มิ่งเยาวมิตร
ขณะเขียนจดหมายถึงเธออยู่นี้ ลมยังกระโชกแรง เสียงใบไม้กระพือคล้ายพายุครางดังอยู่ไม่ขาดเสียง เมื่อคืนอีกครั้งแทบไม่ได้หลับนอน
ฉันผวาตื่นทุกครั้งลมแรงพัดทุกสิ่งทุกอย่างปลิวกระแทกเสียงตึงตัง จู่ ๆ กลับนิ่ง นิ่งเสียจนใบไม้ไม่ไหวติง พวกจิ้งหรีดไม่ยอมกรีดปีก อากาศที่ก่อนหน้าเย็นจนสะท้านกลับอบอ้าว อึดอัดอยู่ในถุงนอน ฉันลืมตาตื่น เป็นไปเยี่ยงนี้จนสาง
กับอีกหลายครั้งคืนกำลังหลับสนิทก็คันยุบยิบ ลุกขึ้นฉายไฟ พวกมดยกขบวนหนีฝน ไต่มุ้งไต่หมอนจนไม่เหลือที่ให้หลับนอน
เมื่อคืนนั่งเขียนกลอน เริ่มได้แค่บทสองบทแมลงเม่าบินมาตอมไฟ ต้องยอมปิดนั่งเขียนในความมืด มิฉะนั้นหากพวกแมลงเม่ามาตายบนขนำก็จะชักนำพวกมดตามมาอีก
ฝนตกฟ้าปิดมาหลายวันแล้ว ชาวบ้านถึงกับบ่นว่าอาเพศวิปริตไม่เคยเป็นมา หน้าร้อนที่นี่หากจะมีฝนก็แค่พัดผ่านตกประเดี๋ยวประด๋าว มิใช่ตกข้ามวันคืนอย่างหน้าฝนปลายปีเยี่ยงนี้ น้ำนองเจิ่งคันคูท่วมเข้าถนน บางช่วงลึกกว่าครึ่งล้อจนรถเครื่องผ่านไม่ได้ ถนนลูกรังที่ถูกรถบรรทุกขนหน้าดินวิ่งจนเละกลายเป็นร่องโคลนเฉอะแฉะ
วันวานเมฆเปิดฟ้าพอได้ตากเสื้อผ้า
ชีวิตสมถะเสื้อผ้าน้อยชิ้นเบาสบายหลุดพ้นจากจริตสังคมกลับกลายเป็นอัตคัตขัดสนเมื่อต้องผจญพายุฝนข้ามวันข้ามคืน สาดซัดจนต้องหลบซุกอยู่แต่มุมห้อง เสื้อผ้าเปียกปอนจนสิ้นที่พาดตาก นั่งห่อถุงนอนป้องลมเย็น ลมเย็นที่พัดแรงตลอดเวลาหากโดนสักครู่ก็คล้ายจะจับไข้
ตำบลฉันอยู่อาศัยเป็นที่โล่ง ทุกครั้งมีลมกรรโชกพายุผ่านจึงรับแรงอย่างที่ซึ่งแวดล้อมด้วยตึกรามบ้านช่องไม่ต้องพบพาน พัดจนฝาครอบกระเบื้องหลังคาตอกประกบแผ่นแตกเมื่อครั้งโดนพายุปลายปีปลิวหล่น
ฉันปีนขึ้นไปซ่อมไม่ได้เพราะร่างกายอดนอนขาดการออกกำลังกายกระปลกกระเปลี้ยเต็มที เกิดอาการความดันต่ำตาลายไม่อาจทรงตัว หากสภาพอากาศยังเป็นไปเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับร่างกายอย่างไร เพราะหลับนอนอยู่กับขนำกลางนานี้สุดวิสัยควบคุมจริง ๆ
ฉันยังคงดำรงอยู่บนดาวแห่งนี้ ดาวสีดินที่ทุกข์ทรมานเหลือเกิน ดำรงอยู่ด้วยตระหนักรู้ว่าไม่นานความทุกข์ทรมานก็จะผ่านพ้น ธรรมชาติมีทั้งเวลาที่สวยงามและโหดร้าย ไม่ว่าเวลานั้นจะงดงามเพียงไร หรือเป็นช่วงเวลาที่ร้ายกาจแค่ไหน ทุกครั้งย่อมมีวันพ้นผ่าน
ยอดเยาวมิตร..หลายครั้งเมื่อต้องผจญช่วงเวลาระทมทุกข์ ชีวิตไม่เป็นอย่างต้องการ ฉันคิดถึงมนุษย์ที่เกิดมาในห้วงสงคราม ข้าวยากหมากแพง ในช่วงเวลาที่ปลายกระบอกปืนไม่รู้จะชี้ไปที่ใคร อาหารจะกินแต่ละมื้อลำบากยากเข็ญ ต้องคอยวิ่งหลบระเบิดไม่รู้จะหล่นลงที่ใด พวกเขาผ่านวันเวลานั้นมาได้อย่างไร รักษาชีวิตไว้ได้อย่างไร?
ฉันเองอย่างน้อยไม่ได้ดำรงชีวิตในช่วงเวลาหฤโหดนั่น ครั้นต้องผจญกับความร้ายกาจของธรรมชาติ ก็จะเฝ้าตอบตัวเองว่าจะผ่านวันเวลานี้ไปได้อย่างไร?
ก็เมื่อที่ตรงนี้เอง ชานขนำน้อยนี่เองที่ฉันนั่งอาบจันทร์กระจ่าง สายลมอ่อนเอื่อย ปล่อยดวงใจโบยบินไปในแสงเงินยวง บางครั้งคืนฟ้าไร้จันทร์มีดาวระยิบเต็มฟ้า เจ้าหิ่งห้อยน้อยโดดเดี่ยวอยู่ในกอกก ทุกค่ำนั่งดูมันค่อย ๆ สร้างครอบครัว มิใช่ภาพฝันหรือจินตนาการแต่เป็นภาพจริงอยู่เหนือศีรษะฉันอยู่รอบ ๆ ตัวฉันนี่เอง
วันเวลาเหล่านั้นย่อมต้องคืนกลับมา ขอเพียงฉันผ่านวันเวลาเลวร้ายไปให้ได้ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกช่วงเวลาอย่างเท่าทัน
หลายปีแล้วที่ผจญกับชีวิตเยี่ยงนี้ ฉันยังต้องฝึกทำความเข้าใจ ฝึกปรับตัว ฝึกดำรงอยู่อย่างประนีประนอมกับทุกสภาพชีวิต ทำได้ไม่ดีนัก คงต้องพยายามต่อไป
ลมยังพัดแรง เมฆฝนหม่นมัวคลี่ม่านลงอีกแล้ว เม็ดฝนปลิวกระหน่ำกระเบื้องหลังคา ฉันหันมองออกนอกหน้าต่าง แมกไม้ใบไม้ไหวว่อน พวกนกส่งเสียงร้องระงม (พวกมันคงระกำลำบากไม่น้อยกว่าฉัน) ตายังพร่าลายคล้ายมีบางอย่างโยกหมุนอยู่ในหัว เห็นทีต้องจบจดหมายไว้เพียงนี้
ขอบคุณคำถามไถ่ส่งถึงกัน
ขนำน้อยเหน็บหนาว
กลางแล้งฤดูลม
ป.ล. เรื่องสั้นชวนหงัวที่ว่าจะเขียนส่งมาให้อ่านมีอันต้องรอไว้ก่อน ก็เมื่อชีวิตประจำวันฉันยิ้มไม่ออกเอาเสียเลย อย่างที่บอก..ยังต้องฝึกฝนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น