั่งหน้ามุ่ยไม่รู้ความหมายอยู่เช่นเดิม
แต่นี่แน่ะท่าน ฟังคำของพิธีกรหนุ่มเมื่อคืน ข้าพเจ้าก็พานคิดไปถึงคำอื่นๆ ที่พอได้สำเหนียกปลายติ่งหูมาบ้าง อย่าง
“เราเป็นผู้หญิงยิงเรือนะ อย่าเที่ยวไปไว้ใจผู้ชายพายเรือสุ่มสี่สุ่มห้า มันไม่ดี”
“เป็นผู้หญิงยิงเรือ ทำตัวอย่างนั้นใช้ได้ที่ไหน”
“เขาเป็นผู้ชายพายเรือไว้ใจเขาได้หรือ”
ประโยคเหล่านี้ มันสมองเท่าเสี้ยวฝุ่นผงที่มีอยู่ในหัวสวยๆ ของข้าพเจ้าพอจะวิเคราะห์ได้ว่ามันห่างไกลจากความหมายที่ท่านหนุ่มฯ ชี้แจงแถลงไขอย่างกะฝ่ามือนุ่มนิ่มกับฝ่าteenหยาบด้านเชียวแหละ ก็คิดดูสิ ผู้ชายพายเรือจะไปฝั่งนิพพานนะท่าน คนจะไปนิพพาน แล้วไยถึงไว้ใจไม่ได้? กล่าวมาถึงตรงนี้ก็ต้องสงสัยไปอีกว่า คนที่ยกสองคำนี้มาพูดกัน เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงหรือเปล่า หรือสักแต่พูดไปเพราะฟังตามๆ กันมา พูดไปเพราะมันเป็นคำติดปาก หรือเก้าลอเก้า
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ได้ฟังที่พิธีกรหนุ่มหน้าตาดีพูดไปเมื่อคืน ข้าพเจ้าคงนั่งงงเต็ก คิดในใจ
“ผู้หญิงยิงเรือมันเป็นยังไงฟะ ทำไมจะทำอย่างนั้นไม่ได้ แล้วต้องเป็นผู้หญิงยังไงถึงจะทำอย่างนั้นได้”
แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่สงสัยอะไรแล้วล่ะ มันอาจไม่ใช่แค่คำนี้หรอกที่เราใช้กันพร่ำเพรื่อโดยไม่รู้ความหมาย อย่างข้าพเจ้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใช้คำใดผิดความหมายไปบ้าง แต่ต่อไปก็จะพยายามใช้ให้ผิดน้อยสุดล่ะ
คุยกับท่านมาก็นานพอควรแล้ว คงต้องขอตัวไปสวีวี่วีก่อนแล้วล่ะ
(เข้าใจมั้ยสวีวี่วี แปลว่าอะไร?)(ถ้าทั่นไม่เข้าใจอยากจะบอกว่าข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัลล์ ฮา)
มีความสุขกับทุกเวลานะทั่น
เคารพรัก
สาวกรุง ดินแดง
ฟ้ามืดแล้วสวัสดิ์ขอรับ
ตอบลบเห็นตัวอักษรอ้วนท้วนก็ใช่ว่าร่างกายสุขสมบูรณ์ดอกขอรับ วิบากกรรมข้าพเจ้าสำหรับปีนี้ดูเหมือนต่อเนื่องไม่ยินยอมสุดสิ้นจนล่วงเข้าเดือนที่เก้าและบุญเดือนสิบเข้าให้แล้ว
ช่วงตลุยเขียน 'อหังการ์ฯ' ประลองกระบี่กับท่านหวัง ข้าพเจ้ากระเตงเจ้าไมเคิล ย้ายที่ไปโน่นที นี่ที บางครั้งบางดึกพายุมาซัดเต็นท์แทบปลิว น้ำไหลเข้าในด้วยความที่สภาพโทรมจัด ถุงนอนเปียกใช้งานไม่ได้ รอจนฝนหยุด ซับน้ำในเต็นท์ออกแล้วก็นั่งหลับไปทั้งทนหนาว
กระทั่ง 'เจ้าเบี้ยว' ตอนล่าสุด ข้าพเจ้ายกโต๊ะ (พับ) เก้าอี้ ย้ายไปย้ายมาหลบแดดอยู่ใต้เงาตาลอ่อน (ต้นยังเล็กใบบังเงาสูงพอดีหัว) ไม่มีไฟฟ้าใช้ เขียนด้วยดินสอบนสมุดนักเรียน นั่งเขียนไปก็ขำไป (มิต้องสงกา ข้าพเจ้าเส้นตื้น)
หากใครมาเห็นสภาพก็น่าทุลักทุเรศ แต่ข้าพเจ้าหารู้สึกรู้สม ใจจดจ่ออยู่แต่เขียนหนังสือ เรื่องอื่นรอบกายจะเป็นเช่นไร จะร้อนไอแดดจนผิวเกรียม นายช่างซ่อมขนำที่รับปากกันไว้จะมาวันใด? จะเบี้ยวไปรับงานอื่นเสียหรือไม? ก็มิได้นำมาวิตกเพราะใจไปจดจ่อเสียกับว่าจะปั่นตัวหนังสือตรงหน้านี้ออกมาอย่างไรดี
เรา--คนเขียนหนังสืออาจเป็นนักพรตลัทธิหนึ่ง
