1

"มันทำหน้าตาเฉยเมย ท่าทางกวนทีนสุด ๆ บรือออ..คิดแล้วคันง่ามนิ้ว" ไอ้จูล้มตัวบนโซฟาแดง ตอนนี้แผลเบาะฉีกขาดมีรอยเย็บเรียบร้อย เสียงสปริงลั่นเอี๊ยด ๆ อยู่ใต้หลัง เลิกคิ้วข้างขวาเหลือบมองเบี้ยวเห็นนั่งเขียนรูปไม่โต้ตอบ


"พี่น่าจะไปจัดการเสียหน่อยนา" มันว่าต่อ "ให้รู้ซะบ้างไผเป็นไผ ซอยตำแยนี้ครายคุม! ชะช่าเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่รู้จักคารวะคนเก่า" ไอ้จูกำหมัดชูขึ้นฟ้า ไม่ใช่สิ! ต้องบอกว่าชูขึ้นหลังคา เบี้ยวยังสเก็ตช์รูปนิ่งอยู่

คราวนี้ไอ้จูเลิกสองคิ้วพร้อมกัน แต่แล้วคิ้วข้างขวาเกิดสงสัยว่าทำไมต้องเลิก? ยังไม่เริ่มเลยจะเลิกทำไม? คิ้วข้างซ้ายยกมือเกาหัวไม่รู้ตอบว่าไงดีได้แต่ทำปากยุกยิก คิ้วข้างขวาโวย "ถามแค่เนี้ยไม่พอใจ?" ทั้งสองทำท่าจะวางมวย ไอ้จูต้องรีบหยุดเลิกคิ้ว

"นายคิดว่าตำลึงสุกเนี่ยแดงอย่างไร?" เบี้ยวพึมพำ

"โธ่.." ไอ้จูลากเสียง "พี่ฟังผมอยู่เปล่า?"

"ฟัง"

"มันยังบอกนะว่า.." หยุดคิดนิดนึง "บ้านเมืองมีขื่อมีแป ใครจะมาทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ ขาใหญ่คุมซอยเหมือนสมัยก่อนไม่ได้แล้ว!"

"มันว่าหยั่งงั้น?" เบี้ยวหันขวับ

ไอ้จูรีบพยักหน้า ได้ผล! ได้ผล! ทีนี้เอาไงต่อดีฟะ มันคิด

"โห..." เน้นเสียงสูงลากยาว "พี่ไม่ได้ยินเอง น้ำเสียงมันนะ กวนตี๊นกวนทีน ผมว่ามันคิดจะคุมซอยซะเองล่ะไม่ว่า" ไอ้จูลากสำเนียงยียวนกวนบาทาต่อ "มันยังบอกนะว่าไอ้เบี้ยว..เอ่อ.." ชะงักนิดนึง "เอ่อ..มันหมายถึงพี่..จะแค่ไหนกัน!"

"มันว่าหยั่งงั้น!?" เบี้ยววางพู่กัน

"ช่ายยยย" ไอ้จูรีบยกเอวนั่งพิงโซฟา "ไปเล่นมันเลยเพ่!"

2

ลาดบางแคร์ผู้คนคึกคักทั้งวัน โดยเฉพาะโซนสินค้าโบราณจำพวกหมาก, พลู, สีผึ้ง, ไยบวบขัดตัว ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม่ค้าปากแดง (ด้วยแรงหมาก) แก้มปลั่ง (เพราะประดินสอพอง) นั่งตะบันหมากเรียกลูกค้าซึ่งล้วนแต่สาวน้อยวัยกำดัดแต่งตัวยังกะหลุดมาจากกึ่มจึงแฮแมกกาซีน (นิตยสารวัยรุ่นชั้นนำของเกาหลี--ผู้เขียน)

