กลับเข้าลันตา
เรามาถึงศาลาด่านตอนใกล้ค่ำ คิดกันว่าจะยังไม่เข้าอุทยานฯ เพราะคืนนั้นมีถ่ายทอดบอลพรีเมียร์(สองคนบ้าบอลพอกัน) เราวนเวียนหาร้านนั่งดูบอลได้แล้วปักหลักซดเบียร์เชียร์บอลจนจบจึงหาที่หลับนอน
สำหรับการเดินทางจาริกของผม ถือที่หลับนอนประเภทโรงแรม, รีสอร์ทเป็นบาปอย่างร้ายแรง ไม่เคยต้องการเสียค่าใช้จ่ายกับการหลับสบายไม่รู้เนื้อรู้ตัว สู้เอาค่าใช้จ่ายจำนวนนั้นไปนั่งซดเบียร์บนหาดทรายจนเช้ายังรู้สึกว่าคุ้มค่ากว่า
ผมไม่เคยเห็นด้วยกับผู้คนในเมืองที่ออกไปหาธรรมชาติเพื่อพักผ่อนแต่ยังโหยหาห้องนอนติดแอร์ ที่นอนนุ่ม ๆ อุ่น ๆ เหล่านั้นน่าจะเหมาะกับนักธุรกิจที่เดินทางติดต่อการค้า พวกเขาต้องการพักผ่อนอย่างเต็มที่ให้พร้อมสำหรับภารกิจวันพรุ่ง เพราะพวกเขาไม่ได้มาพักผ่อน!
ท่านเซ้งอาจจะคิดเห็นไปในทางเดียวกัน เราเวียนหาที่เอนหลังอยู่พักใหญ่ เจอลานโล่งหน้าห้องน้ำสาธารณะของตลาดนัดมีไฟสว่าง ดูแล้วเข้าทีมีห้องน้ำไว้ใช้งานตอนเช้า สองคนลงคะแนนเสียงเอกฉันท์เป็นอันจอดรถซดเบียร์โม้กันจนไม่รู้ใครเงียบเสียงไปก่อน
ฟ้าสว่างรำไรตอนผมลืมตา ปรับเบาะขึ้นคิดเปิดประตูรถออกไปฉี่ แต่ต้องตะลึง!
มองผ่านกระจกหน้ารถออกไป...มีผู้หญิงหลายคนกำลังนุ่งกระโจมอกอาบน้ำ!
มันเรื่องอะไรกันเนี่ย! ไม่ใช่มุกหลับฝันนะครับเรื่องจริง! ผมอึกอักไม่รู้จะเอาไงโผล่ออกไปกลัวพวกผู้หญิงกระเจิงเดินผ่าเข้าไปกลางวงกระโจมอกก็กระไรอยู่ อาศัยต้นไม้ละแวกนั้นก็ไม่ได้ ผมผลุบหัวเอนเบาะกลับลงไป กวาดตามองจึงได้เข้าใจ ถัดจากห้องน้ำสาธารณะเป็นที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้าง
ผมกลั้นฉี่รอจนพวกคุณเธออาบน้ำเสร็จ จึงเป็นเวลาของเรา
จากนั้นออกตระเวณแวะโน่นนี่ตามแต่ใจ ลันตามีถนนหลักเพียงสายเดียว ร้านค้าประเภทหนึ่งที่สะดุดใจผมคือ Re-production Art ซึ่งเห็นเกลื่อนที่ป่าตอง เฉวง ที่ลันตาเห็นอยู่สามสี่ร้าน ผมตั้งใจจะแวะดูให้ครบทุกร้าน ทีแรกก็เกรงใจคู่หูกลัวจะเบื่อเพราะท่านเซ้งไม่ใช่คนแนวทางศิลปะและดูจะเป็นการเอาแต่ใจเกินไปหากใช้เวลาแวะเฉพาะที่ตนสนใจโดยไม่ไถ่ถามสหาย นายเซ้งเออออไปไหนก็ไป ผมจึงใช้เวลาแวะเวียนดูงานศิลปะเหล่านั้น พูดคุยกับคนเขียนรูปเพราะอยากรู้วิธีคิด วิธีทำงานของพวกเขา ท่านเซ้งก็ร่วมแจมด้วยอย่างไม่มีอาการเบื่อหน่าย บางจังหวะยังพูดคุยถามข้อสงสัย ผมแปลกใจถามท่านเซ้งไปว่า "เฮ้ย! สนใจเรื่องทำนองนี้ด้วยเรอะ?" ท่านเซ้งบอกว่านี่เป็นวันพักผ่อนของเขา เขาพร้อมจะรับรู้ทุกเรื่องราวที่พบ ทำเอาผมอึ้งกับหลักคิดของเพื่อน
