lighthouse2

บทนำ : สมุดบันทึก

    ผมใช้สมุดสเก็ตช์ปกแข็งเป็นสมุดบันทึก  ใช้ดินสอเขียนเพราะความที่ชอบโทนหนักเบาของเส้นสาย  นอกจากขีดเขียนตัวหนังสือยังได้เขียนรูปลงสีน้ำ  ปกแข็งแรงทนทานกับทุกสภาวะไม่ว่าแดดร้อนหรือฝนฉ่ำ  ปกดูแลเนื้อหาด้านในราวอ้อมแขนชายหนุ่มปกป้องคนรัก  เนื้อกระดาษเรียบลื่น สะอาด เนียนนวล ให้ความรู้สึกเหมือนสัมผัสของหญิงสาวที่คุ้นเคย

    สมุดบันทึกพลิกหน้าไปพร้อมวันเวลาของชีวิต  เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านเข้ามาทักทาย สุขบ้างทุกข์บ้าง ผู้คน บทเรียนชีวิต แง่คิดมุมมองต่าง ๆ ถูกหยิบยกมาพูดคุยผ่านตัวหนังสือ จนเหมือนเราทั้งสองรู้จักมักคุ้น  ทุกครั้งที่สมุดบันทึกเดินทางถึงหน้าสุดท้าย   

    ใจหาย!

    ความรู้สึกสิ้นสุดกลับมาเยือน มาเตือนย้ำ 'ทุกการเริ่มต้นล้วนกำเนิดจากความสิ้นสุด' ใจนั้นเล่ายังอาลัยพันผูก  เราผ่านเปลวแดด ฝ่าสายฝนด้วยกันแรมเดือนแรมปี  หน้ากระดาษเก็บอะไรต่อมิอะไรที่ความทรงจำของผมทำตกหล่นไว้มากมาย  ความสิ้นสุดไม่เคยผัดผ่อน..แม้พลิกกลับมองหาพื้นที่ว่าง แทรกตัวอักษรลงอีก..ที่สุดก็เต็ม  ไม่มีหน้าต่อไปให้พลิก

     เราจำต้องร่ำลา  ในความอาลัยทุกครั้งยังเอมใจว่าวันเวลาไม่ได้สูญหาย  สมุดบันทึกบัดนี้ทรุดโทรมสันปกเปื่อยยุ่ยยังทำหน้าที่เก็บรักษาความทรงจำไว้ให้..เสมอมา

    ผ่านกี่ปีแล้วนะ..ที่ผมไปเยือนเกาะลันตา?

    ผมหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่ามาพลิกดู  วันนี้ของปีนั้นผมอยู่ที่นั่น  เรื่องราวผุดขึ้นเหมือนพรายฟองรำลึก ลอยจากก้นบึงอดีตกาล  ใบหน้าผู้คนยังแจ่มชัด  น้ำใจไมตรีที่ได้รับยังคงอยู่

    ปีนี้ผมไม่ได้ไปเยือนพวกเขาอย่างตั้งใจ  ได้แต่ส่งบันทึกความทรงจำมาทักทาย...

‘ลันตา..ในเงาความทรงจำ’

lanta4

 

๑ ออกเดินทาง

    เพื่อนชวนลงเกาะ
    "เกาะอะไร?" ผมถาม
    "เกาะลันตา" เพื่อนตอบ
    "ได้เลย" ง่าย ๆ แค่นั้น

    พวกเราทำงานหนักประมาณสี่ถึงห้าเดือน  จากนั้นจะออกเดินทางไปตามแต่ใจต้องการ  ช่วงหลังมานี่พวกเพื่อนมีอันต้องแยกย้ายคนละทิศละทาง  แต่อากาศหนาวตอนรุ่งสาง โต๊ะน้ำชาหน้าเต็นท์ เตาแค้มปิงก์ ชาอุ่น กรุ่นกลิ่นกาแฟคอยเพรียกให้พวกเรากลับไปหาวันเวลาเหล่านั้นอีกครั้ง   

