DiN

Pages

  • หน้าแรก

Home Lanta Memoir แรมทาง : ลันตา..ในเงาความทรงจำ (๑๐)

แรมทาง : ลันตา..ในเงาความทรงจำ (๑๐)

DiN วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 25, 2550 0

เกาะรอก

เล็กบอกว่าผู้ช่วยฯ จะย้ายไปนครฯ ยังมีข้าวของที่ต้องไปเก็บที่เกาะรอก  ไปเอาของเสร็จก็กลับ  ก่อนหน้านี้เล็กเคยเล่าเรื่องเกาะรอกให้ฟังมาบ้างว่างดงามอย่างไร  ผมไม่ต้องขบคิดรีบแจ้นไปใส่เสื้อผ้าคว้าเป้หลัง (ชีวิตประจำวันนุ่งแต่ผ้าบาติกผืนเดียว อิ อิ ชาวเล) จากนั้นไปนั่งคอยเรือหน้าที่ทำการ 

สักพักเรือหางติดตั้งเครื่องยนต์สี่สูบมีหลังคาผ้าใบกันแดดก็โผล่พ้นเนินประภาคารมาทิ้งสมอหน้าหาด ในเรือมีคนขับกับเด็กประจำเรืออีกคน

เล็กในชุดลุยเสื้อยืดแขนยาวน้ำเงินเข้มสกรีนอักษร PARK RANGER หิ้วกระสอบเปล่ามาสองสามใบ

หลังเราทั้งสามคนขึ้นเรือเรียบร้อย  เด็กเรือจัดการถอนสมอดันเรือออกจากหาด  คนขับบอกว่าน้ำมันไม่พอต้องแวะซื้อที่หมู่บ้านชาวเล  ฟังพวกเขาพูดคุยแสดงว่าเรือเป็นของผู้ช่วยฯ กำลังคิดขายต่อเพราะจะย้ายออกจากพื้นที่   เรือวิ่งเลาะเรียบฝั่งไปทางปลายเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน 'สังกาอู้'

เมื่อถึงหมู่บ้านคนขับเรือหยิบแกลลอนน้ำมันเดินหายไป

หมู่บ้านชาวเล “สังกาอู้” เป็นเหมือนสังคมลูกน้ำเค็มทั่วไป  บ้านถูกปลูกสร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ  ริมหาดเต็มด้วยเรือหางยาวซึ่งเป็นเครื่องมือหาเลี้ยงครอบครัวจอดเรียงราย  ชาวเลผิวคล้ำนั่งคุยกันบนระเบียงบ้าน บ้างก็นั่งซ่อมอวน  พวกเด็ก ๆ วิ่งเล่นบนหาด

เล็กนั่งคุยกับผู้ช่วยฯ ที่หัวเรือ  ผมอยู่ด้านหลังนั่งสเก็ตช์รูปชาวเลฆ่าเวลา  คนขับเรือหายไปพักใหญ่ก็แบกน้ำมันเต็มแกลลอนกลับมา

จากนั้นก็เราบ่ายหน้าออกทะเล

สักพักเสียงเครื่องยนต์สะดุด..แล้วดับ  คนขับบอกว่าสายพานพลิก  เรือโยนตัวไปมาตามแรงคลื่นขณะคนขับพยายามแก้ไข  เขารื้อหาสายพานเส้นเก่ามาเปลี่ยน  สายพานที่ได้ดูสภาพจะพอ ๆ เส้นที่หย่อนจนหมดสภาพใช้งาน  เรือลอยลำโคลงเคลงอยู่ไปมา สักพักเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น  เรือกลับมามีชีวิตพุ่งตัดคลื่นไปข้างหน้าอีกครั้ง

เห็นเรืออวนลากสองลำกำลังลากคู่อยู่ไกล ๆ ผู้ช่วยฯ บอกคนขับให้ตรงไปที่เรืออวนลากนั่น  เรือของเราเข้าไปจอดเทียบด้านข้างขณะเรือใหญ่กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าเหมือนปลาตัวเล็ก ๆ เกาะไปกับปลาวาฬ

เล็กคว้ากระสอบที่เตรียมมาขึ้นไปบนเรือตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเขาเอากระสอบเปล่ามาด้วยทำไม  ขณะที่รอเล็ก  คนขับเรือขึ้นไปบนเรืออวนลากได้สายพานใหม่เอี่ยมกลับลงมา

