แหะ แหะ พี่ทรายขอรับ เพราะทุกข้อที่พี่ทรายสงกานั่นแล ผู้น้อยจึงคลานเข้ามาคารวะน้าหมี่ ขอช่วยดูให้ที พี่ทรายถามมาน่าสนใจเสียซ้ำ ได้เปิดประเด็นพูดคุยกันประสานักเลงกลอนบ่อนหมี่ตุ๋น คิดหาที่ไหนสุมศีรษะคุยเยี่ยงนี้ไม่มีแล้ว อาศัยชายคาน้าหมี่นี่ล่ะผลัดกัลล์ลับคมกลอน
แต่หากจะสาธย่าสาธยายไป ออกจะประดักประ้เดิด คล้ายอึ่งน้อยอวดหางให้เป็นที่อุจาดตา เห็นควรรอน้าหมี่มาเคาะตะพดรับฟังโดยพร้อมหน้าจักเหมาะกว่า
ถัดนี้คิดเสียว่านั่งคุยกันตามประสานะขะรับ
บั้นต้นต้องน้อมเรียนพี่ทรายก่อนว่า ข้าพเจ้าอ่านมาน้อย มิพักเอ่ยถึงเลิศวรรณคดีครั้งปางบรรพ์ ต่อเป็นงานร่วมสมัยก็เถอะ คราหนึ่งบังเอิญปะหน้ายอดกวี (ตอนนั้นไม่รู้เป็นใคร) ข้าพเจ้าถามแกทื่อ ๆ เลย
"เป็นนักเขียนเปล่าครับ?"
"ผมได้ซีไรต์" แกยิ้ม หน้าขาวคิ้วเข้มตาคมมองข้าพเจ้าคล้ายพบเจ้าตูบ
เอาล่ะสิ ข้าพเจ้าทบทวนจนขมองหมุนติ้วเป็นรถไต่ถัง คิดเท่าไรก็คิดนามท่านไม่ออก เสียฟอร์มมากนะทั่น พบระดับซีไรต์แล้วไม่รู้จักเีนี่ย! ท่านนักกวีก็เอาใจช่วยนะ บอกใบ้ให้
"ซีไรต์ปี xx ไง"
หัวคิ้วข้าพเจ้าแทบพันกัน แกอมยิ้ม
"บทกวี"
ถึงตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังคิดเผ่นหนีแล้ว เพราะไม่รู้จักจริง ๆ พี่ทรายลองคิดดู เดินเข้าในงานที่คนอ่านหนังสือเขามาสุมกัน มันกลับไม่รู้จักกวีซีไรต์ มันต้องมาจากปลักควายแน่ ๆ
"ขึ้นต้นด้วยแม่น้ำ" แกช่วยอีก
ข้าพเจ้ายิ้มแหย รู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าตะแลงแกง ยอมสารภาพ
"ขอโทษเถอะครับ ผมไม่ค่อยอ่านหนังสือ ยิ่งซีไรต์ยิ่งไม่ได้อ่านเลย เฉลยเถอะครับ"
เหมือนนักโทษแหย่คอเข้าในบ่วง อีกอึดใจเก้าอี้ก็ถูกถีบ ข้าพเจ้าต่องแต่งลิ้นห้อยตาถลน นักกวีผมยาวสะพายกระเป๋าเฉียงเอียงไหล่แย้มยิ้มด้วยแววตาเอ็นดู ส่ายหน้าพาร่างสูงโย่งเดินจากไป เท่ชะมัด! แกไม่ยอมบอกชื่อขะรับ (แต่พี่ทรายคงทราบแล้วสินะว่าท่านคือใคร)
ใช่แต่ 'แม่น้ำฯ' นะที่ข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็น บอกไม่อาย สุดยอดกวีนิพนธ์โด่งดังไปทั่วยุทธภพอย่าง 'โลกในดวงตาข้าพเ้จ้า' ก็ยินแต่ชื่่อ
ข้าพเจ้าอ่านเท่ามีในห้องสมุดประชาชนของอำเภอเล็ก ๆ ตรงติ่งประเทศ มีเท่าไรอ่านเท่านั้น (ไม่ยักมี 'โลกฯ' ในห้องสมุดฯ น้าหมี่ไม่คิดบริจาคสักเล่มรึขะรับ?)
