เก้าโมงครึ่ง
เศษความเคว้งคว้างว่างเปล่าพอกหนาเล็กน้อยตามรอยเท้าของวันเวลา
เหมือนดินพอกหางหมู หรือชะมดเช็ดที่ค่อย ๆ รวมตัวบนท่อนไม้หลังถูกเบียดถูครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่ได้เขียนหนังสือมานานแล้ว
วันเวลาไม่เคยคิดท่ารอ คงมิต่างคณิกามากรักที่ไม่อาจอดใจรอแขกขาประจำ เขาอาจจะมาหรือไม่มา แต่เสียงท้องร้องกลับมาตรงเวลา นางจำต้องยิ้มรับแขกคนแรกที่เรียกหา กระทั่งแขกคนสุดท้ายก้าวกลับเข้าสู่แพรต่วนสูงราคา ทิ้งเศษเงินกับความสุขหรรษาเมื่อครู่ไว้บนโต๊ะก่อนเดินจากไป นางเอื้อมเก็บเศษเงินและความสุขชั่วครู่นั่นไว้ เหลียวมองออกทางหน้าต่าง
โคมใต้ชายคาเริ่มดับทีละดวง แสงสว่างถูกขับไล่มิอาจต้านความมืดรอบด้าน ความมืดที่ชวนเหน็บหนาวจนสั่นสะท้าน มันถือวิสาสะโจมเข้าทางหน้า่ต่าง เขาคงไม่มา นางอยากอาเจียน
เก้าโมงสี่สิบ
เข็มนาฬิกาแตกสลายล่องลอยไปในความมืดลึกล้ำ วันเวลาเคลื่อนไปแต่ตัวหนังสือไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
ยังนั่งอยู่ตรงที่เิดิม วันเวลากลายเป็นเส้นไหมบาง ๆ ตวัดรัดรอบตัว รอบแล้วรอบเล่าแน่นเข้าทุกที คมไหมบาดลึกแทรกผ่าเข้าในรอยแยกของอณูเซลล์ผิวหนัง กระทั่งทั้งร่างถูกรัดแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยหายไปในความลึกล้ำดำมืด
สมุดวางอยู่ตรงหน้า ปลายนิ้วจรดปากกา มือไม่อาจขยับ
จินตนาการโลดแล่นอยู่เสมอ
ขณะตัวมันเอง
ไม่อาจคว้าจับ
...
ภาพ&ความ @ http://swordbelt.wordpress.com/2013/02/28/memo-%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B0/
Tags: essay
, The Note Book