นักพรตที่ปฎิบัติธรรมด้วยบำเพ็ญอักขระบริกรรม ผ่านโลกหนาว-ร้อน ทุกข์-สุขด้วยอักษรภาวนา มิใช่จะไม่รู้สึกรู้สาหรืออดทนต่อร้อนหนาว นิวรต่าง ๆ ที่ตกกระทบก็หาไม่ ยังคงเป็นไปตามธรรมดาโลก เพียงเราผ่านวันเวลาที่หากมองด้วยสายตาปุถุชนอาจเห็นว่าเป็นเวทนามาด้วยหัวใจรื่นรมย์ ผ่านมาด้วยปกติสุข
ถึงวันนี้นายช่างจำเป็นกลับจากหว่านข้าวมาซ่อมขนำต่อ ข้าพเจ้าสวมบทลูกมือจำเป็นช่วยจับโน่นนี่ วันนี้ขนำซอมซ่อมีหลังคา, ประตู, หน้าต่างเรียบร้อย มีสะพานท่าน้ำสำหรับปฎิบัติโยคะยามเช้า ใช้ล้างจานโยนอาหารให้ปลา มีไฟฟ้าสำหรับต่อสายออกสู่ภายนอก (วันพรุ่งจะพยายามหาท่อเก่าต่อน้ำประปาอบต. ยังไม่รู้จะทำสำเร็จหรือไม่)
จากนี้นับว่ามีแหล่งอาศัยเป็นที่เป็นทาง ไม่ต้องผจญแดดฝนเหมือนเก่า เหลือเวลาอีกสามเดือนกว่า ๆ ก็จะสิ้นปี หากมองย้อนก็จะเห็นว่าปีนี้ข้าพเจ้าร่อนเร่ผจญวิบากกรรมเสียแปดเดือนกว่า เหลือเพียงสามเดือนกว่า ๆ ที่ชีวิตดูน่าจะปกติสุข สรุปทั้งปีแล้วข้าพเจ้าคงจมทุกข์เทวษเสียมากกว่ายินดีปรีดา แต่เปล่าเลย มองจากตัวอักษรก็จะเห็นดังที่ท่านเห็น
จิตใจข้าพเจ้าอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีมาแต่ต้นปี ตัวอักษรยังคงเดินหน้า (แม้จะกะพร่องกะแพร่ง) และแน่นอนไม่มีทีท่าอ่อนล้าประการใด จิตใจข้าพเจ้าก็เป็นเช่นลายอักษร ถึงเดือนเก้าย่างเดือนสิบ ยังอิ่มเต็มเป็นปกติ ด้วยทราบดีว่าตลอดมาไม่เคยเลยละปลายนิ้วไปจากสระพยัญชนะ หรือย้ายมโนนึกไปจากเนื้อหาที่ครุ่นคิดจะเขียน ยังเหลือความตั้งใจอยู่อีกประการคือจบนิยายของปีนี้ให้ได้สักเรื่อง หากทำสำเร็จก็นับว่าผ่านปีอย่างน่ารื่นรมย์
คงเป็นเยี่ยงพระพุทธองค์ตรัส 'ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม' สำหรับลัทธิญาณลิขิตอย่างเหล่าเราคงกล่าวเป็นว่า 'อักษรกรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติอักษรกรรม'
หวังท่านเองก็เช่นกัน
คารวะ
ป.ล. ยินดีที่ท่านกล่าวถึงนายพิธีกรสุดหล่อคนนั้นด้วยท่าทีเป็นกลาง ไม่ตำหนิติหยัน สำหรับสำนวนไทยนั้น ชั่วชีวิตสั้น ๆ ของเราคงเรียนไม่รู้จบสิ้นเนื่องเพราะระยะเวลาสั่งสมยาวนานเหลือเกิน อีกทั้งที่มาก็ใช่จะชัดเจนมั่นคง สำนวนเดียวกันบางครั้งมีหลากหลายที่มายากบ่งชัด และความที่ภาษาเป็นสิ่งเลื่อนไหล ทำให้ความหมายเดิมเปลี่ยนไปก็มาก (อย่างเช่น 'ห่อน' เคยหมายถึง 'เคย' กลับกลายเป็น 'ไม่เคย' ในเวลาต่อมา) (และที่มาของคำพิเคราะห์นี้ก็ใช่จะสมควรนำมายืนยันมั่นคง เราเพียงสดับและรับรู้)
การที่เราเรียนรู้และนำมาใช้ให้ตรงความ ก็ใช่อะไรอื่น เป็นการกระทำคารวะบูรพาจารย์ผู้สืบทอดสืบสานภูมิปัญญาอักขระไทยมาแต่ครั้งอดีต
เราน้อมรับผิดเมื่อยังไม่รู้ความด้วยตั้งใจเรียนรู้และปรับแก้ใช้ให้ตรงอย่างบุราณนิยม
มั่นใจว่าตราบใดเรายังใช้ภาษาไทย เราก็ยังมีที่ใช้ผิดอยู่เนือง ๆ นั่นมิใช่เรื่องประหลาดเลย หากจะประหลาดก็คือไม่เคยคิดแลกเปลี่ยน-เรียนรู้ คะนองมือหมิ่นของเก่าโดยเจตนา ซึ่งนั่นไม่มีอยู่ในสหายข้าพเจ้าเลยแม้น้อย
ป.ล.๒ ก็แล้ว 'สวีวี่วี' มีความเป็นมาอย่างไรเล่าขะรับ เกี่ยวกับสาวบ้านแต้เปล่า? (เห็นทีต้องรบกวนท่านหนุ่มฯ อีกสักครากระมัง..)