รู้จัก “ชิฮิโระ อิวาซากิ” ให้มากกว่า ภาพวาดประกอบ “โต๊ะ โตะ จัง เด็กน้อยข้างป่องเยี่ยม - Celeb Online - Manager Online: "รู้จัก “ชิฮิโระ อิวาซากิ” ให้มากกว่า ภาพวาดประกอบ “โต๊ะ โตะ จัง เด็กน้อยข้างป่องเยี่ยม""
'via Blog this'
เพราะนิทรรศการนี้ไม่เพียงจัดแสดงประวัติหนังสือภาพของญี่ปุ่น ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสมัยสงคราม และหลังสงคราม แต่ยังมีส่วนที่จัดแสดงผลงานของ ชิฮิโระ อิวาซากิ( Chihiro Iwasaki) ผู้เป็นเจ้าของภาพวาด ที่ถูกนำมาใช้เป็นภาพประกอบ“โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” วรรณกรรมเยาวชนของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังและได้รับการแปลเป็นหลายภาษาทั่วโลก | |||
คนไทยส่วนใหญ่อาจรู้จักผลงานของ ชิฮิโระ อิวาซากิ ผ่านหนังสือ “โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” แต่ความจริงแล้วผลงานของเธอยังปรากฎอยู่ในหนังสือภาพและวรรณกรรมเยาวชนของญี่ปุ่นอีกหลายเล่ม รวมถึงเล่มอื่นๆที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยเช่นกัน อาทิ เก้าอี้กับเด็กหญิงอีดะ “ชิฮิโระ อิวาซากิ มีชื่อเสียงโด่งดังมากในญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศ สิ่งที่ทำให้ผลงานของเธอเป็นที่จดจำและระลึกถึงเสมอคือ ภาพวาดสีน้ำของเด็กๆในอากัปกิริยาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขณะที่กำลังเล่น หรือ มีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ต่างๆ รวมถึงการเลือกใช้สีที่สดใสเหมือนกับวันเยาว์ของเด็กๆ ไม่ต่างจากที่เธอเคยกล่าวไว้ว่า...ขณะที่กำลังวาดภาพของเด็กๆ ฉันรู้สึกราวกับกำลังวาดภาพวัยเยาว์ของฉันเอง... และขณะเดียวกันภาพวาดของเธอก็ซ่อนไว้ซึ่งความปรารถนาที่จะให้เกิดสันติภาพ ของเด็กๆในยุคสมัยสงคราม” | |||
โดย ‘ยูโกะ ทาเคะซาโกะ’ ได้เล่าถึง ‘ชิฮิโระ อิวาซากิ’ ผู้จากโลกนี้ไปแล้วเมื่อปี 1974 แต่ผลงานภาพวาดของเธอยังคงยิ้มแย้มอยู่ในหัวใจของหลายๆคนว่า ชิฮิโระ อิวาซากิ มีคุณพ่อเป็นสถาปนิกของกองทัพบก มีคุณแม่เป็นครู สมัยสงคราม คุณแม่ของเธอได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดหาเด็กสาว เพื่อส่งไปแต่งงานกับนักบุกเบิก ที่เดินทางไปประเทศจีน ทำให้เธอเติบโตขึ้นในสภาพที่ถูกเลี้ยงดูมาในสังคมที่ไม่ลำบากในช่วงสงคราม มีชีวิตที่มีความสมบูรณ์พูนสุข ได้รับการศึกษาที่ดี ในระหว่างสงคราม เธอเคยเป็นหนึ่งในบรรดาสุภาพสตรีญี่ปุ่น ในคณะบุกเบิก ที่เดินทางไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ในส่วนที่ติดกับชายแดนโซเวียต เพื่อทำหน้าที่ในฐานะครูสอนการเขียนพู่กัน และในวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 ที่โตเกียวมีการทิ้งระเบิดทางอากาศขนาดใหญ่ ทำให้เธอต้องหนีหัวซุกหัวซุน ขณะที่บ้านก็ถูกเผา แต่เธอกลับรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหารย์ กระทั่งสงครามสิ้นสุดลง ทำให้เธอย้อนนึกถึงสภาพความยากลำบากของการดำเนินชีวิตในช่วงสงคราม และตั้งคำถามว่าทำไมถึงได้เกิดสงครามขึ้น รวมถึงเป็นช่วงที่ตัดสินใจที่จะมีชีวิตในฐานะจิตรกรวาดภาพที่ต้องการถ่ายทอดด้วยความหวังว่า ต้องการให้สันติภาพเกิดขึ้น ไม่ต้องการให้เด็กทุกคนในโลก ได้พบกับสงครามอีก ในความคิดของเธอนั้น ความสุขของเด็กๆจะส่องประกายในโลกที่ปราศจากสงคราม,เด็กๆ เป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข และเธอก็ได้ผลิตผลงานจากความหวังที่ฝันถึงสันติภาพ แม้ว่าภาพวาดของเธอส่วนใหญ่จะเป็นภาพของเด็กๆที่น่ารัก แต่เธอก็มีผลงานหนังสือภาพ 3 เล่ม ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสงคราม ได้แก่ When I was a Child(ตอนที่เราเป็นเด็ก) ผลงานภาพวาดที่เกี่ยวกับเด็กที่โดนกัมมันตภาพรังสี จากการทิ้งระเบิดปรมาณู ที่ฮิโรชิม่า ,Mother is not at Home (เมื่อแม่ไม่อยู่) เล่าเรื่องคุณแม่ที่ต้องไปเป็นทหาร ในสงครามเวียดนาม และChildren in the Flames of War (เด็กในไฟสงคราม) “หนังสือภาพทั้ง 3 เล่ม ของเธอไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆว่า คัดค้านสงคราม แต่จากภาพวาดแต่ละภาพของเธอ ทำให้รู้สึกได้ว่า เด็กๆต้องพบกับความลำบากยากเข็ญขนาดไหนเมื่อเกิดสงคราม” ตัวอย่างเช่น ภาพใบหน้าของเด็กๆในกลีบดอกไม้สีแดง แต่ละกลีบที่ร่วงโรยไป เปรียบเหมือนชีวิตของเด็กๆที่ต้องสูญเสียไป ,ภาพของหนูน้อยที่จากไปอย่างรวดเร็วราวสายลม ,ภาพเช้าที่ระเบิดตกลงมาจากฟ้า ซึ่งเป็นภาพของพ่อแม่กำลังค้นหาลูกของตัวเอง และภาพของแม่กับลูกที่อยู่ท่ามกลางเปลวไฟ ในอ้อมกอดของแม่มีเด็กทารกคนหนึ่งที่มีสีหน้าไร้เดียงสา โดยภาพนี้ปรากฎอยู่ใน Children in the Flames of War (เด็กในไฟสงคราม) ผลงานหนังสือภาพเล่มสุดท้ายของ ชิฮิโระ อิวาซากิ “ผลงานเหล่านี้สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกเงียบๆของ ชิฮิโระ อิวาซากิ เวลามองภาพ เหมือนภาพได้ถามคนที่ดูภาพนี้ให้ได้คิดขึ้นมาว่า พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ ควรจะมีชีวิตอย่างไรเพื่อเด็ก หรือเรามีหน้าที่อะไรต่ออนาคตของเด็ก” | |||
ART EYE VIEW ขอทำหน้าที่นำชม ผลงานส่วนหนึ่งของเธอ ถูกจัดแสดงเพื่อเป็นการเชื้อเชิญผู้ชมพอหอมปากหอมคอ ณ บริเวณผนังโค้งของ ชั้น 3 หอศิลป์ กทม.