แสงเช้าฟุ้งเลือนห่มม่านภู ฉากเงาเข้มจางเกลี่ยกลืนหากัน เส้นสายโนนเนินไกลตากลายระนาบราง เชียบสงัดราวแมกไม้ชายเขายังไม่ตื่นจากหลับใหล แว่วเสียงนกอยู่ไกล ๆ เงาร่างเพื่อนไร่ยืนเหวี่ยงจอบอยู่บนระนาบฟุ้งจาง
ไม้ใหญ่ผลัดกิ่งทิ้งก้านไม่เหลือใบ แล้งเหลือจนหวั่นไปว่าเมื่อหน้าแล้งจริงแล้วจะยังมีน้ำให้ใช้กันอีกหรือไม่ ปีกลายขอดบาดาลขึ้นชั่วครู่ก็เผือดผาก บ่อซึมไม่ทันให้ซับน้ำ อย่าว่าจะใช้รดต้นไม้เลย จะซักล้างยังเขม็ดแขม่ จำทนดูไม้อ่อนคลุมดินพากันตกตาย มาปีนี้หนาวหนักยากยาวข้ามปีข้ามเดือน ไม้ต้นที่เคยแค่ผลัดใบกลับปลิดกิ่งทิ้งก้านแห้งโกร๋น ภูเนินเคยเห็นชอุ่มชุ่มนัยน์ตากลายกรอบไหม้ ลานดินเต็มด้วยซากใบไม้ลมหมุนมาทีบินว่อนขึ้นฟ้ามิต่างฝูงนกแตกฮือ
ข้าพเจ้านั่งทอดอาลัย
ได้เรียนรู้อะไรบ้างกับการดำรงอยู่ของกำลังแรงใจที่ทุ่มเทให้พวกต้นไม้หวังเมื่อหน้าร้อนจะได้พึ่งร่มเงา แลยามนี้ พวกมันกำลังตกตาย
ไม้ใหญ่ปลิดใบทุกวัน เกลื่อนจนคร้านจะกวาด ใบกรอบกลบไม้คลุมดินขาดแสงแห้งตาย ครั้นปลิดทิ้งไม่เหลือใบ ไม้ในร่มที่เคยได้พึ่งเงาแดดรำไรอย่างพวกเฟิร์นต้องแสงแรงตลอดวันพากันตาย ผู้เฒ่าเฟิร์นเขากวางเคยนำมาประคบประหงมจนแตกใบใหญ่เขียวอวบโอบลำต้นทองกวาว ยามนี้เปื้อนเหลืองขอบใบหงิกเหี่ยว พวกเศรษฐีเรือนนอกทอดซากใบแห้งหับพับคากอ เอื้องหมายนาใบเริ่มเหลือง
สวนไม้เล็ก ๆ ที่เคยลงแรงลงใจจนชอุ่มชื้นเมื่อฝนก่อน กำลังจะตาย
ทั้งแยกไม้ในร่มไม้รำไรไม้แดดลงตามธรรมชาติของมัน หนแรกพลาดเพราะไม่ทันคิดเรื่องทิศทางแสง ฤดูเปลี่ยนทางแสงเปลี่ยน ไม้ที่ไม่ทนแรงแดดพากันตกตาย ข้าพเจ้าใช้เวลารื้อ ลงมือใหม่
แต่แล้วกลับไม่รู้อีกเรื่อง
ยังมีไม้บางชนิดเมื่อถึงเวลาใช่แค่ปลดใบแก่ แต่ปลิดใบหมดต้น ใบทั้งหมื่นแสนล้านใบ
บริเวณที่เคยเห็นว่าเป็นร่มเงายามนี้ต้องเพลิงแดดแผดจ้าตลอดวัน ยิ่งทอดนานพวกไม้ในร่มยิ่งพากันตกตาย
เงาร่างขลับเข้มบนระนาบแสงฟุ้งจางยังเคลื่อนไหวไม่หยุด หลังเก็บเกี่ยวข้าวโพด เพื่อนไร่ลงจอบแต่เช้าเตรียมดินปลูกมันสำปะหลัง
ข้าพเจ้าทอดอาลัยมองสวนไม้เล็ก ๆ ของตนเอง ทุกอย่างพังหมดแล้ว คงต้องรื้อใหม่ลงใหม่ แต่จะทำอย่างไรกับไม้ใหญ่ประเภทปลิดใบหมดต้น จะทำอย่างไรกับกำลังแรงสูญเปล่าเพื่อเรียนรู้เรื่องง่าย ๆ แค่ทิศทางแสงกับไม้ผลัดใบ
ไม่รู้สิ คงต้องเริ่มที่ผู้เฒ่าเขากวาง
***
Tags: essay
, The Note Book
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น