ศัพท์แสงจึงจำกัดจำเขี่ย เขียนไปเขียนมายังนึกเบื่อตัวเอง ง่า..สัมผัสเดิมอีกแระ! หลายครั้งเขียนไป เขียนไปคำหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ ยังงง ๆ ว่ามาได้ไง แล้วมันแปลว่าอะไร (หว่า) ข้าพเจ้าเดาเอาว่าคำพวกนี้คงถูกฝังไว้แต่ครั้งวัยละอ่อน จากวิชาภาษาไทยที่เป็นไม้เบื่อไม้เมา (ต้องสอบซ่อมประจำ..ผ่าสิ!)
ช่วงหลังมานี่ เขียนหนังสือมากเข้าเริ่มสงสัย เอ่..พิลึกมีการันต์ไว้ทำไมกันนะ เมื่อไม่ใช้ไม่ออกเสียงตัดทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง ก็แล้วหากข้าพเจ้าไม่ต้องการออกเสียงพยัญชนะใด ข้าพเจ้าจะใส่การันต์บ้างได้ไหม? ทำไมต้อง 'พลิ้ว' ทำไมไม่เป็น 'พริ้ว' ร.เรือรัวลิ้นให้ความรู้สึกพริ้วกว่ากัลล์เยอะเลย อะไรพวกนี่ล่ะ แต่มาสงกาตอนนี้ไม่มีคุณครูสมศรีคอยเงื้อไม้เรียว "ถามให้ดีนะ! ถามให้ดี!" อยู่แล้ว
เมื่อไม่รู้ถามใครก็ได้แต่ขบคิดหาที่มาที่ไปเอาเอง
คำตอบไม่อาจถือเป็นข้อสรุป ไม่อาจเชื่อแน่ว่าถูกต้องตรงตามขนบนิยม หากยังขืนเล่นปะติดปะต่อคำตามแต่อารมณ์ซุกซนพาไป นานเข้าอาจเข้าข่ายอาชญากรทางภาษา (ว่าเข้านั่ลล์) เต่าน้อยดิลล์จึงคลานต้วมเตี้ยมมาร้านหมี่ด้วยประการฉะนี้แล
ต่อข้อถามพี่ทราย
๑ 'เป็นส่ำสัตว์สารพันปันปน'
บาทนี้รู้สึกมันจะจบห้วนๆ ไปนิดนะขะรับ ไม่แน่ใจว่าน้าอาจจะอยากให้กระชากอารมณ์นิดนึงหรือเปล่า เลยลงห้วนๆ แบบนี้ขะรับ จึงใคร่ขอถาม
น่าจะเรียกว่า 'วรรค' นะขะรับไม่ใช่ 'บาท' พี่ทรายอาจเผลอแต่ท้วงไว้เผื่อมีน้องนักเรียนผ่านมาพบเข้า (หากบาท ต้องมีสี่สลึง อิ อิ)
ข้อนี้เป็นเรื่องของ 'ลม' และ 'ดนตรีไทย'
ลมสนธยา มักพัดเอื่อยเรื่อยเย็น รู้สึกสบายชวนนั่งอิงพิงไหล่คนรักชมอาทิตย์อัสดง
แต่หากเป็นลมพายุกรรโชกมา คงต้องตัวใครตัวมัน ลุกวิ่งใจระส่ำ ทั้งสองให้ความรู้สึกต่างกัน และต่างก็คือลม
หากเปรียบเป็นระนาด เมื่อบรรเลงเพลงหวานเสียงนั้นทอดเอื้อนฉะอ้อน ครั้นบรรเลงเพลงเร็วกลับสะบัด กระชากกระชั้น เสียงทั้งหมดเกิดแต่ระนาดตัวเดิม (ง่า..ระนาดเรียกสรรพนามว่าอะไรอ่าขะรับ?) หากขึ้นกับผู้บรรเลงรู้ปรับเปลี่ยนควบคุมจังหวะ
กลอนแปดหวานหยดขะรับ หวานราวตาลแต้มรสไม่หมดหวาน เมื่อจะเศร้าก็เศร้าร้าวรานราวจะหลั่งน้ำตาริน (หนุ่มสาวเมื่อก่อนจึงนิยมใช้เขียนเพลงยาวหากันไง)
แต่หากเราใช้สามสองสามของกลอนแปดไปกับทุกเรื่องราว คงมิต่างบรรเลงเพลงค้างคาวกินกล้วยด้วยจังหวะของลาวดวงเดือน รสขยับปีกของค้างคาวสูญหายอย่างน่าเสียดายเทียว (แลเจ้าค้างคาวตัวนั้นมีหวังหล่นแหมะ) และคงเป็นได้ก็แค่หุ่นอักษรเล่าความโดยไร้ชีวิตจิตใจ
กล่าวได้แต่ใช่จะทำได้ดังใจตั้ง ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าแค่ไหนเพียงใดจึงจะพอดี เห็นทีต้องน้อมฟังน้าหมี่ว่าจะคิดเห็นเยี่ยงไร?
