รงลึกในตรึกเตือนนั้นเลื่อนลั่น
กระแทกกระทั้นนั่น สนั่นสนอง
ภาพที่มี เสียงดนตรี และทำนอง
เลื่อนไปไหลตระกองกวีกัณฑ์
อดไม่ได้ทุกครั้งต้องนั่งเขียน
ฉ่ำฉายเยี่ยงโชนเทียนชวาลฉัน
ลายอิฐเก่าเงาพื้นกลืนรวมกัน
เป็นพรายฟองของตะวันเมื่ออัสดง
แลลับวับเลือนการเบือนเบี่ยง
ของภาพจำลำเรียง จำเรียงหลง
ที่สุดสายจินตภาพวาบดำรง
ยังอยู่คงหรือเลือนหายสุดหมายจำ
อาบความฝันหวานวินิจนิมิตการกล้า
หมื่นล้านคำวลีประโลมหล้า อุษาระส่ำ
ปลิดกิ่งปลียอดระยอบการครอบงำ
เพื่อพานพบว่าพลบค่ำ ไม่เคยคง
ทำได้เพียงบันทึกระลึกเร่
ล่องลอยอยู่โล้เล้คอยเกวส่ง
งามเท่าที่จะงามงดประจดประจง
ปล่อยเรื่องราวไหลลงชะโลมดิน
และแล้วยุคสมัยหมายก็กลายผ่าน
กับเยือกเงาสะท้อนสะท้านการสูญสิ้น
ล้วนเปล่าเปลืองเรื่องเล่าเคล้าลมริน
เป็นเพลงพิณของความว่างอยู่พร่างพราย
อันใดเลยเอ่ยถามถึงคุณค่า
ขอเพียงผ่านกาลกิริยาหยาบสักตราบหลาย
ดื่มมธุรสจากโค้งรุ้งคุ้งเงาทราย
และวนว่ายสายน้ำผึ้งคนึงคะนอง
ลืมตาตื่นฟื้นขึ้นจากความหลับ
เพลงพิณขับเทพนิยายมารายร้อง
น้อมส่งความฝันไปจนหมดบททดลอง
หลงเหลือเพียงเสียงทำนองของหัวใจ
เป็นบทเพลงประเลงผ่านพิมานสงัด
ยะเยือกเอยลมกำดัดเจ้าพัดไหว
ยังเต้นเร่าหรืออ่อนโรยจึงโปรยไป
ห่มห่อซากเถ้าหม่นไหม้อยู่ไกวเกว
กับคลื่นลมขมเค็มเกินเต็มตระหนัก
เติมตักผ่านทุกบทตอนการร่อนเร่
ถอนสมอออกแรมเรือเหลือคะเน
แท้ญวนเปลผูกโยงเหย้ากับคร่าวเดิม
เหลือน้อยลงนักแล้วฟืนชีวิต
พอครุ่นคิดการค้นพบกลับเพิ่งเริ่ม
หยิบซากไหม้ได้แค่ตอรอลมเติม
มอดดับหรือกระพือเพิ่ม ไม่อาจรู้

แรงลึกในตรึกเตือนคงเคลื่อนผ่าน
แรงแสงเงาแห่งสนธยากาล พานหดหู่
ห่อตัวกับเยือกหนาวกรายมาพรายพรู
กำแพงภูทอดถัด สงัดงันฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น