สีสรรพ์ของรุ้งชวนเตะตาสะดุดใจ วัยเด็ก ยินผู้ใหญ่บอกว่ารุ้งมันลงมากินน้ำ เจ้าหัวเกรียนน้อยเบิ่งตาฉงนไล่มองหาตำแหน่งคันรุ้งโค้งลง ไม่น่าจะไกล คิดว่างั้น แล้วก็ออกตามหา ขมองน้อยสร้างภาพไปต่าง ๆ นานาว่าหน้าตาเจ้ารุ้งตัวสวยนั่นจะเป็นอย่างไร น่าจะเหมือนม้า ไม่ก็อาจคล้ายมังกร มันจะลงกินน้ำตรงไหน สระหรือริมทะเลสาบ จ้ำอ้าวไปตามถนนตาก็มองหมายปลายโค้งรุ้ง ไปได้ไม่ไกลมันกลับลับหาย เดินกลับบ้านคอตก หลังฝนหล่นทีไรก็จะมองหา คราวนี้ได้ความคิดใหม่ ใช้จักรยาน จะได้ไปให้ไวก่อนมันจะหายไป
อิหรอบเดิม
เป็นอย่างนั้นอยู่นาน
จนวันที่ครูสอนเรื่องแสงสีรุ้งจึงได้รู้ความจริง หลงเชื่อคำหลอกเล่นของผู้ใหญ่เสียเป็นนาน การได้รู้ที่มาทำให้มนต์เสน่ห์ของรุ้งในกระหม่อมหัวเกรียนน้อยสูญหาย ฝนตกไม่คิดเหลียวหาอีก การเดินทางออกติดตามหารุ้งถูกลืมเลือน
ผ่านวัยวันผันเลื่อน เรื่องราวชีวิตพลิกไปกับหน้าปฏิทินวันแล้ววันเล่าหน้าแล้วหน้าเล่า
ฟ้าฉ่ำฝน ดินฉ่ำน้ำ แมกไม้อวบขจี เมฆคล้ำลอยพาเสียงร้องครางคลืนลับหาย หยดฝนร่วงปลายไม้ลงร่องรางน้ำจัก ๆ จ๋อม ๆ ข้าพเจ้าหยุดยืนก้มมองผืนดิน ใช้เวลาทั้งชีวิตเดินทางมาถึงแผ่นดินผืนน้อยนี้ พื้นที่เล็ก ๆ จะใช้อยู่อาศัย ปลูกผักปลูกผลไม้ไว้กิน หยุดพึ่งพาอาหารจากคนไม่รู้จักไม่รู้ที่มาที่ไป
หลายคำถามพรูท่วมใส่
"จะปลูกอะไร?" "ทำไมไม่ล้อมรั้ว?" "ขุดรูเล็ก ๆ น้ำไม่พอใช้หรอก ขุดสระสิ" "เมื่อไรจะสร้างบ้าน?" "ตังค์ไม่พอก็ลงเสาไว้ก่อน" "เสาไฟอยู่ไม่ไกล ไปทำเรื่องไม่นานก็ได้ไฟใช้" "จ้างเขาสิ จะมัวทำเองทำไม" "ฉีดยาฆ่าหญ้าเดี๋ยวก็หมด"
แน่ล่ะ หากย้อนเป็นหลายปีก่อน คงไม่มีคำถามเหล่านี้ประดังมา เนื่องเพราะข้าพเจ้าลงมือไปแล้วก่อนหน้า จ้างคนมาลงเสาล้อมรั้วลวดหนาม จ้างรถมาปรับพื้นที่ บดอัดถนน ไถร่องแปลงผัก หาช่างตีราคาโรงนาหลังคาสูงใช้ทั้งอยู่อาศัยและเก็บข้าวของเครื่องใช้ จ้างรถบาดาลมาเจาะน้ำ ติดตั้งระบบน้ำทั้งน้ำหยดและสปริงเกอร์ ซื้อต้นไม้มาลงตลอดแนวรั้วแนวทางเดินและถนนรอวันให้เป็นอุโมงค์ต้นไม้ ลงผักที่ตลาดต้องการและได้ราคา ลงผลไม้ราคาดี ๆ ให้เต็มแปลง
ทุกอย่างคงเสร็จในเวลาไม่กี่เดือนและลงมือดูแลต้นไม้รอเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต
แต่เปล่า ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำเยี่ยงนั้น (เว้นเรื่องเดียว พื้นดินว่างเปล่าเคยเป็นไร่อ้อย จำต้องจ้างรถมาไถเอาตอออกเพราะข้าพเจ้าขุดออกทีละตอไม่ไหว (ลองแล้ว) นอกนั้นไม่จ้างงานใดอีก)
วัยหนุ่มเคยอยากมีกิจการของตนเอง แต่แล้วกลับพบว่าไม่เหมาะกับงานที่ต้องแข่งค้าแข่งขายจัดการงานบุคคล ความจริงข้อนี้กว่าพบและยอมรับรู้ก็ต้องแลกมาด้วยอาการเครียดและโรคภัยต่าง ๆ จนแทบเอาชีวิตไม่รอด หันไปทำเกษตรหวังได้อยู่กับดินน้ำฟ้า กลับเป็นเกษตรเชิงเดี่ยวที่เก็งกำหนดผลกำไรต่อหน่วยลงทุนแทบไม่ต่างเล่นหุ้น พบว่านั่นไม่ใช่สิ่งข้าพเจ้าเสาะหา งานเกษตรสมควรเป็นงานเกษตร ไม่ควรทำอย่างอุตสาหกรรมที่ควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ได้มากกว่า (แน่ล่ะยังมีปัจจัยคุมไม่ได้และความเสี่ยงต่าง ๆ อีกมากมายก่ายกองจนร่ำเรียนกันไม่รู้จบ) เกษตรสมควรอยู่กับดินน้ำฟ้าอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย แล้งคือน้ำน้อย ท่วมคือน้ำมาก ไม่ได้มากไปกว่านั้น ไม่ใช่เภทภัย แค่แล้งก็เก็บน้ำไว้ให้พอใช้ ท่วมก็นั่งดูน้ำหลาก ออกไปตักกุ้งดักปลา สร้างบ้านให้สูงพ้นน้ำ
มาถึงวันนี้ ละทิ้งงานเกษตรเชิงเดี่ยวมายืนมองผืนดินน้อย
ลาดเนินลงสู่แปลงอ้อยเพื่อนไร่ ด้านข้างเป็นป่าไม้สัก กำแพงภูทอดเงาเหลื่อมซ้อนเห็นทิวไม้แทบเอื้อมหยิบ
ข้าพเจ้าจะไม่ล้อมรั้ว จะปักหลักไว้แค่แสดงตำแหน่งขอบเขตพื้นที่ ให้ทุกคนผ่านมาผ่านไปหยิบเก็บหมากไม้ได้เยี่ยงเดินผ่านคันนา (แน่ล่ะ บ้านจะต้องมิดชิดปิดป้องโพยภัย) ไม่พยายามดึงสายไฟเข้ามา (อยู่กับแสงเดือนแสงดาว เป็นที่โหยหาเนิ่นนาน ได้มาแล้วไยละทิ้งเสียเล่า) ไม่ปลูกผักตลาด ปลูกแต่ที่จะกิน ไม่จ้างผู้รับเหมามาสร้างที่อยู่อาศัย แต่จะปั้นอิฐดินค่อย ๆ เอามาซ้อนก่อผนังบ้านเท่ามีแรงกระทำ ไม่ทุ่มซื้อพันธุ์ไม้ต่าง ๆ นานามาปลูกเป็นแปลงใหญ่ จะค่อย ๆ ปลูก ค่อย ๆ ขยายไปตามแต่พืชพันธุ์ที่คงทนอยู่ได้ หาเก็บเศษกิ่งไม้ข้างทางมาทำซุ้มไม้ทางเดิน จะค่อย ๆ ขุดเซาะร่องรางน้ำแยกทางเดินและแปลงปลูกออกจากกันด้วยกำลังแรงงานตน ไม่ราดปูนเทปูนแยกพื้นดินออกจากฝ่าเท้า จะใช้แค่โรยหินกรวดสำหรับพื้นที่เปียก และดินอัดสำหรับพื้นที่แห้ง