๒ ปัน (แบ่งปัน?) - ปน (ปะปน?) ... ผสมกันออกมาเป็น 'ปันปน' หรือเปล่าขะรับ น้าดิลล์ หรือว่าเป็นคำโบราณครับ?
ไม่ใช่คำโบราณอันใด
ที่มาทั้งสองดังพี่ทรายเข้าใจ
๓ ได้เวียนเคียนอู่ล้วนอยู่ร่วม - บาทนี้ สงสัยของคำว่า เวียนเคียนอู่ อ่ะครับ มีความหมายหรือว่ามีนัยแปลว่าอะไรหรือขะรับ?
เคียน คือ พาด พัน เช่นผ้าขาวม้าเคียนเอว
ไม่มีนัยใด แต่ไม่ทราบนอกจากใช้กับเอวแล้ว ยังจะใช้พาดพันอย่างอื่น (โดยเฉพาะนามธรรม) ได้หรือไม่?
๔ อยู่กลุ้มกลวม - กลุ้มกลวม คำโบราณใช่หรือเปล่าเอ่ย?
กลวม แปลว่า สวมทับ
นัยยะโบราณที่พี่ทรายกล่าวคงหมายถึงคำที่ไม่นิยมใช้ เช่นนั้นเห็นที่ไม่ใช่ เพราะคำ 'กลวม' ยังมีใช้กันอยู่ ข้าพเจ้าเพียงเล่นปะติดปะต่อคำ (ดังเรียนไว้บั้นต้น) ก็เมื่อมี 'กลุ้มรุม' ข้าพเจ้าเลยใช้ 'กลุ้มกลวม' เสียเลย ไม่ทราบน้าหมี่จะว่าไง?
ดูเหมือนข้าพเจ้าจะปะติดปะต่อคำเอาแต่ตามใจ แต่ขอพี่ทรายน้าหมี่ทราบว่าข้าพเจ้าตระหนัก มิใช้คำโดยไม่รู้ความหมาย (และยังไม่คิดเอาอย่างแม่สุวรรณผู้รจนาระเด่นลันได) เพียงไม่กระจ่างว่าความหมายนั้น ๆ กินความเพียงไร ใช้อย่างไร จึงมานั่งเขียนอยู่ข้างท่านผู้รู้ก็เพื่อจักได้ทำความเข้าใจต่อไปภาคหน้า
กล่าวไปก็ให้กระอักกระอ่วน แจกแจงเนื้องานสมควรเป็นเรื่องของผู้อ่าน ผู้เขียนเพียงสดับรับฟัง แต่การที่พี่ทรายกรุณาถามไถ่เป็นเรื่องน่ายินดีนัก ข้าพเจ้าโพสต์จำอวดอักขระบนเน็ตนอกจากหวังเก็บรักษางาน ยังหวังรับคำชี้แนะจากผู้รู้เพื่อปรับปรุงตน แลกเปลี่ยนความเห็นกับสหายคอเดียวกัน ความซึ่งได้ตอบไปหาใช่ข้อยืนกราน เป็นเพียงทัศนะที่พร้อมปรับเปลี่ยนรับฟังความต่างด้วยดวงตากลมโตเสมอ
เรามารอน้าหมี่ว่างจากกิจกันขะรับ
คารวะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น