เราแยกจากเรือใหญ่สักพักก็สวนกับเรือของอุทยานฯ ที่มาจากเกาะรอก  ในเรือเต็มด้วยเจ้าหน้าที่กำลังกลับลันตา  พอเจอเรือเราพวกเขาพากันย้ายเรือพร้อมเครื่องดื่มประจำตัว  เหลือแต่คนขับกับผู้หญิงกลับไปลันตา  

เรือที่เมื่อครู่มีแต่เสียงเครื่องยนต์กลายเป็นเรือปาร์ตี้ไปในทันที  พวกเขานั่งรวมตัวกันที่ส่วนหัวพูดคุยร้องเพลงกันอย่างออกรส  มีผมเป็นคนแปลกหน้าไม่รู้จักใครสักคนนั่งเสร่ออยู่ด้านหลัง  เพลงที่ร้องล้วนเพลงเพื่อชีวิตผมเลยพลอยผสมโรงส่งเสียงร้องกับพวกเขาไปด้วย  แต่ต้องขอปฏิเสธเครื่องดื่มเพราะพวกเขาซัดวิสกี้ป่ากันโอ๊กอ๊ากยังกับเป็นน้ำเปล่า  กับผมแค่ดมก็หัวซุกหัวซุนแล้ว

คลื่นลมเริ่มรุนแรงกระแทกหัวเรือเป็นละอองน้ำซัดเข้ามา  ไม่มีที่ให้หลบเสื้อผมเริ่มเปียกปอน  แต่ยังโชคดีมีเสื้อตัวนอกใส่ทับมาพอกันลมเย็นไม่ถึงกับหนาว  ผมนั่งฟังเพลงเพื่อชีวิตของวง White Whisky ประสานเสียงเครื่องยนต์ปนเสียงคลื่นลม 

เป็นบรรยากาศที่สุดยอด!

ถึงเกาะรอกเรือเบาเสียงเครื่องตัดเข้าร่องน้ำ 

เกาะรอกประกอบด้วยเกาะสองเกาะ  ในร่องน้ำระหว่างเกาะผืนน้ำสีเทอร์คอยท์เข้มเงียบสงบมีเรือยอร์ชจอดอยู่ ๓ ลำ  พวกฝรั่งกำลังเล่นสกีบอร์ด  เรือของเราเสยไปบนหาดทรายขาวละเอียดของเกาะรอก  เจ้าหน้าที่พากันขึ้นไปหาพักพวก  ส่วนผมเดินสำรวจบริเวณหาด ไม่กล้าไปไกลเพราะผู้ช่วยฯ บอกไว้ว่ามาเอาของแล้วจะกลับเลย..ก็คงใช่เวลาไม่นาน

เกาะรอกโชคดีที่อุทยานฯ เข้ามาดูแลไม่ถูกเอกชนทำลายเสียก่อน  หาดทรายขาวละเอียดเหมือนแป้งแห้งไม่ติดตัวเป็นทรายแบบเดียวกับที่เกาะสิมิลัน  หลังแนวไม้ชายหาดมีเต้นท์พักแรมของอุทยานฯ ปักไว้บริการนักท่องเที่ยว  มีไฟฟ้าพลังแสงอาทีตย์  มีร้านค้าของอุทยานฯ นับว่าพร้อมมากสำหรับพักแรม  เพียงค่าใช้จ่ายการเดินทางมาที่เกาะนั้นสูง  เล็กบอกว่าต้องใช้บริการสปีดโบทของเอกชน ไม่ก็เหมาเรือหางยาว

สักพักผู้ช่วยกลับมา  ทีมงานชุดเก่าลำเรียงเสบียงเครื่องดื่มลงเรือ  ช่วยกันเข็นเรือออกจากหาดมุ่งหน้ากลับลันตา

แสงสนธยากำลังลับขอบฟ้า
พื้นน้ำสะท้อนเงาอัสดงจัดจ้าอยู่วิววับ
เสียงเพลงประสานงาของกลุ่มนักร้องวง White Whisky ดังไปบนผิวน้ำ

