อสรพิษ : ผู้ยอมจำนนคือคนที่ตายแล้ว « Bookmoby:
'via Blog this'
อสรพิษ : ผู้ยอมจำนนคือคนที่ตายแล้ว
หมวดหมู่: news
อสรพิษ : ผู้ยอมจำนนคือคนที่ตายแล้ว
กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์
แดนอรัญ แสงทอง เป็นที่กล่าวถึงกันในวงวรรณกรรมไทยเป็นอย่างมากหลังปรากฏการณ์ที่เขาทำไว้ในยุโรป ผลงานชิ้นหนึ่งของเขาชื่อ “อสรพิษ” ซึ่งเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว (หรือบางท่านอาจกำหนดให้เป็นนวนิยายขนาดสั้น) ได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่มโดยสำนักพิมพ์เลอเซยของฝรั่งเศส ผ่านฝีมือการแปลจาก บรรณาธิการรุ่นลายครามผู้มีความสนใจวรรณกรรมไทยเป็นอย่างยิ่ง นามว่า มาร์แซลล์ บารังส์
มาร์แซลล์ บารังส์ พบความไม่ธรรมดาของอสรพิษทันที่หลังจากที่เขาอ่านจบ และนี่คืองานวรรณกรรมไทยแบบที่บรรณาธิการสมควรตะครุบไว้ ดูเขาให้คุณค่ากับงานของแดนอรัญมากเหลือเกิน มากกว่าเมื่อเทียบกับที่ผลงานของนักเขียนใหญ่ท่านอื่นที่เขาเคยแปลส่งเข้าสู่ตลาดวรรณกรรมในยุโรปไปแล้วอย่างชาติชาติ กอบจิตติ นิคม รายวา และเสกสรรค์ ประเสริฐกุล
งานเรื่องสั้นขนาดยาวชิ้นนี้กลายเป็นหนังสือเบสท์เซลเลอร์ในยุโรปได้อย่างไม่คาดฝัน ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ 6 ภาษา (อังกฤษ ฝรั่งเศส กรีก คาตาลัน โปรตุเกส เสปน) ส่งผลให้ผู้ประพันธ์ได้รับยศให้เป็น “อัศวิน” ประดับอิสริยาภรณ์ในลำดับชั้น Chevalier De L”Ordre Des Arts Des Lettres จากกระทรวงวัฒนธรรมและการสื่อสารของประเทศฝรั่งเศสเมื่อปีพ.ศ. 2551
.
.
.
.
.
.
.
.
.
อสรพิษ เป็นเรื่องราวของเด็กชายวัย 10 ปีผู้ต้องเผชิญหน้ากับงูเห่าขนาดมหึมา การต่อสู้อย่างดุเดือดในระยะประชิดระหว่างทั้งคู่นำมาสู่โศกนาฏกรรมพิลึกพิลั่น บังเกิดเรื่องราวสุดประหลาดกลางพื้นที่ชนบทเงียบสงบ
“แป” ชื่อของเด็กชายที่ได้รับการสถาปนา(ขนานนาม)ขึ้นอย่างไม่เป็นทางการขึ้นจากหมู่ชนด้วยเหตุอันเนื่องมาจากลักษณะทางกายภาพของเขาซึ่งมีแขนขวาลีบแปเพราะผลจากการพลัดตกจากต้นตาลสูง
ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ “แป” มีโลกใบเล็กที่ประกอบด้วยคนที่เขารักและรักเขา ได้แก่ พ่อกับแม่-ผู้ให้กำเนิดชีวิตเขาและให้การเลี้ยงดู ยายพลับพลึง-หมอตำแยผู้ทำคลอดและตัดสายสะดือให้เขา หลวงพ่อเทียน-ผู้เป็นคนตั้งชื่อที่แท้จริงให้เขา และวัวแปดตัว อันได้แก่ ไอ้ทุ่ง ไอ้ท่า ไอ้ป่า ไอ้เขา ไอ้เพชร ไอ้พลอย ไอ้เงิน และไอ้ทอง พ้นไปจากขอบเขตของโลกใบเล็กนี้แล้ว แปเป็นเด็กน้อยน่าขันที่(อาจถึงขั้น)ไม่เป็นที่ต้องการในหมู่บ้าน เนื่องจากการที่เขาไปมีเรื่องถึงขั้นลงไม้ลงมือกับลูกชายของผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ร่างทรงของ “เจ้าแม่แพรกหนามแดง” อันเป็นดั่งเทพเจ้าศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน และแน่นอน แปย่อมกลายเป็นศัตรูของร่างทรงผู้นี้ไปด้วยอย่างมิอาจเลี่ยง ชื่อของเขาคือ “ทรงวาด”
แต่แม้ทรงวาดจะจงเกลียดลงชังแปสักเท่าใด แปก็ไม่ได้เกลียดชังทรงวาด เขาเป็นเด็กจิตใจงาม รักสงบ และไม่คิดจะโต้ตอบความชิงชังนั้น ครั้งหนึ่งเขาถึงกับอธิษฐานขอพรจากเจ้าแม่คงคาในพิธีลอยกระทงว่า
“ขอให้เขาลงอย่าได้รู้สึกเกลียดชังทรงวาดและขอให้ทรงวาดจงอย่าได้เกลียดชังเขา”
คำอธิษฐานขอพรดังกล่าวได้รับการสำทับเพิ่มเติมจากหลวงพ่อเทียน-เจ้าอาวาสวัดแพรกหนามแดงผู้เป็นคนตั้งชื่อ(ที่แท้จริง)ให้กับเขาว่า
“คำอธิษฐานของเจ้าจะเป็นจริง มันจะเป็นจริงทุกประการ”
ซึ่งนั่นก็พอจะจินตนาการได้ว่าคำเหล่านี้เป็นกำลังใจและสร้างความรู้สึกดีๆที่ช่วยชโลมใจให้แปอยู่ต่อไปได้อย่างมีความสุข แม้จะเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งของหมู่บ้าน เด็กน้อยผู้เป็นส่วนเกินของชุมชนในความรู้สึกของทรงวาดและก็ไม่ได้มีค่าอะไรนักในสายตาชาวบ้านคนอื่น
วันหนึ่ง ชีวิตของแปก็ต้องมาเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตเมื่อเขาถูกจู่โจมจากงูเห่าเพศเมียขนาดยักษ์ซึ่งมีพละกำลังมหาศาล เขาต้องต่อสู้ด้วยแขนที่มีเพียงข้างเดียวในขณะที่งูเห่ายักษ์ก็พันรัดเขาไว้ทั้งร่างจนแทบจะเดินเหินไม่ได้ การต่อสู้อันยาวนานดำเนินไปจนพลบค่ำ แปสู้กับงูไปพลางก็เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากผู้คนต่างๆไปพลาง แต่ในที่สุดก็ไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายของเรื่อง ทรงวาดฉวยโอกาสแสดงตนในนามของเจ้าแม่แพรกหนามแดงซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน ประกาศว่าสิ่งที่แปได้รับเป็นโทษทัณฑ์จากเจ้าแม่แพรกหนามแดง และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายเชื่อตามคำของทรงวาดจึงไม่ลงมือเข้าช่วยชีวิตแป แม้กระทั่งผู้คนใกล้ชิดที่ดีกับเขามาตลอดก็เชื่อทรงวาดเช่นกัน เมื่อแปพบว่าตัวเขาไม่เหลือใครอยู่เคียงข้างอีกต่อไปจึงบังเกิดความสิ้นหวังอย่างที่สุด เขายอมแพ้พ่ายแก่งูตัวนี้ แบมือออก ยอมจำนนแต่โดยดี เพราะการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเหลือใครอยู่เคียงข้างไม่มีความหมายสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ทว่า เมื่อแปแบมือออกเขากลับพบว่างูตัวนั้นได้ตายจากไปนานแล้ว งูตัวนั้นไม่ว่ามันจะดีหรือเลวอย่างไร อย่างน้อยมันก็ยัง “สู้” จนถึงที่สุด ขณะที่แปยอมจำนนทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ความจริงที่ประจักษ์แจ้งแก่ใจของแปก็คือตัวเขาเองนั่นล่ะที่ได้ตายจากโลกไปแล้วอย่างแท้จริง และความจริงข้อนั้นก็ทำให้เขาหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งเนื่องจากเขาได้เสียสติไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
“สติของเขาวิปลาสโดยสิ้นเชิงแล้วนับตั้งแต่วินาทีที่เขาตัดสินใจยอมจำนนนั้น”
ความเข้าใจในชีวิตและความตายไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งสองสิ่งนี้วนเวียนกับทุกคนราวกับลมหายใจที่ผ่านเข้าออกอยู่ตลอดเวลา แต่บางที.. กว่าที่ใครสักคนจะรู้ความหมายที่แท้จริงของ “ชีวิต” และ “ความตาย” ก็อาจต้องใช้เวลาหลายปี กว่าจะเข้าใจ.. บางทีอาจยาวนานเกือบทั้งชีวิต และบางทีแม้ยังคงมี “ชีวิต” อยู่นั่นก็อาจสายเกินไป
เพราะเมื่อใดที่ยอมจำนน เราก็คือคนที่ตายแล้ว
อ่านเรื่องอื่นๆ ที่นี่
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น