เราขับรถส่ายตามองไปเรื่อย ๆ เจอที่ไหนน่าสนใจ? ชอบร้านไหน? อยากกินอะไร? เราแวะหมด จนถึง Hucha-Hut ซึ่งผมหมายตาไว้
Hacha-Hut เป็นที่พักเล็ก ๆ มีห้องรวมหนึ่งหลัง บังกะโลสองหลัง ด้านหน้าติดถนนเป็นมุมขายของจิปาถะธูปเทียนเครื่องประดับผ้าบาติกจากอินเดีย เข้าไปนิดเดียวเป็นหาดทรายใต้ร่มไม้ มีเคาวน์เตอร์บาร์ ตั่งยกสูงกับหมอนขวาน ดำเนินกิจการโดยหุ้นส่วนวัยรุ่นผมยาวพูดลากเสียงสำเนียงแบ็งค์ค็อคเคี่ยน
Hach-Hut ทำเราตัดสินใจเถลไถลข้างนอกอีกคืนไม่ยอมเข้าอุทยานฯ ผมไม่ได้ทรยศต่อหลักการเรื่องที่พัก แต่เป็นเพราะที่พักเล็ก ๆ แห่งนี้น่าสนใจจริง ๆ โดยเฉพาะสาวญี่ปุ่นนักดื่มสองคนที่ชนเบียร์เขียวกับเราอย่างกะดื่มน้ำเปล่า
ได้ที่พักแน่นอนแล้ว ผมก็ออกตระเวนแวะเวียนร้านขายรูปต่อจนฟ้ามืดก็ยังนั่งคุยอยู่กับนักดื่มกินอุดมการณ์ผิวคล้ำผมยาวที่ไม่ยอมเขียนรูปโหลเพื่อผลิตขาย เขาเจรจาด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนไร้ความมั่นใจ ทุกถ้อยคำมีรอยยิ้มเล็ก ๆ แถมคนฟัง น้ำเสียงจะแจ่มชัดขึ้นเมื่อเอ่ยถึงงานเขียนที่เขารัก เขารักที่จะเขียนภาพในแนวของ “ถวัลย์ ดัชนี” ใช้เวลานานกว่าจะเสร็จสักรูปและอีกไม่รู้เมื่อไรจึงจะขายได้สักรูป รายได้จากการเขียนรูปไม่พอยังชีพเขาจึงต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งไปเป็นลูกจ้างทัวร์ช้างเดินป่า ว่างจากทัวร์จึงกลับมาเขียนรูป..เขายังคงยืนยันจะก้าวเดินตามวิถีของเขาต่อไป
ผมได้แต่มองหน้าท่านเซ้ง แค่วันเดียวเราพบเรื่องราวชีวิตที่ต่างกันราวฟ้ากับก้นเหว ก่อนแวะคุยกับนักเขียนรูปแนวถวัลย์ ดัชนีผู้นี้เราเพิ่งคุยกับไอ้หนุ่มแต่งตัวดี มีร้าน Re-Production Art ขนาดสามห้อง จอดโพล์คเต่า สกูตเตอร์เวสป้าลายดาเมเชี่ยลไว้หน้าร้าน พูดคุยด้วยมาดนักธุรกิจงานศิลป์อย่างรู้กลไกแนวโน้มการตลาด มาดมั่นภาคภูมิในการเติบโต(ทางการเงิน)ของตน ผมสอบถามด้วยความสนใจถึงเส้นทางสร้างเนื้อสร้างตัว เพราะคนที่เดินบนถนนศิลปะแล้วยังประสพความสำเร็จด้านการเงินด้วยนั้นนับเป็นแบบอย่างที่น่าศึกษา