(ใกล้กับทางเชื่อม BTS) ขณะที่ส่วนจัดแสดงหลักอยู่บริเวณผนังโค้ง ชั้น 5 และอยากบอกเล่าให้ฟังว่า ผลงานที่นำมาจัดแสดงไม่ใช่ผลงานต้นฉบับ แต่เป็นผลงานภาพพิมพ์เทคนิคไพโซกราฟ(Piezograph) ที่มีจำลองสัดส่วนและสีให้ใกล้เคียงกับผลงานต้นฉบับมากที่สุด ส่วนใครที่อยากชมผลงานต้นฉบับต้องไปชมที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะชิฮิโระ ประเทศญี่ปุ่น บริเวณผนังโค้ง ชั้น 5 ไล่จัดแสดงนับตั้งแต่ประวัติของ ชิฮิโระ อิวาซากิ และผลงานภาพวาดที่ถูกนำประกอบหนังสือ “โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” ฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์มานานกว่า 35 ปี รวมถึงผลงานภาพวาดที่จะใช้สำหรับ “โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” หนังสือภาพ 2 เล่ม ที่เพิ่งได้รับการตีพิมพ์ที่ญี่ปุ่น ล่าสุดในปีนี้ และกำลังถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ถัดมาเป็นส่วนที่จัดแสดงผลงานภาพสเก็ตช์ที่ ชิฮิโระ อิวาซากิ สเก็ตช์ภาพตัวเอง ในขณะที่กำลังใช้มือกุมศรีษะ เพราะช่วงนั้นเธอกำลังเครียดอยู่ เนื่องจากเป็นช่วงที่สงครามกำลังจะสิ้นสุดลง ช่วงที่สับสนว่าจะสามารถดำรงชีวิตเป็นนักวาดภาพอย่างเดียวไปได้ตลอดไหม แต่ก่อนที่จะมาเป็นนักวาดภาพ มีผลงานหนังสือภาพ เธอเคยทำงาน เป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์และเคยวาดภาพ แม้เธอจะได้รับคำชมว่าเป็นคนที่วาดภาพเก่ง มาตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็ไม่เคยเข้าเรียนในโรงเรียนสอนศิลปะ ทว่าในชีวิตประจำวัน เธอจะมีสมุดสเก็ตช์อยู่ในมือตลอด และลูกชายของเธอก็มักจะเล่าสมอว่า แม่จะถือสมุดสเก็ตช์ และวาดภาพอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในนิทรรศการยังมีภาพที่เธอได้สเก็ตช์ภาพผู้คนที่กำลังเบียดเสียดอยู่ในรถไฟ มาให้ชมด้วย พร้อมกับภาพสามีที่กำลังนอนหลับและภาพของทาเคชิ ลูกชายคนเดียวของเธอ กล่าวกันว่า ชิฮิโระ อิวาซากิ เป็นคนที่รักเด็กมาก แม้กระทั่งลูกชายคนเดียวของเธอ เธอยังไม่เคยดุไม่เคยด่าเลย ในภาพที่เธอสเก็ตซ์ภาพลูกชายจะมีตัวหนังสือตัวเล็กๆเขียนไว้ด้วยว่า “ทาเคชิ ที่น่ารักของฉัน” ผลงานในส่วนนี้ต้องการบอกให้ทราบว่าก่อนที่เธอจะมีผลงานปรากฎอยู่ในหนังสือภาพกว่า 40 เล่ม เธอเริ่มสเก็ตช์ภาพจากสิ่งที่เธอสนใจรอบตัวก่อน | |||
ก่อนจะมาเป็นหนังสือภาพเล่มนี้ บรรณาธิการได้ทราบมาว่า เธอสามารถวาดภาพเด็กได้ดี ก็เลยไปขอให้นักเขียนคนหนึ่ง ช่วยเขียนเรื่องที่เล่าเกี่ยวกับชีวิตของเด็ก และให้เธอทำหน้าที่วาดภาพประกอบ จากเล่มแรก จากนั้นเธอก็ยังมีภาพวาดประกอบอยู่ในหนังสือภาพอีก 2 เรื่องของนักเขียนคนเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องของเด็กหลายคนที่อยู่ในโรงเรียนอนุบาล กระทั่งหนังสือภาพรวมทั้ง 3 เล่มนี้ ทำให้เธอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะที่เป็นผู้วาดภาพเด็ก ภาพแต่ละภาพมีการใช้สีที่มีความละเอียด และเธอได้ใส่ใจและทุ่มเท