ถึงเวลานี้ได้มาแค่เพิงเก็บของกันแดดฝน ซึ่งพอเที่ยงวันก็ร้อนจนไม่มีที่ซุกหลบ ยังมีงานอีกมากรออยู่
มนุษย์หนึ่งคนทำงานได้ทีละอย่าง วันละนิดละหน่อย เวลาค่อย ๆ คืบคลานผ่านไปขณะแทบมองไม่เห็นเนื้องาน การกลับไปหาห้วงเวลาที่ปู่ย่าตายายนั่งปะชุนเสื้อผ้า เคาะตอกซ่อมบ้านแซมหลังคา คงต้องใช้ความแน่วแน่ยิ่งยวด เพราะเมื่อเผลอ ใจก็จะถูกชักนำกลับหาความคุ้นชินเดิมด้วยคำถามจากคนรอบข้าง "ทำไมไม่จ้าง" "จ้างบ้างก็ได้ จะทำเองให้เหนื่อยทำไม" "นี่ถ้าจ้างก็เสร็จไปนานแล้ว" รู้ดีว่าแค่ปรับเปลี่ยนตัวเองไม่ใช่หวังเปลี่ยนวิธีคิดผู้คน ข้าพเจ้าจึงได้แต่ฟังแล้วพยักหน้า
แค่กลับไปห้วงเวลาที่ปู่ย่าตายายเคยนั่งปะชุนเสื้อผ้าถักสานข้าวของเครื่องใช้ อยู่กับดิน น้ำ ฟ้าอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย รู้จักเนื้อดินที่ปลูก รู้ว่าน้ำไม่ได้มาโดยง่าย ไม่เห็นภาวะการณ์ธรรมชาติเป็นเภทภัย ปลูกอาหารสำหรับเลี้ยงปากท้องดูแลตนเองและผู้คนรอบข้าง นี่เองคงเป็นสิ่งที่ใจข้าพเจ้าเสาะหามานาน เป็นสิ่งที่เคยมีอยู่แล้วครั้งปู่ย่าตายาย ข้าพเจ้ากลับต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเดินทางมา เดินทางมาจนถึงผืนดินน้อย ๆ ตรงหน้า
ถึงเวลานี้ข้าพเจ้าพบว่าพวกผู้ใหญ่ไม่ได้หลอก
รุ้งมีตัวตนอยู่จริง หลังฝนตกรุ้งลงมากินน้ำจริง ๆ ตลอดมามันคงหลบซ่อนอยู่ในใจ เจ้าหัวเกรียนน้อยเดินทางมาจนพบ พบตำแหน่งที่รุ้งลงมากินน้ำแล้ว เป็นผืนดินตรงหน้านี่เอง
พื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีไม้ใหญ่แม้ต้น ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า
ไฟฟ้าไม่จำเป็น หามีประโยชน์ใดที่จะฆ่าไม้แย่งพื้นที่อาศัยของสัตว์ป่ามาสร้างเขื่อนอีก ส่วนน้ำข้าพเจ้ามั่นใจว่าอยู่ข้างล่างนั่น ยังมีเหงื่ออีกมากต้องหลั่งหยด ยังมีงานอีกมากต้องกระทำ
***
ส่งท้าย : ฝนซาเม็ด ฟ้าฟากภูหลวงสว่างเรือง เจ้าหลานชายตัวกลมกระตุกแขนเรียก
"ลุงดิน โน่นดูรุ้ง"
ข้าพเจ้าแหงนมองแถบสีสดสวยโค้งพาดคุ้งฟ้า
"รุ้งมันลงมากินน้ำ" ข้าพเจ้าบอก
"จริงดิ"
"จริง"
***
Tags: Earthmoon Organic
, essay
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น