"เมียผมเป็นคนที่นี่ ร้านนั่นก็ของพ่อตา" เขาว่าพลางชี้ไปที่ร้านอาหาร-เครื่องดื่มอยู่ติดกัน
แม้จะเดินบนเส้นทางสายศิลปะเหมือนกันแต่วิธีคิดที่แตกต่างกำหนดรูปแบบการดำเนินชีวิต "ท่านว่าสองคนนี้ใครประสพความสำเร็จในชีวิต?" ผมถามท่านเซ้งหลังเราลานักดื่มกินอุดมการณ์ ท่านเซ้งส่งเสียงอืมม์ในลำคอ ผมมองหน้า "นั่นคำตอบเหรอวะ?" ผมถาม ท่านเซ้งส่งเสียง "อืมม์"
เหตุที่ผมตั้งใจแวะพูดคุยกับนักเขียนภาพศิลปะลอกเลียนแบบเหล่านี้ เป็นเพราะผมสงสัยตลอดมาว่าทำไมพวกเขาจึงยินยอมเผาเวลาชีวิตทิ้งไปโดยสร้างงานที่ไม่มีวันได้เซ็นชื่อลงบนชิ้นงาน การกระทำเช่นนี้ไม่สูญเปล่าหรือ? ทำไมไม่สร้างงานที่เป็นงานของตัวเองจริง ๆ หากกล่าวโดยรุนแรงก็เหมือนขายวิญญาณให้การค้า เป็นเพียงเครื่องจักรผลิตงานเขียนไปวัน ๆ กว่าจะตาย!
ผมใช้เวลาทั้งวันทำความรู้จัก..ทำความเข้าใจวิธีคิดจากเหล่าเครื่องจักรผลิตงานศิลปะ และพบว่าพวกเขาก็มีชีวิตมีความจำเป็นในแบบของเขา อาจบางทีไม่ว่าจะเขียนรูปอยู่ในเงาของคนอื่นหรือออกมายืนเบื้องหน้ารูปตนในงานแสดง พวกเขาก็ต่างเขียนรูปเดียวกัน นั่นคือ รูปชีวิต
การเดินทางของผมถ้านับระยะทางใน ๑ วัน ไม่ได้ไปถึงไหน
แต่ในด้านลึกแล้ว..ผมเดินทางเข้าไปสัมผัสวิธีคิด วิถีชีวิต ปัญหา ที่มาที่ไปของเหล่าผู้เลือกเส้นทางสายนี้ ผมรู้สึกเต็มอิ่มกับการใช้เวลาผ่านไป ต่างกับการเดินทางดูเข็มไมล์เป็นหลัก
ไปไกล ๆ เพื่อไปดู, ถ่ายรูป, แล้วก็กลับ เป็นความรู้สึกอิ่มที่ได้ขยายชีวทัศน์ในการเดินทางของผมให้กว้างออก
บ่อยครั้งผมเคยรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไปจากการเดินทางท่องเที่ยว
แล้วผมก็พบมันที่ลันตาภาพที่ผมเดินดูหรือขับรถผ่านไหนเลยจะมีมิติด้านลึกเหมือนได้แวะทักทายพูดคุยกับคนเขียนภาพ
เราแวะกินก๊วยเตี๋ยวเส้นปลาแล้วกลับมานั่งซดเบียร์ ที่ “Hacha”
ตื่นเช้าอย่างสดชื่น..แสงสว่างเรื่อ ๆ ส่องลอดช่องหน้าต่างโค้งมนเข้ามาให้ความรู้สึกเหมือนตื่นขึ้นที่ “Little India”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น