กว่าจะออกมาเป็นภาพหนึ่งภาพ จากผลงานในยุคแรกเริ่ม ผู้ชมจะเริ่มได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในผลงานของเธอ เช่น ภาพที่ใช้ประกอบนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นที่ชื่อ “เจ้าสาวนกกระเรียน” ซึ่งในการวาดสีน้ำมีการใช้น้ำมากเป็นพิเศษมาผสมสี และภาพที่วาดออกมาไม่เกิดเป็นเส้นขอบ ถัดมาอีกเป็นผลงานที่ประกอบที่อยู่ในรวมวรรณกรรมแอนเดอร์สัน ไปจนถึงภาพที่ถูกใช้หนังสือภาพ ที่เธอเริ่มเป็นคนเขียนเนื้อเรื่องด้วยตัวเอง ผลงานหนังสือภาพที่เธอวาดภาพเองและเขียนเรื่องเอง และมีตัวเอกเป็นเด็กผู้หญิง มีทั้งหมด 6 เล่มด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้วิตอยู่คนเดียวในวันที่ฝนตกคนเดียว ถูกแม่ทิ้งให้อยู่ที่บ้านคนเดียว ในขณะที่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เด็กผู้หญิงคนนี้ก็ตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับดี ในส่วนนี้บอกถึงลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งในผลงานภาพวาดของเธอคือ จะทิ้งที่ว่างไว้ในผลงานเยอะๆ หรือวาดภาพลงไปเพียงส่วนเดียวของหน้ากระดาษทั้งแผ่น ภาพเด็กหญิงที่กำลังโทรศัพท์ โทรไปหาบุคคลต่างๆที่อยู่ในจินตนาการของเด็ก รวมถึงพระอาทิตย์ เป็นภาพประกอบ ที่เธอวาดให้กับเรื่องของนักเขียนมีชื่อเสียงคนหนึ่ง ซึ่งเธอก็สามารถวาดภาพประกอบเรื่องได้อย่างสมดุล ถัดมาเป็นภาพที่เธอวาดประกอบเรื่องที่เธอเป็นคนเขียนเรื่องเอง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุนัขที่ชื่อ โบ๊ะจิ เป็นฉากตอนที่เด็กผู้หญิงในเรื่องไปเที่ยวบ้านยายที่อยู่ต่างจังหวัด แล้วเธอก็คาดหวังว่าจะได้เจอสุนัขตัวนี้ที่บ้านคุณยาย รอตั้งนานในที่สุดสุนัขก็ออกหมา ซึ่งทำให้เธอกรู้สึกมีความสุข รีบวิ่งไปเล่นกับสุนัข เนื้อเรื่องไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร เล่าชีวิตประจำวันทั่วไป แต่มีวัยเด็กของผู้วาดอยู่ในนั้นด้วย นั่นคือ การได้เฝ้ารอบางอย่าง และดีอกดีใจ เมื่อสิ่งเฝ้ารอนั้นได้เกิดขึ้น จนมาสู่ผลงานที่แสดงให้เห็นว่าภาพวาดของเธอมีลักษณะการวาดภาพที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น มีการใช้พู่กันที่มีขนาดใหญ่ขึ้น นำมาป้ายเพื่อให้เกิดเป็นภาพที่มีลักษณะเจือจาง และสิ้นสุดที่ผลงานที่ปรากฎอยู่ในหนังสือภาพในช่วงสุดท้ายของชีวิต นั่นคือหนังสือภาพ 3 เล่มที่เกี่ยวกับสงครามดังที่กล่าวมา เป็นหนังสือภาพที่ไม่ได้มีการเล่าเรื่องใดๆ แต่มีข้อความสั้นๆใต้ภาพที่เป็นการสะท้อนความรู้สึกของเธอที่มีต่อสงคราม ในช่วงที่เธอทำหนังสือภาพเล่มที่ชื่อ Children in the Flames of War (เด็กในไฟสงคราม) เป็นช่วงที่เกิดสงครามเวียดนาม ความรู้สึกที่มีต่อสงครามเวียดนาม