    เรานัดเจอกันที่เกาะลันตา  ผมเสร็จงานก่อนใครคิดล่วงหน้าตะลอนไปเรื่อย ๆ พวกเขาเสร็จงานเมื่อไรค่อยเจอกัน  ผมไม่รู้จักไม่เคยไปเกาะลันตา อาศัยผู้นำทางเจ้าประจำแผนที่ทางหลวง  วันออกเดินทางความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจแวะกลับมาทักทายเหมือนเพื่อนเก่าซึ่งหายหน้าไปนาน   การเดินทางยังสถานที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้จักเส้นทาง ไม่รู้จักใคร ทุกอย่างเป็นของใหม่  หนทางข้างหน้าไม่รู้จะเจออะไรให้ความรู้สึกท้าทาย ตื่นใจ!

    ผมออกจากระโนด (รอยต่อเขตจังหวัดสงขลากับนครศรีธรรมราช) ก่อนเที่ยง  แวะเติมน้ำมันเต็มถังที่หัวไทรเป็นปั๊มปตท. มีร้านกาแฟใต้เงาไม้ร่มรื่น  อาศัยเงาไม้กินอาหารกลางวันศึกษาเส้นทางจากแผนที่ทางหลวง  ผมกวาดตามองหาเกาะเล็ก ๆ ไปตามแนวชายฝั่งอันดามัน

    เกาะลันตาอยู่ในเขตจังหวัดกระบี่  จะต้องขับรถข้ามฟากจากที่ราบตะวันออก  ตัดแนวเขาขึ้นไปฝั่งตะวันตก  ดูระยะทางแล้วประมาณสี่ร้อยกว่ากิโลเมตร  ผมยกกาแฟสดขึ้นซดตามองแผนที่  สายลมเที่ยงวันกำลังเล่นวิ่งไล่จับกับเปลวแดด  กาแฟหอมกรุ่นแก้วนั้นไม่ใช่รสกาแฟเป็นรสของการเดินทางที่ผมครุ่นคำนึงถึง

    การเดินทางเริ่มแล้ว  
    ล่องลอย อิสระ เหมือนนกโผบิน   

    ผ่อนคลายแต่ตื่นตัวพร้อมรับสถานการณ์และปัญหาเฉพาะหน้า ทุกนาทีล้วนมีความหมายควรค่าแก่การจดจำ  มีเส้นทางหลายสายไปยังเกาะลันตา  ด้วยความที่ไม่รู้จักมักคุ้น  ผมเลือกใช้เส้นทางที่คิดว่าสั้นสุด  ผ่านบ่อล้อ ตัดขึ้นเขาควนหนองหงษ์  ข้ามฟากไปตรังเลี้ยวที่วังวิเศษ ไปทางกระบี่ (รู้ภายหลังว่าเป็นเส้นทางที่ไม่ควรใช้เพราะขึ้นเขาสูงทำให้เสียเวลา  ต่างจากทางราบแม้จะไกลกว่าแต่ไปได้เร็วกว่า) น้ำมันเต็มถัง ของขบเคี้ยววางกองที่เบาะข้าง เครื่องดื่มนอนนิ่งในถังน้ำแข็งหลังเบาะ แผ่นเพลงโปรดวางเรียง เร่งวอลลุ่มแล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น

    จุดหมายคือเกาะลันตา
    ด้วยข้อมูลแค่ที่เพื่อนบอกว่า--

    “มีอุทยานแห่งชาติฯ อยู่ปลายสุด  ขับรถไปให้สุดทาง”

    รู้จักเกาะลันตาแค่นั้นจริง ๆ

lanta4

 

