อาวุธอันร้ายกาจ.
สวัสดีขอรับท่านพี่ มาครานี้อยากสนทนากับท่านเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความเห็นในกระดานโรงน้ำชาสักหน่อย
อย่างที่เรียนท่านล่วงหน้าแล้วว่า กระทู้ในสำนักหนอนของข้าพเจ้า “โดน!” อีกแล้ว หะแรกก็งง ๆ ขอรับว่า เออ คนจำพวกนั้นมาอีกแล้ว ประเภทที่แสดงทรรศนะของตนเองเกทับบลัฟแหลกต่อเจ้าของกระทู้ เอ พวกเขาล่วงรู้จิตใจของข้าพเจ้าเสียอย่างที่คิดว่า “ข้าแน่” กว่าเสียอย่างนั้น-- (สารภาพ) หากเป็นเมื่อห้วงยามก่อนข้าพเจ้ามีอันต้องสาดอาวุธโต้กลับโดยพลัน! แต่ด้วยความหุนหันพลันแล่นในยามนั้นที่เมื่อสาดซัดโต้กลับไปแล้วก็เห็นแต่ผลเสีย กระอัก-จุกอก-รากเลือด ด้วยวิทยายุทธ์ด้อยกว่าแต่กลับคิดอาจหาญไปต่อกร ผลของมันคือ “เจ็บ” กระทั่งต้องซมซานหลีกลี้เก็บตัวในสำนักประทีปฯ รักษาอาการด้วยน้ำใบบัวบก (และบางเวลาด้วยน้ำอมฤตอำพัน) มิอาจเยี่ยมกรายไปสำนักหนอนสนทนาอยู่หลายเพลา ห้วงยามนั้นก็พยายามฝึกปรือสงบสติให้บรรลุถึงการปล่อยวาง ซึ่งก็ผ่านพ้นมาได้ระยะหนึ่ง มิทราบหรอกว่าวิชานั้นจะได้ผลต่อตัวข้าพเจ้าเองหรือไม่ ตราบจนเผชิญหน้ากับพวกนั้นอีกครั้งในวันนี้ แล้วข้าพเจ้าก็พลิ้วทั้งหลบทั้งหลีก อันวิชา “ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” ใช้ได้กับข้าพเจ้าอย่างได้ผล แม้จะในระดับหนึ่ง ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดี คิดถึงถ้อยคำของท่านอาวุโส อาจินต์ ปัญจพรรค์ ที่กล่าวว่า อันเสียงวิจารณ์นั้นมีหลากหลายสารพัด สร้างสรรค์ และ ทำลาย (ผู้เขียน) อันการหลังท่านมิเคยใส่ใจ นั่นคือสามารถแยกแยะออกได้ว่า ถ้อยลมพ่นผ่านหลอดลมออกปากนั้นมันก่อให้เกิดสติปัญญาแก่ผู้เขียนหรือไม่ หมายถึง สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขงานของตนเองด้วยไมตรีจิต ด้วยมิตรภาพ อะไรเทือกนั้น หากไม่-ท่านก็มิสนใจ ปล่อยผ่านมันไป มิเก็บเอามานึกคิด สำหรับวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ข้าพเจ้าคงมิต้องอธิบายสิ่งที่ท่านทราบแล้วย้ำอีก สั้น ๆ ง่าย ๆ คือ ความเห็นที่แตกต่าง แต่ไม่แตกแยกในความสัมพันธ์... อันการเขียน (พิมพ์) ท่านย่อมรู้แก่ใจดีว่า มันยากกว่าการพ่นถ้อยคำออกมาเป็นคำพูด คือหมายถึงผ่านกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ การพูดพูดได้โดยไม่ต้องฉุกคิดก่อนได้ สำหรับการเขียน (พิมพ์) มันมีเวลาให้ได้ต้องไตร่ตรองในระหว่างการเขียน ฉะนั้นผมจึงมองว่าการเขียนยากกว่าการพูด ยากกว่าคือต้องมีการไต่ตรอง ทีนี้คนจำพวกที่เขียนโจมตี (พวกแก้) ได้อย่างเป็นวรรคเป็นเวรนั้น ก็พอมองออกได้ว่าได้ผ่านกระบวนการคิดและไตร่ตรองมาก่อนแล้ว