ผ่านบรรยากาศสวยงามของตะวันรอนเพียงครู่  เข้าเขตกลางทะเลคลื่นลมฝนกลับมารุนแรง  ซ้ำยังแรงกว่าเก่าหัวเรือกระแทกคลื่นอยู่โครมครามละอองน้ำแตกกระจาย คราวนี้ผมเปียกซ่กไปทั้งตัวต้องคอยลูบหน้าตลอดเวลาน้ำสาดซ่าเข้ามาทุกครั้งที่เรือกระแทกคลื่น หนาวจนคางสั่น

กำลังปลอบใจตัวเองว่าทนอีกหน่อยเดี๋ยวก็ถึง  เครื่องยนต์ส่งเสียงจาม  ผมหันกลับไปมอง  มีเสียงสะดุดจะดับมิดับให้ลุ้นอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็ดับสนิท 

คนขับกับเด็กเรือช่วยกันถอดโน่นแก้นี่  วงวิสกี้เงียบเสียง  เราลอยเท้งเต้งอยู่พักใหญ่ปล่อยเรือลอยไปตามกระแสคลื่นฝนเริ่มเม็ดหนาฟ้าเริ่มมืด 

ช่วงเวลาเครื่องดับนั้นลุ้นระทึก!

หากไม่สามารถแก้ไข  จะเป็นอย่างไร? ลอยออกทะเลไปเรื่อย ๆ จนกว่าเรืออื่นมาพบ  เล็กไม่ได้พกวิทยุเคลื่อนสั้นติดมา  เราขาดการติดต่อกับทั้งลันตาและเกาะรอกโดยสิ้นเชิง แต่ดึกดื่นหากเรายังไม่ถึงพวกลันตาอาจส่งเรือออกตามหา  แล้วฟ้ามืดค่ำอย่างนี้กว่าจะเจอเรามิลอยออกมหาสมุทรอินเดียรึ! (ผมเริ่มวิตกจริต) 

ได้ยินเสียงเครื่องแผดขึ้นอีกครั้งผมโล่งใจสุด ๆ คราวนี้เรือพุ่งไปข้างหน้าเต็มกำลัง  แต่ทั้งลมทั้งฝนก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หัวเรือกระแทกคลื่นเสียงดังสนั่น  บางครั้งถึงกับได้ยินเสียงไม้กระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดเหมือนจะแตก 

หัวเรือไม่แตกแต่วงวิสกี้แตก!  พากันหลบฝนหลบแรงกระแทกมาอยู่ท้ายเรือ  เรือพุ่งฝ่าทั้งคลื่นทั้งลมทั้งฝนไปในความมืด  ปริมาณน้ำที่ซัดเข้ามาจากหัวเรือมากขึ้นทุกที 

ผมนั่งลุ้น..เรือจะจมมั้ยเนี่ย!?..จะแตกรึเปล่า!? เพราะดูคลื่นมันใหญ่อย่างน่าใจหาย  แต่คนขับฝีมือไม่ธรรมดา  นำเรือตัดคลื่นไปได้อย่างมั่นคงขณะคลื่นใหญ่โยกโยนอยู่รอบข้าง  สภาวะการณ์เช่นนี้หากเป็นคนขับอ่อนประสบการณ์มีหวังเรือถูกคลื่นซัดคว่ำ!

ผมได้แต่ระทึกอยู่ในใจ  เหลียวมองพวกเจ้าหน้าทีพวกเขายังนิ่งเฉย

ดูเหมือนพวกเขาจะคุ้นเคยกับน่านน้ำของพวกเขา ยังพูดคุยสนุกสนาน  เหมือนพายุฝนคือชีวิตประจำวัน  ไม่มีใครแสดงอาการกังวล 

ผมนั่งคิด..หากเรือเราจมลงก็คงไม่เป็นไร  พวกเขาคงแก้ปัญหาได้เพราะใช้ชีวิตอยู่กับทะเล  ผมเองพอจะช่วยตัวเองได้เพราะมีถุงลมใบเล็กอยู่ในเป้  อีกอย่างพวกเขาคงจะรู้ว่าอยู่ในระดับที่ไม่อันตราย

ท้องฟ้าท้องน้ำมืดสนิทมีแต่เสียงเครื่องยนต์ร้องลั่นขณะที่เรือพุ่งไปข้างหน้า

ฟังพวกเขาปรึกษากันผมจึงได้รู้ว่า..เราต้องอ้อมหลบแรงคลื่นออกไปแล้ววกกลับเข้าด้านหน้าอุทยานฯ โดยหมายที่ไฟประภาคาร