๒ ท่าเรือข้ามฟากสวยที่สุดในประเทศไทย

    ผมขับรถฟังเพลงไปเรื่อย ๆ หยิบแผนที่ดูหมายเลขถนนเป็นระยะกันหลงทาง  เส้นทางออกจากหัวไทร  เป็นถนนสองเลน  ผ่านหมู่บ้านชนบท ทุ่งนา วัดวาอาราม  ผมเลี้ยวซ้ายที่บ่อล้อสองข้างทางเป็นที่ราบน้ำท่วมถึงป่าโกงกางสุดตา  ผมเดาเอาว่าบริเวณนี้คงเป็นส่วนโค้งเหนือสุดของทะเลสาบสงขลา  ถนนตัดกับสายเอเชียซึ่งเป็นเส้นทางหลักของภาคใต้  จากนั้นภูมิประเทศเป็นที่ราบสลับเนินเขา สูงต่ำลดหลั่นไปมาผ่านป่าขึ้นควน (เขา) หนองหงษ์ซึ่งสูงเอาการ  บรรยากาศคล้ายไปเลาะเลี้ยวอยู่บนเส้นทางภาคเหนือฝั่งตะวันตก

    พ้นควนหนองหงษ์เข้าเขตจังหวัดตรัง  ผมขับพลางดูหมายเลขถนนจนถึงวังวิเศษ แวะกินก๋วยเตี๋ยว  ออกเดินทางต่อ มีขบวนรถช็อปเปอร์ทัวริ่งสวนทางมา 'คอเดียวกัน' ผมอุทาน (ในใจ) ใช่จะเป็นคอช็อปเปอร์คันละหลายแสนเวลาจะขี่ต้องสวมบู๊ตยาวไม่งั้นขนหน้าแข้งไหม้นะครับ  แต่เป็นคนคอเดินทางด้วยกัน  พบเจอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเรามันจำพวกนกรอนแรมเหมือนกัน   

    ขับไปจิบโค้กไปสักพักจ๊ะเอ๋อาการหลงทางเข้าจนได้!  

    เจอสามแยกไปบ้านท่ามะพร้าว  ในแผนที่ดูเหมือนว่า บ้านท่ามะพร้าวจะเป็นทางลงเกาะลันตา  ขับเลยแยกไปแล้วลังเล  ด้วยความไม่ประมาท (และไม่ต้องหยิ่ง) เลี้ยวกลับมาถามร้านค้าข้างทางได้ความว่าเกาะลันตาต้องไปอีก  ขับต่ออีกประมาณ ๑๐ กิโลฯ จึงถึงแยกลงเกาะ  เป็นเพราะแผนที่พิมพ์คำทับระหว่างสองจุดซึ่งความเป็นจริงห่างร่วมสิบกิโลฯ (แต่ระยะในแผนที่น่าจะสองกระเบียด) คำ ‘บ.ท่ามะพร้าว’ พาดผ่านทั้งสองจุดทำให้สับสน   แยกไปเกาะลันตาเป็นถนนสองเลนส์ยังใหม่เอี่ยม อา..มาถึงแล้ว   

    แต่ขับไปสักพักอารมณ์ก็เปลี่ยน

    ถนนกลายเป็นสนามมอเตอร์ไซค์วัยรุ่น  ขี่กันเกะกะเต็มถนนจนไม่มีที่ให้รถใหญ่แซง  ต้องขับตามหลังรอจังหวะไปเรื่อย ๆ ยิ่งใกล้ท่าเรือจำนวนมอเตอร์ไซค์ยิ่งมากขึ้น  

    ใกล้ถึงท่าเรือเห็นรถต่อขบวนยาวเหยียดอ้อมโค้ง  รถคันหน้าให้สัญญาณเลี้ยวเข้าข้างทางทั้งยังอยู่ไกลจากรถที่จอดต่อคิว  ผมงงอยู่ครู่หนึ่ง กำลังคิดว่าจะเอาไงดี  

    ปรากฏมีวัยรุ่นไล่ตีกันข้างหน้า!