อีกทั้งยังมีความสามารถพยายามเขียนได้อย่างหมดจด เช่นนั้นมองได้หรือไม่ว่า เป็นการ “เขียนออกมาจากใจ” แน่นอน, มีทรรศนะหนึ่งของมิตรกวีที่ว่า “การเขียน” ไม่สามารถโกหกตนเองได้ หมายถึงนักเขียน หรือคนเขียน เมื่อเขียนสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกมาย่อมไม่โกหกตัวเอง พูดง่าย ๆ ตอแหลตัวเองไม่ได้ ไม่ว่างานนั้นจะมีผลกระทบออกไปในส่วนไหนอย่างไรทั้งในและนอกบรรณพิภพ จะเหยียบตาปลาของใครบางคนหรือไม่ นั้นย่อมเป็นความรู้สึกจากใจจริงของคนเขียนทั้งสิ้น ส่วนเรื่องความถูกต้อง ควรหรือไม่ควรนั่นก็มาภายหลัง เป็นสิ่งที่ต้องแสดงทรรศนะกัน--มันก็วนกลับเข้ามาประเด็นที่ข้าพเจ้าเปิดนั่นแหละ ไม่ว่าจะเขียนชมใคร เขียนด่าใคร สุดท้ายทุกอย่างที่เขียนมันก็ประจักษ์แจ้งเป็นหลักฐาน และมันก็เป็นความจริงทั้งนั้น -นานาทรรศนะขอรับ- ที่เขียนมาคุยกับท่านนี้เพียงเพราะอยากบอกว่า อย่างไรก็ยังไม่นึกชอบใจเลยกับการกระทำเห่ย ๆ ของคนจำพวกนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่คิดสาดซัดอาวุธโต้กลับแล้ว ใช้ความสงบฯ และในความนิ่งหาได้หยุดนิ่ง ยังคงมีความเคลื่อนไหว จะเรียกว่าอะไร “อหิงสา?” หรือ...ก็ยังคงไกลสำหรับข้าพเจ้า ห้วงยามนี้คงต้องฝึกปรือการปล่อยวางให้ได้เสียก่อน คิดมากไปไยกัน อย่างน้อยผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมเยียนสำนักข้าพเจ้ายังน่ารักยิ่งกว่ามาก และหากยิ่งนับเทียบจำนวนกันแล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็มีเพียงหยิบมือเท่านั้น หาได้อ่อนไหว แต่ได้อารมณ์ (หาได้เกิดอารมณ์) จึงขออนุญาตส่งสาส์นร่วมสนทนากับท่าน หวังว่ามันคงมีประโยชน์บ้างสำหรับผู้ร่วมบรรณพิภพ เพราะว่าการถล่มด้วยถ้อยคำอักษรต่อผู้เขียนย่อมบังเกิดขึ้นแก่ทุกคน--เป็นอาวุธร้ายยิ่งกว่าลมปาก หากมิเคยพบพาน ข้าพเจ้าก็ขอให้โชคดี แต่หากพบเจอก็ขอให้ความสุขุมจงอยู่เคียงข้างท่าน · ด้วยจิตคารวะ ๖ ธ.ค. ๕๐ ประทีป จิตติ อักขราวุธ (อาวุธอันร้ายกาจ! ข้าพเจ้าตั้งชื่อให้เสียเลย) ด้วยความยินดีและไม่แปลกใจเลยขอรับที่พบเห็นพี่ท่านรับมือเช่นนั้น ข้าพเจ้าทราบดีว่าพี่ท่านผ่านช่วงเวลาเช่นนี้มาแล้ว แลด้วยวุฒิภาวะทำให้มองเห็นถึงความเปล่าสารัตถะในการต่อความยาวสาวความยืด คงไม่ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหาข้อสรุปถึงวิธีรับมือกับปรากฏการณ์ที่ว่า เพราะทางออกเด่นชัดอยู่แล้ว และไม่ต้องหาสาเหตุหรือที่มาที่ไปว่าทำไมพฤติกรรมนี้จึงไม่หมดเสียที เราเห็นทีต้องยอมรับว่านี่คือหนึ่งสีสันของสังคมมนุษย์ นานมาแล้วข้าพเจ้าพบพฤติกรรมเช่นนี้ที่คอมเม้นท์บ้านพักฯ ท่านนิ้ว ทำเอาท่านนิ้วฯ เงียบไปหลายวัน แต่ท่านก็พลิกกลับคืนมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว มีกำลังใจส่งถึงท่านมากมาย แต่พี่ท่านขอรับ--น่าแปลก! ไม่มีข้อความต่อว่า หรือโต้ตอบบุคคลดังกล่าวให้สาสมใจไปในแนวทางเดียวกันเลยสักคน (แปลกไหม?) เหตุการณ์เช่นนี้อาจตีความได้ว่า...