อาคารไม้คล้ายมองแล้วร้องทัก
“เจ้าหลานรักจากบ้านไปนานหนอ
เป็นยังไงไหงมาน้ำตาคลอ
โดนใครล้อรึไร ดูไม่เสบย”
ฉันแปลกใจ “เอ๊ะยังไง
จำผมได้เจียวรึ พันพรื่อเหวย
เด็กนักเรียนเวียนวัยไม่น้อยเลย
เวลาเอยก็ล่วงลิบหลายสิบปี”
“จำได้ทุกคนล่ะ” อาคารว่า
“เหมือนเวลายังวิ่งเล่นอยู่ที่นี่
จะเป็นไรไปหลายสิบปี
คล้ายวานนี้ยังสดใหม่ละไมละมุน”
ฉันปาดคราบน้ำตายืนหน้าอาคาร
ภาพวัยวารเวียนผลัดถัดถัดหมุน
เด็กน้อยวิ่งไล่รุนชุลมุน
ตะโกนวุ่นวกวับเล่นจับกัน
ชุดนักเรียนแม่รีดมาเรียบร้อย
ก็ล้วนรอยเยินยับเธอกับฉัน
แล่นไล่ล่าคว้ากันพัลวัน
ก็เป็นอันมอมแมมไม่มีดี
ฉันเอ่ยถาม “ครูเผียน ครูชื่น ครูวิชัย
ยังอยู่หรือไรเวลานี้”
อาคารหนึ่งถอนใจเสียหลายที
ก่อนที่กล่าวแผ่วผ่าน “ตายนานแล้ว”
ฉันนิ่งอึ้งนั่งลงฐานธงชาติ
คล้ายภาพวาดนักเรียนยืนเรียงแถว
ทุกเช้าครูวิชัยกล่าวแนะแนว
เรายุกยิกหยอกแย้วไม่ยอมฟัง
ครูเผียนเฆี่ยนก้นคนละตุ้บ
เรายืนหลุบขนลุกเกรียวเสียวทั้งหลัง
ครูชื่นยืนอมยิ้มเสียทุกครั้ง
ไม่เคยขู่เคยสั่งให้เด็กกลัว
ภาพเลือนลับลอยไปในทิวเมฆ
เยียบวิเวกคลี่คลุมประชุมทั่ว
อาคารหนึ่งคว้างไหวในหมอกมัว
เงาสลัวเคลื่อนคล้ายสลายราง
ที่ตรงนี้ที่ฉันนั่นนับหนึ่ง
แล้วตะบึงแล่นล่าฝ่าขวากขวาง
ผ่านร้อยหลักปักหลอกบอกเส้นทาง
ล้วนหักร้างถางมา เพื่ออะไร?
ฉันนั่งมองอาคารผ่านม่านน้ำ
ภาพสีฉ่ำสดเตือนเหมือนยังใหม่
แต่โครงคร่าวดูเศร้ากระไร
ล้วนริ้วรอยหม่นไหม้ของวัยวัน
อาคารหนึ่งขึงมองจ้องฉันนิ่ง
สรรพสิ่งเคลื่อนผ่านราวม่านฝัน
มีเด็กน้อยเริ่มนับหนึ่ง จึงทุกวัน
ยังมีครูผู้มุ่งมั่นยืนยันตน
ฉันเป็นเพียงภาพเก่าเงาอดีต
เหมือนรอยกรีดกาลเวลามาเพื่อพ้น
เหลือสิ่งใดก็แต่แค่ใจตน
ยังมีหนทางอีกยาวต้องก้าวไป
“ไปล่ะ” ฉันขยับลุกปาดน้ำตา
“แล้วจะหาเวลามาเยี่ยมใหม่”
เสียงอาคารสั่น ๆ “เออ โชคดีมีชัย”
ฉันยิ้มให้ไหว้ลาก้มหน้าเดิน
คิดขึ้นได้เงยหาอาคารหนึ่ง
ทำตาซึ้งขึงยิ้มอย่างเขินเขิน
“ผมโตแล้วนะลุงธัญเจริญ
ไม่ต้องเชิญใครมาล้อ ก็น้ำตาคลอได้เหมือนกัน”


พันพรื่อ ภาษาถิ่นทางใต้แปลว่า อย่างไร