ล่วงเข้าเขตทะเลในคลื่นลมสงบลง  เราผ่านเรือไดหมึกที่เปิดไฟสว่างจ้าเหมือนมีคอนเสิร์ตกลางทะเล  เข้าเขตด้านหน้าอุทยานฯ ยังต้องระมัดระวังหลบโขนหินใต้น้ำที่อาจจะกระแทกเรือแตก  ด้วยความชำนาญทั้งหมดช่วยกันหาร่องน้ำนำเรือเข้าหาดจนได้

เราออกจากเกาะรอกก่อน ๖ โมงเย็นถึงเกาะลันตา ๓ ทุ่มครึ่ง ๔ ชั่วโมงสำหรับประสบการณ์โลดโผน ระทึกใจที่ผมจดจำ  ผมหิวจนตาลายรีบลาทั้งกลุ่มมาที่เต้นท์เพื่อหาอาหารใส่ท้อง  รู้ภายหลังว่าทั้งกลุ่มยกขบวนไปล่ำลาผู้ช่วยฯ กันต่อจนเช้า

และก็มารู้ภายหลัง(ตอนที่สนิทกันแล้ว)อีกว่า..

“ก็กลัวกันทั้งนั้นล่ะ..ที่เมาน่ะ..ย้อมใจ”

อ้าว! เป็นงั้นไป!

Tags: essay Lanta Memoir
Share:

แสดงความคิดเห็น

บทความใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: ส่งความคิดเห็น ( Atom )
Designed by OddThemes
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Category

  • การ์ตูน
  • กาลครั้งหนึ่งฯ
  • คนเขียนเพลงบรรเลงชีวิต
  • คาเฟ่ข้างทาง
  • คำหวาน
  • โคลงอาเพศสยามกำสรวล
  • งานแปล
  • ชอว์แช็งค์
  • ชักม้าชมเมือง
  • ชั้นวางหนังสือ
  • ทดลองอ่าน
  • นิยายกำลังภายใน
  • นิยายเล่มเล็ก
  • นิราศจันทร์
  • บทกวี
  • บอกอแบกบาล
  • บันทึกอักษรกระบี่
  • บางบอนซอยตำแย
  • บ้านเกิด
  • ใบปิด
  • พระจันทร์น้อย
  • เพียงผ่านมาพานพบ
  • ฟังดนตรีเถิดชื่นใจ
  • ภูมิแพ้ฯ
  • มหาสันติยาตรา
  • โยนิโสมนสิการ
  • เรื่องสั้นจู๋
  • โรงบ่มฝัน
  • วรรณกรรมเยาวซน
  • วรรณภาพ
  • สะบายดี
  • หนังสือเดินทาง
  • หักงวงไอยรา
  • อภิชาต
  • อหังการ์ล่าผ่าปฐพี
  • a day BULLETIN
  • Animation
  • Art
  • book
  • bookpack
  • Books
  • BookShop
  • cartoon
  • Coffee Brake
  • Crossbooks
  • Day by Word
  • D Din Wordanic
  • Dream Garden
  • Earthmoon Organic
  • ebook
  • eco life
  • editor's note
  • Editor's Picks
  • essay
  • Flash Fiction
  • FWD Mail
  • gallery
  • guestbook
  • Home Town
  • In Memoir
  • koh kred sketchbook
  • Kokbuabok
  • Lanta Memoir
  • Letter in a Bottle
  • life
  • Life Gallery
  • Listen
  • literature
  • Literature Wave
  • Little Hut
  • Little Smile
  • misc.
  • Movies
  • Movies Review
  • msc
  • music
  • My Works
  • Novel
  • Once Upon A Time
  • opinion
  • poem
  • PrajunDin Garden
  • PrajunDin Veggies Garden
  • quote
  • short film
  • short films
  • shortstory
  • sketchbook
  • Talk2Win
  • The Letters
  • The Note Book
  • The Writer's Room
  • Things We Forget
  • Travel
  • VDO
  • Whisper of the Wind
  • Wing's Wind
  • win's shadow
  • Words
  • Writer Comic
  • Writer's Toolbox
  • Your Words