ตั้งแต่แชจุงฮองดาราขวัญใจวัยจ๊าบเคี้ยวหมากออกทีวี สาว ๆ หันมานิยมกินหมากกันทั่วหน้าจนหมากไม่พอขาย ราคาวิ่งจากลูกละ 200 บ.ทะลุเสี้ยวละ 500 เป็นที่เรียบร้อย เร็วเสียกว่าราคาทองคำ มีการจัดตั้งหมากฟิวเจอร์สำหรับตลาดซื้อ-ขายล่วงหน้า รัฐบาลเร่งดันนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหมากหวังส่งออกตลาดโลกเพิ่มตัวเลขจีดีพีก่อนสิ้นปี

โซนหมาก-พลูจึงคราคร่ำด้วยวัยรุ่นดัดฟัน โกรกผม

เบี้ยวกับจูติดตามบุคคลเป้าหมายมาถึงตลาดบางแคร์ ไอ้จูสวมแว่นดำอันจิ้ว เคลื่อนไหวพรางกายไปในระหว่างผู้คนจับจ่ายซื้อของ แผลวหลบหลังเสาไฟฟ้า มุดแผงลองกอง แม่ค้าเห็นกระจาดลองกองพะเยิบพะยาบมีเงาตะคุ่มเลยหยิบลองกองเม็ดเสียปาไปทีนึง ถูกหัวไอ้จูดังเผละ จูยกมือลูบหัวกลิ่นทะแม่ง แต่ไม่กล้าโวยวายกลัวเหยื่อรู้ตัว รีบคลานสี่ขาออกจากแผงลองกองไปหลบหลังยายขายพลู แล้วส่ายตามองหาลูกพี่

เห็นเบี้ยวเดินลอยหน้าลอยตาดูไม่สมเป็นนักสะกดรอย ไอ้จูส่ายหน้าระอิดระอาจุ๊ปากกวักมือเรียกลูกพี่

เบี้ยวเลิกคิ้วมอง ยกมือชี้หน้าตัวเอง

"พี่นั่นแหละ!" ไอ้จูตะเบ็งเสียงกระซิบ

เบี้ยวเดินเข้าใกล้

"ไม่เห็นต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ อย่างนี้เลย เดินดี ๆ ก็ได้" เบี้ยวบอก

"ชู่" ไอ้จูยกนิ้วชี้จุ๊ปาก "อย่าเอ็ดไปสิเพ่ เดี๋ยวมันรู้ตัว"

"รู้ตัวแล้วเป็นไง?" เบี้ยวดูจะพาซื่อ

"โธ่เพ่!" ไอ้จูลากแขนเบี้ยวนั่งลงมาคุยกันใกล้ ๆ ยายขายพลูเหลือบมองค้อน

"มันอาจใช้แผนหนอนน้อยตกปลาใหญ่"

"แผนอะไรของนาย?"

"พี่ไม่เคยอ่านซุนวูหรือไง?"

"เคย" เบี้ยวตอบ "แต่ไม่เคยได้ยินชื่อแผนนี้"

"เหอะนาไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละ" ไอ้จูโยงโย่โยงหยกมองหาเป้าหมาย "มันอาจใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้เราแสดงตัว จากนั้นพวกที่ซุ่มก็จะรุมกินโต๊ะเรา" มันคิดภาพตัวเองกับลูกพี่เบี้ยวถูกคมแฝกฝ่ายตรงข้ามกระหน่ำหน้าปูดตาบวมแล้วกลืนน้ำลายอึ๊ก!

"เข้าไปฟังใกล้ ๆ ดีกว่าพี่" ว่าแล้วฉุดแขนเบี้ยวเดินยอง ๆ ออกจากหลังยายขายพลูไปหลังรถขายน้ำจรวด

เสียงตลาดยามนี้จอแจไม่เป็นศัพท์ ไอ้จูต้องรวบรวมลมปราณจำแนกเสียงตั้งใจฟังเหยื่อกำลังส่งภาษากับยายแม่ค้า

"ผมว่ามันพูดแปลก ๆ นา"

"แปลกไง?"