ถูกนำมาซ้อนกับประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต นั่นคือช่วงที่เธอเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายจากสงครามโลก ครั้งที่ 2 จนออกมาเป็นหนังสือภาพเล่มนี้ และในช่วงที่ทำหนังสือภาพเล่มนี้ เธอนำผลงานภาพวาดของเธอเองกว่า 50 ภาพ มาเลือกและคิดคำบรรยายประกอบภาพ ซึ่งในขณะนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ที่ต้องเลี้ยงลูกชายที่ยังเล็กไปด้วย เป็นช่วงที่กล่าวได้ว่าชีวิตกำลังยากลำบาก | |||
นอกจากบอกเล่าย้อนความหลังให้ฟังในช่วงเวลาที่แปลหนังสือ “โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข สนุกชนิดวางไม่ลงว่า “ตอนนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ ใช้มือเขียนด้วยดินสอ ดินสอสวยๆ ต้องเหลาแหลมๆไว้เยอะๆเลย และแปลลงในสมุดที่ปกสีสวยๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง แต่ละวันกว่าจะเสร็จงาน นิ้วกลางจะโดนดินสอเบียดจนกระทั่งเจ็บมาก จนทนไม่ไหว และเมื่อกลับมาอ่านก็ยังสนุกทุกครั้ง” ยังบอกถึงความน่าสนใจของภาพวาดของ ชิฮิโระ อิวาซากิ ที่ถูกมาใช้ประกอบเรื่อง “โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” ซึ่งเขียนโดย ด้วยว่า “เป็นเรื่องที่น่าประหลาด เพราะคนวาดภาพเสียชีวิตตั้งแต่ปี 1974 แต่หนังสือเล่มนี้เขียนปี 1981 นั่นแสดงว่าคนวาดภาพ เขาวาดภาพเกี่ยวกับเด็กไว้ได้อย่างสมจริงสมจังมากเลย และครบถ้วนมาก” นั่นคือ เท็ตสึโกะ คุโรยานางิ ผู้แต่งเรื่อง ไม่เคยเจอกับ ชิฮิโระ อิวาซากิ ผู้วาดภาพซึ่งเสียชีวิตไปก่อน แต่ได้ทราบว่า ชิฮิโระ อิวาซากิ วาดภาพเด็กเอาไว้มากมาย และในเวลาที่ เท็ตสึโกะ คุโรยานางิ แต่งเรื่อง ก็จะนึกถึงภาพวาดของ ชิฮิโระ อิวาซากิ ไปด้วย จากนั้นเมื่อแต่งเสร็จก็เลยไปขอภาพมาใช้ประกอบหนังสือ “ภาพวาดเด็กของ ชิฮิโระ อิวาซากิ เป็นภาพที่วาดด้วยสีน้ำ โดยไม่ต้องร่างเลย ไม่มีร่องรอยของดินสอเลย และเป็นภาพที่สวยงาม มีอารมณ์ของอิริยาบถของเด็กอย่างแท้จริง และเป็นภาพที่ทำให้เห็นถึงความแตกต่างของเด็กต่างวัย เหมือนกับเธอเขียนภาพตัวเองในวัยต่างๆ ตั้งแต่ทารกจนถึงประถม ผลงานของเธอ ดิฉันคิดว่าหลายคนเคยเห็นมาบ้าง แต่นิทรรศการครั้งนี้ มีมาให้ดูเยอะแยะ” ผุสดี เชิญชวนให้ทุกคนมาชม ที่ไม่เพียงแต่ภาพวาดที่ใช้ประกอบหนังสือเล่มดังที่เธอเคยทำหน้าที่เป็นผู้แปล ( ซึ่งนักเขียนลาว “เอื้อยดวงเดือน” เคยนำไปแปลเป็นภาษาลาว และตีพิมพ์ให้อ่านเป็นตอนๆใน หนังสือชื่อ “วรรณศิลป์” ของ หอสมุดแห่งชาติลาว ในชื่อ "โต๊ะ โตะ จัง เด็กน้อยข้างป่องเยี่ยม" ) แต่ยังรวมถึงภาพวาดจากหนังสือภาพเล่มอื่นๆของ ชิฮิโระ อิวาซากิ ที่ถูกนำมาจัดแสดงที่ประเทศไทยครั้งนี้ ซึ่งทุกคนไม่ควรพลาดมาชม | |||
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น