คนส่วนมากหาได้มีพฤติกรรมเช่นนั้น หรือหากโต้ตอบไปเกรงเจอรังสีอำมหิตที่ร้ายกาจกว่า หรือวางเฉยไม่อยากข้องแวะ เอาล่ะพอแล้ว! ไม่ทราบว่าในความเป็นจริงนั้นเช่นไร แต่ผลแสดงออกคือหามีผู้ใดต่อปากต่อคำ ไม่มีผู้ใดชื่นชมหรือคุยด้วย บุคคลผู้นั้นคงได้อะไรบางอย่างกลับไปคิดอยู่บ้าง (ข้าพเจ้าคาดหวังเช่นนั้น) บอร์ดทั่วไปจึงต้องสมัครสมาชิก โชว์IP มีปุ่มแจ้งข้อความขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี ก่อความขัดแย้ง แต่บอร์ดหนอนยังไม่ยอมมี ไม่ทราบท่านเจ้าสำนักจะใช้เวลาอีกเนิ่นนานเพียงไรต่อการพิสูจน์ศรัทธาความดีงามในใจมนุษย์ ไม่ก็ท่านอาจปล่อยวัฏฏะเช่นนี้ให้หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ความดีงอกงามแล้วความเลวร้ายเข้าทำลายแล้วความดีค่อยก่อร่างสร้างรูปขึ้นมาใหม่รอความเลวร้ายเข้ามาทำลายครั้งใหม่ เพราะนี่ก็คือวัฏฏะโลก เพื่อที่สุดแล้วความดีและความเลวจะได้หลอมรวมแล้วเกิดบิ๊กแบงก์ก่อเอกภพครั้งใหม่ (ว่าไปโน่น!) แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านเจ้าสำนักไม่เคยบอกออกมา นั่นคือหนึ่งในการฝึกฝน! เราไม่ใช่จินตกวีที่ดำรงชีพดื่มกินจิตวิญญาณเสพอักษรสเฉพาะตนแล้วกลืนกินลงท้องไป ตัวอักษรของเราต้องการสื่อสารไปยังผู้คน เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจำต้องยืนอยู่ท่ามเปลวแดดสายฝน ร่างกายแลจิตใจที่ผ่านการฝึกตนแล้วเท่านั้นที่จะทานทนอยู่ได้ หากบอร์ดหนอนใส่Filter ต่าง ๆ บอร์ดหนอนจะต่างอะไรกับบอร์ดทั่วไป! ท่านเจ้าสำนักตอบคำถามเดิม ๆ อยากเป็นนักเขียนทำอย่างไร? อย่างไม่ยอมเบื่อหน่าย ให้กำลังใจคนที่เขียนอย่างจริงจังเสมอ เป็นที่แน่ว่าท่านอยากเห็นพัฒนาการของเหล่าหนอนนักหัดเขียน หากให้ข้าพเจ้าเดา คนเหล่านั้นคงเป็นวิทยากรอันท่านเชิญให้มาช่วยทำการอบรมโดยจ่ายเป็นกระพี้อัตตาอย่างดีสามสี่ซอง ไม่ก็อาจเป็นหนึ่งในไม้กระบองธรรมที่ท่านใช้วิชาเซ็นอบรมศิษยานุศิษย์ เรียกมันว่า "อักขราวุธ" ความสงบแห่งขันติธรรมนำมาซึ่งจิตที่เปี่ยมพลังอันจำเป็นต่อการสร้างงาน ต่างจากความอวดกล้าท้าทายที่นำแต่ความร้อนรุ่ม ขอพี่ท่านจำเริญในขันติธรรมยิ่งยิ่งขึ้นเทอญ ด้วยจิตคารวะ ธุลีดิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น