    ผมชะลอรถจอดต่อท้าย  ไม่เข้าไปดีกว่าเดี๋ยวโดนลูกหลง  คันหน้าจอดดูท่าทีจนพวกไล่ตีหยุดลง  สองฝ่ายยึดพื้นที่คนละฟากถนน ชี้มือตะโกนด่าอยู่ไปมา มือถือเหล็กแป็บยาวคอยคุมเชิงกัน

    พอขบวนรถเคลื่อนตัว  รถคันหน้าค่อย ๆ เคลื่อนไปต่อคิว ผมขยับตาม อย่างไรจะได้เป็นเพื่อนกัน

    เวรกรรม!

    ขบวนรถหยุดนิ่งในจังหวะที่ผมเข้าไปอยู่กลางระหว่างกลุ่มวัยรุ่นซึ่งยืนคุมเชิงสองฟากถนน

    ไม่กล้ามอง เดี๋ยวพ่อคุณจะหมั่นไส้เอา  ห่วงรถก็ห่วง หากพวกท่าน ๆ ไล่ตีกันขึ้นมาพลาดท่าพลาดทางรถผมมิโดนลูกหลงไปด้วยรึ! เกิดพระเดชพระคุณบ้าพลังทุบกระจกรถขึ้นมา..วุ้ย! ยิ่งคิดยิ่งขนหัวลุก!    

    วัยรุ่นเลือดร้อนวิ่งไปมาระหว่างรถ  ผมนั่งมองตาปริบ ๆ พอดีขบวนรถเคลื่อน ผมรีบจี้ตูดคันหน้า ผ่านจุดนั้นมาอย่างอะดรีนาลีนฉีดพล่าน  พอจอดรอที่ท่าเรือเหมือนหลุดมาสู่อีกโลก  เห็นเกาะอยู่เบื้องหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลคงเป็นเกาะลันตา  มีเกาะเล็ก ๆ ลอยอยู่ระหว่างกลาง ทำให้ทะเลดูไม่ว่างเปล่า  มีสายเคเบิ้ลโยงข้ามไปยังเกาะเบื้องหน้ามีลูกโป่งสีสดห้อยเป็นระยะ (ไม่ทราบเรียกว่าอะไรผมเรียกลูกโป่งไปก่อนล่ะ)  ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่  ทิวทัศน์สวยอย่างไม่มีที่ไหนจะเทียบ  นับเป็นท่าเรือสวยที่สุดในประเทศจริง ๆ 

    ขบวนรถเคลื่อนผ่านตู้ขายตั๋ว ผมได้ตั๋วมาสองใบ ก็ยังงง ๆ (แต่ทำเป็นเก๊กไม่เอ่ยถามกลัวคนขายจะรู้ว่ากะเหรี่ยงหลงทางมา) รถเคลื่อนผ่านคนตรวจตั๋วผมทำหน้าตาเฉยส่งตั๋วไปทั้งสองใบ  ได้คืนมาใบหนึ่ง ทำหน้าตาเฉย (อีกที) รับไว้   

    ตอนรถเคลื่อนลงจอดสนิทบนเรือเฟอร์รี  เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง  ทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำหนัก  คลื่นทะเลปั่นป่วน  ดีที่เป็นเรือใหญ่เลยไม่มีอาการโคลงแต่ก็นั่งเร้าใจอยู่ในรถเพราะจอดเป็นคันแรกจ่ออยู่หัวเรือมองคลื่นลมตรงหน้า.. ‘หากเกิดเทกระจาดกันขึ้นมา?’ (คิดมาก)  

    เสียงเครื่องเรือกระหึ่มแข่งเสียงพายุ  เรือเฟอร์รีเร่งเครื่องเคลื่อนออกจากท่า  หากไม่นับความน่ากลัวของคลื่นลม ครั้งนี้เป็นการข้ามฟากที่คลาสิกเอาการ  มองออกไปรอบด้าน  บรรยากาศทึม ๆ ด้วยม่านพายุฝน เห็นเกาะเบื้องหน้ารางเลือน  แรงลมหอบมวลฝนหนัก ๆ กระหน่ำกระจกรถตลอดเวลา เหมือนเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพนิยาย   

    จุดหมายลอยอยู่ตรงหน้า

lanta4


ดาวน์โหลด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น