"พี่ฟังสิ"

เบี้ยวมองชายหนุ่มผมเกรียนเค้าหน้าเฉยเมยตาลอยเหมือนครุ่นคิดตลอดเวลา เสื้อยืดคอกลมคนรักช้างรัดติ้วปล่อยชายทับกางเกงยีนส์ขาบาน ยืนคุยกับยายขายผัก ท่าทางเจี๊ยมเจี้ยมไม่น่ามีพิษมีภัย..แต่ก็ไม่น่าไว้ใจ พวกจอมยุทธ์งำประกาย ซ่อนดาบในรอยยิ้มมีดื่นไป

"ไม่เห็นมีไร" เบี้ยวว่า "นั่นน่ะภาษาเขียน"

"มันพูดภาษาเขียน?" ไอ้จูอุทาน

"ใช่" เบี้ยวย้ำ "คนเขียนหนังสือพูดภาษาเขียน ไม่มีอะไรแปลก ยิ่งนักเขียนบ้านเราด้วยแล้ว ชอบเอาภาษาเขียนใช้ในบทพูด คงคิดว่าเท่ พวกเขียนบทละครเลยบ้าจี้เขียนลงไปให้ดาราพูด ละครหลังข่าวเลยพูดภาษาเขียนกันหนุกหนาน ดาราขยับปากเป็นสากกะเบือพูดได้"

"มิน่า" ไอ้จูพยักหน้าหงึก "มันเลยพูดกับยายเป็นวรรคเป็นเวร..ว่าแต่..พี่รู้ได้ไงว่ามันเป็นนักเขียน?"

"นายเห็นรูปที่เราสเก็ตช์เปล่า?"

ไอ้จูพยักหน้า

"ภาพประกอบงานเขียนของหมอนี่"

"เถาหมามุ่ยนั่นเรอะ!?" ไอ้จูอุทานกระซิบ

"ตำลึง" 

"มันไปแระ" ไอ้จูกระตุกแขนเบี้ยว "เร็วเพ่..ตาม!"

3

สุดซอยตำแยเป็นบ้านลุงกับป้าอยู่กันสองคนตายาย (ตกลงเอาไงแน่ จะลุงกับป้าหรือตากับยาย--คนพิมพ์) (เออนาพิมพ์ไป--คนเขียน) ลุงกับป้าคงเหงาแบ่งห้องให้เช่าจะได้มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน ซอยตำแยจึงมีสมาชิกเพิ่มเป็นนักเขียนใหญ่ชื่อก้องฟ้าสยามบรรณภพ เป็นที่คาดหมายกันว่าหากตับ-ไตไม่พังเพราะพิษสุราเสียก่อน สามารถเขียนยืนระยะไปจนอายุเก้าสิบอาจมีหวังคั่วรางวัลโนเบลคนที่สองของเมืองไทย (ต่อจากวินทร์ เลียววาริณ)

จูกับเบี้ยวติดตามผู้มาอยู่ใหม่รอจังหวะลงมือสั่งสอนให้รู้สำนึกว่าสัมมาคารวะจำเป็นแค่ไหนหากรักจะอยู่ร่วมซอย ออกจากตลาดบางแคร์ มันขึ้นรถเมล์สาย 8 ไปโผล่ที่บ้านนอก คนทั้งสองงงเป็นไก่ตาส่อน จากติดตามเพื่อหาจังหวะลงมือกลายเป็นตามแจไม่ให้คลาดสายตา เกิดหลุดหลงเป็นได้กลับบ้านไม่ถูก

เป้าหมายดูเหมือนไม่รู้หรือหากรู้ก็ไม่สนใจว่าถูกติดตาม โต๋เต๋อยู่บ้านนอกสักพักก็จับรถเมล์คันเก่ากลับซอย จูกับเบี้ยวรีบโดดขึ้นประตูหลัง บุคคลเป้าหมายหันมอง คนทั้งสองรีบหันหน้าปายิ่งฉุบ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

