"อา..จางกีย์รู้เป่าขลุ่ย!~?..โอ..นางช่างเต็มด้วยอารมณ์กระไรปานนั้น เพลิดแพร้วกระไรปานนั้น!"
"ยินท่านพร่ำถึงแม่นางจางกีย์ หรือท่านละลืมหลานฮัวที่ท่านพร่ำพิไรในตอนก่อนหน้าไปเสียแล้ว" เทพชฎาอ้อแอ้
"อา..ความรู้สึกล้ำลึก วาสนากลับเจือจาง เราสองคงไม่อาจสมใจ" เมฆากล่าวพลางส่ายหัวแบบงิ้วตอนลิโป้พบเตียวเสี้ยน หากคิดภาพไม่ออกลองตะแคงศีรษะ๓๕ องศาทางไหล่ขวาแล้วโยกไปข้างหน้าช้า ๆ รักษาองศาไว้ที่ ๓๕ ตลอดเวลาจากนั้นเวียนไปทางไหล่ซ้าย ด้านหลัง แล้วหยุดกึ้ก!ศีรษะตั้งตรง อา..นั่นล่ะใช่เลย! "นี่คนเขียน! เราสองคนกำลังคุยกันอย่าเขียนออกนอกเรื่องเซ่!" เมฆามันอ้อแอ้โวยวาย เทพชฎาสะกิดแขน กล่าวอย่างอ้อแอ้ "เมฆาท่านอย่าได้ตอแยคนเขียน" "ไยจึงตอแยไม่ได้!" ดูท่าเมฆามันไม่ยอมรามือ "ตัวละครในยุทธจักร์ยากเป็นตัวเอง คนเขียนเขียนเช่นไรเป็นเช่นนั้นหรือท่านไม่อยากตายดี!" เทพชฎารินยาดองลงจอก เมฆาขมวดคิ้วเป็นเสี้นตรง ขมวดจนเป็นปมใหญ่ ผ่านไปเนิ่นนานค่อยร้องขึ้นว่า "คิ้วข้าพเจ้า! คิ้วข้าพเจ้า!" เทพชฎาแตกตื่นยาดองกระฉอก บัดนี้หัวคิ้วเมฆาขมวดกันจนเห็นแต่หางคิ้วกระดิกอยู่ดิ๊ก ๆ เมฆาร้องลั่น "ช่วยที! ช่วยแกะให้ที!" เทพชฎาบ่นอ้อแอ้ "ดูท่าท่านเนี่ยจะเป็นคนคิดมากเอาการ" จากนั้นปีนขึ้นไหล่เมฆาพาดขากับต้นคอ พยายามกระชากคิ้วที่ขมวดมุ่นออกจากกัน เฮ้อ...ปล่อยสองคนไปตามเรื่อง คนเขียนก็อ้อแอ้..เอิ๊ก! OOO ท่านหวังที่เคารพ เห็นประชุมชาหลากรสหลายสีของท่านแล้วให้รัญจวนใจนัก น่าเสียดายหากสหายท่านเทพสมดุลยังป้วนเปี้ยนคงได้ชนจอกกันคนละป๊อกสองป๊อก แลกเปลี่ยนสนทนาเป็นที่เพลินอารมณ์ อืมม์ ๒ อันท่านโยนปุจฉา(เล่นๆ)แหมะไว้บนโต๊ะชานั้นเล่าก็เย้ายวนชวนให้วิสาสะแลกเปลี่ยนทัศนะประสบอ่านนัก น่าเสียดาย(อีกเช่นกัลล์)ที่สหายเทพสมดุลไม่อยู่เพราะท่านผ่านยุทธจักรตงง้วนมามากซอกหลายซอย จนแม้หากเปรียบผู้น้อยก็เป็นเช่นแมลงหวี่ที่มิบังอาจแม้จะซุกซอกจักแร้พญาอินทรี เรียนท่านตามสัตย์ ผู้น้อยนั้นอ่านมาน้อยกว่าน้อย บู้เฮียบผ่านตาเพียงไม่กี่เรื่องเล่ม ยิ่งเรื่องยาว ๆ หลายเล่มจบด้วยแล้ว อย่าว่าจะให้ผู้น้อยผ่านตาเลย แค่เหลือบมองก็ให้รู้สึกระย่นย่อ เข่าอ่อนแทบทรุดลงไปกองกับพื้นเป็นกองดินเหลว ๆ เสียแล้ว ในชีวิตต่ำต้อย ผู้น้อยเอาแค่คิดทำงานหาเงิน จนวันหนึ่งทำงานไม่ได้ขยับตัวไม่ได้ นอนแซ่วหยอดน้ำข้าวต้มจึงได้เห็นคุณของสิ่งที่ไม่เคยให้ค่า เห็นช่วงเวลาที่ผ่านเช้าค่ำเช้าค่ำเป็นเช่นกงล้อมีเจ้าหนูตะเภาขนสีชมพู(หน้าตาคล้ายข้าเจ้าเด๊ะ)กำลังวิ่งปั่นสุดฤทธิ์ นั่นแลผู้น้อยจึงได้คิดเอาเวลาที่เคยมุ่งแต่จะแลกเป็นตัวเลขในบัญชีมาเปลี่ยนเป็นตัวอักษรซอมซ่อไร้ค่าไร้ราคา ฉะนั้นต่อข้อถามของท่านที่คล้ายนักข่าวสัมภาษณ์หวงอี้เทพอักษรบูรพา หรือท่าน น.นพรัตน์ เปี๊ยบ ผู้น้อยมิบังอาจเสนอหน้ากล่าวตอบ (ถึงทราบดีว่าท่านถามเพียงวางหัวข้อสนทนาที่ประเทืองปัญญาในการแลกเปลี่ยนก็เถอะ) หากจะกล่าวถึงเพียงเลียบ ๆ เคียง ๆ พอจะได้ความว่าผู้น้อยหาได้มีทัศนะต่อตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง หรือรจนากรนามอุโฆษท่านใดท่านหนึ่งโดยเฉพาะ ด้วยเห็นว่าทุกท่านล้วนมีข้อดีข้อด้อยให้เราได้ศึกษาเรียนรู้ แรงบันดาลใจจากนักเขียนคนโปรดนั้นก็หามีไม่! ข้าพเจ้าหาได้มีนักเขียนคนโปรด ท่านมังกรโบราณนั้นเลิศสำนวนโวหารคมคิดคมคาย แต่พร่ำพิรี้พิไรไม่ลงมือสักที ท่านธรรมดาดั่งทองเล่าเป็นแบบอย่างชีวิตที่ดีงาม งานเขียนดุจอัญมณีเพริศแพร้วแต่ยาว(โคตร) อย่างที่เรียนท่าน ข้าพเจ้าเห็นแล้วได้แต่ทรุดเข่าคารวะ มีปัญญาอ่านของท่านเรื่องเดียวเก้ากระบี่เดียวดายนั่นเพราะแค่สี่เล่ม! (แม่เจ้า! นั่นคือยาวสุดที่ผู้น้อยมีปัญญาอ่าน) หากแต่แรงบันดาลใจนั้นเกิดจากพิสวาสอันมีต่อรูปแบบสยามภาษาอันท่าน ว.ณ เมืองลุง ได้ริเริ่มไว้ ท่าน น.นพรัตน์ สืบสานต่อ เป็นลักษณาภาษาไทยเดิมผสมผสานไวยากรณ์แบบจีน ก่อเกิดมรรคาแห่งภาษาที่กระชับฉับไว ละมุนไหว ปานหยดน้ำผึ้งสัมผัสลิ้นเพียงแผ่วแล้วซึมหาย แต่รสหวานนั้นยังกำซาบมิรู้วาย เป็นเพราะสองท่านปรมาจารย์ล้วนเลิศทางงานแปล อาศัยเลิศรุจีอัญมณีจากแดนมังกรประกอบกันจึงสามารถเปล่งประกายเฉิดฉัน ครั้นพญามังกรท่านหนึ่งเหินหาวคืนนภากาศ อีกท่านเก็บตัวจำศีลหยุดพลิกฟ้าคว่ำดิน มรรคาภาษาอันกระชับฉับหวานนั่นเล่า..จะเป็นเช่นไร? ผู้น้อยจึงเพียงภัสมะธุลีดินถมตนลง หวังเห็นมรรคาแห่งภาษาอันน่าหลงใหลนี้ทอดยาวไกลไม่มีวันสุดสิ้นสาย พบเจอท่านลงมือร่ายกระบี่เช่นนี้ ผู้น้อยจึงยินดีนัก สายน้ำนั้นเรื่อยไหล มันพลันทะยานกาย พลิกตัวกลางอากาศตวัดกระบี่ไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว! นั่นคือปณิธานของมือกระบี่ผู้หนึ่ง คารวะ
ผู้คนพากันจากไป
แผ่นดินแผ่นฟ้าจึงดำรงคงอยู่
..
..
มันยืนเหนือโขดหิน เงาของมันทอดยาวไปบนสายน้ำเอื่อยไหล
เป็นเงาที่โดดเดี่ยวเดียวดาย
ในมือมีกระบี่เล่มหนึ่ง
เป็นกระบี่ที่โดดเดี่ยวเดียวดาย
เพียงหวังสลักนามบนผิวน้ำ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น