ลงจากรถเมล์บุคคลเป้าหมายเดินเรื่อยเปื่อยจนสุดซอย ไอ้จูป้องปากกระซิบ

"ตรงนี้ล่ะเหมาะเหม็ง" ตาเหลือบมองเป้าหมาย "เปลี่ยว โล่ง ไม่มีพวกมันซุ่มอยู่แน่"

เบี้ยวพยักหน้า ไอ้จูกำหมัดส่ายตามองหาเครื่องทุ่นแรง

"เอาไงดีพี่ เล่นมันลุ้น ๆ หรือเรียกสมุนพี่มารุมสะกรัมมันดี?" มันหมายถึงเหล่าสมุนคุมซอยของเบี้ยวที่ปกติกระจายกำลังดูแลความเรียบร้อยไปทั่วซอย ไอ้จูคิดภาพหมอนั่นถูกสมุนเบี้ยวรุมทึ้ง เค้เก้คลุกฝุ่น มือยื้อกางเกงจะหลุดมิหลุดแหล่ ปลายขากางเกงถูกไอ้ไมเคิลหัวโจกคุมท้ายซอยใช้ปากคาบเกร็งสองขาหน้าทึ้งสุดแรง แค่คิดไอ้จูอมยิ้มแก้มตุ่ย  

แต่แล้วมันต้องชะงัก ดึงแว่น คว้าแขนเบี้ยวหลบหลังเสาไฟฟ้า (กรุณาอย่าสงสัยว่าเสาไฟต้นเดียวจะหลบได้อย่างไร? ไอ้จูมันเอามาจากละครหลังข่าว)

"นั่น!" ไอ้จูอุทาน "คุณปิ๊ก!"

หญิงสาวร่างเล็กกระทัดรัดสวมเสื้อลูกไม้กางเกงยีนส์ขาเดฟ ปั่นจักรยานตามหลังจักรยานเด็ก ๆ ข้ามสะพานมาจากซอย 5 ผ่านหน้าบุคคลเป้าหมาย

ไม่ทราบนายนั่นพูดอะไร เบี้ยวได้แต่มองจากที่ไกล ช่วงหลังมานี่ คุณปิ๊กซึมเซาไม่ร่าเริงเหมือนเคย เบี้ยวพยายามมองหาเหตุที่ทำให้คุณปิ๊กขุ่นข้องหมองใจจากหลังใบหน้าอิ่มนั้น 

"มันแซวคุณปิ๊ก!?" ไอ้จูร้องลั่น "เอาไว้ไม่ได้ซะแล้ว เล่นมันเลยเพ่ เพิ่งมาอยู่ยังไม่ทันรับน้องใหม่ ทะลึ่งแซวคุณปิ๊กซะแล้ว หยั่งงี้ต้องสั่งสอน!" ไอ้จูโวย หันซ้ายหันขวา คว้าได้ไม้ท่อนกระชับมือ ตั้งท่าจะออกลุย

"กลับเหอะ"

"หา" ไอ้จูชะงักเท้า "พี่ว่าไงนะ?"

"กลับเหอะ"

"กลับ?"

"อือ"

"มันแซวคุณปิ๊กพี่ก็เห็น จะเอาไว้ทำไม!?"

"เราต้องขอบคุณเค้าด้วยซ้ำ เค้าทำให้คุณปิ๊กยิ้มได้" เบี้ยวหันเดินกลับ ปล่อยไอ้จูเลิ่กลั่กโยนไม้ในมือทิ้ง เบี้ยวรำพึง "รู้แล้วล่ะว่าลูกตำลึงสุกเราควรลงสีแดงอะไร"

OOO


ซิทคอมเล็กๆ จิ๋วๆ : บางบอนซอยตำแย บางแคร์ซอย 5 ตอน "ตำลึงสุก"

1 ความคิดเห็น: