ประทีปตายแล้ว
ข่าวคราวมากับแจ้งเตือนในเฟซ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เฟซไม่ใช่ที่จะยึดอะไรเป็นตุเป็นตะ ทุกตัวอักษรทุกข้อความทุกสเตตัสล้วนต้องกรองแล้วกรองอีก หลายข้อความแสดงความเสียใจนั่นอาจเป็นมุข (ไม่ก็เหยี่อของคนสร้างมุขอีกที) อาจมีเพื่อนขี้เล่นสักคนล้อประทีป
'ขอให้ไปสู่สุคติ นายเป็นเพื่อนที่ดี'
จากนั้นก็มีคนมือไวแสดงความเสียใจ และมีคนใจเร็วพิมพ์ข้อความต่อ R.I.P, R.I.P
ผมเข้าไปหน้าเฟซของประทีป
ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว ข้อความยาวเหยียดมีแต่คนแสดงความเสียใจ รวมเพื่อน ๆ ที่เคยร่วมสถาบัน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ประทีปอ่อนกว่าผมแทบจะครึ่ง คนหนุ่มที่ยังไม่สมควรตาย เขาคือคนจุดประกายให้ผมลงมือเขียนหนังสืออย่างต่อเนื่อง มีวินัย
"เขียนออกไม่ออกก็ต้องนั่งลง นั่งลงที่เดิมเวลาเดิม เขียนไม่ออกก็นั่งจ้องหน้าจอมันยังงั้นล่ะ" ประทีปบอก
ผมเริ่มหัดขีดหัดเขียนที่บอร์ดหนอนสนทนาของนักเขียนดับเบิ้ลซีไรต์ผมเป๋ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาหนุ่มเหน้าตลอดกาลวินทร์ เลียววาริณ นั่งเฝ้าบอร์ดเหมือนนักเรียนไปโรงเรียน อ่านทุกตัวอักษร เขียนได้วันละนิดละหน่อยเพราะกว่าจะเรียบจะเรียงแต่ละวรรคคำ คิดแล้วคิดอีก ไม่รู้จะเริ่มจะลงอย่างไร อาศัยวิ่งโล่ไปทักคนโน้นคนนี้ พิมพ์ต่อความคิดความเห็นโดยถือเสียว่าฝึกเรียบเรียงลำดับรอยหยักในขมองให้เป็นตัวหนังสือ ประทีปโผล่มาสัปดาห์ละหน ด้วยบทความประณีตบรรจิตบรรจง บอกเล่าเรื่องราวรอบตัวลงลึกถึงความรู้สึกภายใน แรงสะท้อนที่มีต่อการตกกระทบของโลกภายนอก ภาพประกอบโลโก้รูปลูกโลกหมุนรอบตัวเองและทักทายคนโน้นคนนี้พอเป็นพิธี
'เก็กชะมัด'
ผมพึมพำอยู่อย่างนั้นเพราะประทีปทักเฉพาะบางคน ไม่ทักคนแปลกหน้า กับข้อเขียนไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมประทีปไม่ยอมผ่านตาเหมือนเดินข้ามหัวเลยไปหาคนที่สนิทสนม แล้วก็หายไป จนกว่าจะเช้าวันอาทิตย์ บทความ 'โลกหมุนรอบตัวเอง' ก็จะกลับมา ทุกคนจะเฮกันตอบต่อคอมเม้นท์ (รวมผมด้วย) จนเป็นเหมือนไอดอลประจำบอร์ด
ผมตื๊อตอบคอมเม้นต์บทความของประทีปจนเขาค่อย ๆ โต้ตอบ แต่ก็เป็นแบบสั้น ๆ ขอไปที ไม่ก็ตามมรรยาท บ่อยครั้งคอมเม้นต์ผมยาวเสียกว่าตัวบทความ แล้วประทีปก็กลับมาตอบสั้น ๆ
'ขอบคุณครับ'
เขามีสิทธิ์จะเย่อหยิ่ง คนที่เขียนหนังสือดีแล้วจะมามัวเสียเวลากับนักหัดเขียนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไย โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เช้าวันอาทิตย์ทีไร ผมจะรออ่านบทความ 'โลกหมุนรอบตัวเอง' ด้วยความที่ประทีปโผล่มาเป็นวัตรไม่เคยขาดหาย หนใดมาช้าผมจะโพสต์ข้อความถามหา แล้วเขาก็โผล่มา
ผมคิดเอาอย่างโดยตั้งชื่อบทความของตัวเองขึ้นมาบ้าง คิดไปว่าไม่น่าจะยาก สัปดาห์ละหนึ่งบทความ เขียนตุนไว้แล้วทยอยเอาลง ไม่มีทางพลาด
ไม่ง่ายอย่างคิด
ผมทำได้ไม่กี่สัปดาห์ก็ต้องมีอันตะกุกตะกัก กะปริบกะปรอยด้วยเหตุติดขัดสารพัดสารพัน เหตุผลกลข้อใหญ่ก็คือไม่รู้จะเขียนอะไร ไม่รู้จะเขียนอะไรจริง ๆ แทบทุกเรื่องเป็นเรื่องประดาษรอบตัว ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน ไม่รู้จะเอามาเล่าทำไม
"เขียนได้ทั้งนั้น ทุกเรื่องนั่นแหละ" ประทีปช่วยไขข้อข้องใจ "อยู่ที่ทำให้มันมีมิติ เชื่อมโยงความคิดความเห็นความรู้สึกของเรา ทำให้มีความลึก"
เราค่อย ๆ สนิทสนมกันมากขึ้น จากคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ จนถึงช่วยดูช่วยเกลางานให้ ประทีปทุ่มเทเอาจริงเอาจังช่วยเหลือเพื่อน ๆ ทั้งที่งานปรู๊ฟไรเตอร์ก็ยุ่งล้นมือ และงานเรื่องสั้นของประทีปก็ถูกตีพิมพ์ตามหน้านิตยสารเล่มโน้นเล่มนี้แทบเดือนชนเดือน
"หนังสือพิมพ์เสร็จแล้ว ขอที่อยู่ด้วยผมจะส่งให้"
ประทีปบอกมาในข้อความเฟซ ไม่กี่ว้นถัดมารวมเรื่องสั้นเล่มแรกในชีวิตของนักเขียนรางวัลสุภาว์ก็มาถึงมือ
"ยอดขายเป็นไงมั่ง" ผมถามเมื่อเราพบหน้ากัน
"อย่าพูดถึงมันเลย" ประทีปส่ายหน้าพ่นควันบุหรี่ไปทางอื่น "เหมือนรวมเรื่องสั้นเล่มอื่น ๆ นั่นแหละ"
ประทีปเลือกงานได้เหมาะกับความฝัน ไม่เหมือนผมกับพลพรรคบอร์ดหนอนคนอื่น ๆ งานเขียนเป็นสิ่งไกลตัวห่างจากงานประจำไปคนละทิศละทาง จนบ่อยครั้งกว่าจะกลับเข้าโลกขีดเขียนได้สักทียากเย็น แต่ประทีปจมตัวเองอยู่กับกองหนังสือ อ่านหนังสือทั้งวัน
"ผู้คนประเทศนี้ก็แปลก ทีนิยายรัก ๆ ใคร่ ๆ อ่านกันได้อ่านกันดี สำนักพิมพ์พิมพ์กันแทบไม่ทัน ดูอย่างเจ้านายผมสิไปเมืองนอกแทบไม่เคยกลับบ้าน" ประทีปควักตลับเล็ก ๆ เปิดฝาออกรับก้นบุหรี่ เคาะนิ้วบนมวนบุหรี่แล้วตวัดคืนเข้าขอบปากเหมือนนักมายากลพลิกไพ่ พูดทั้งริมฝีปากคาบบุหรี่ "พวกคนเขียนเรื่องหนัก ๆ หมดไฟก็เลิกรากันไป ไม่ไปทำอย่างอื่นหาเลี้ยงครอบครัวก็หันไปเขียนคอลัมน์หาตังค์ใช้ พวกวัยหนุ่มหน้าใหม่ที่ยังไขว่คว้าไล่หาความฝันก็ขยับเข้ามาแทน งานเขียนบ้านเราเลยย่ำอยู่กับที่"
"เราเลยมีกันแต่นักเขียนสมัครเล่น" ผมลองแปลความ
"ช่าย" ประทีปพยักหน้า "ภาพชีวิตที่สะท้อนความทุกข์ยากจะเกิดจากปลายพู่กันขนนุ่มราคาแพงได้ไง มันต้องเป็นลายเส้นหยาบ ๆ ของดินสอช่างไม้สิถึงจะถูก ไม่งั้นทั้งหมดทั้งมวลก็" หันมองหน้าผม "ตอแหล"
"จะบอกว่าบ้านเราไม่มีนักเขียนที่อุทิศชีวิตเพื่องานเขียนจริง ๆ มีแต่ทำเป็นงานอดิเรก งั้นสิ" แน่ล่ะรวมตัวผมด้วย
"ช่าย" ประทีปบี้ก้นบุหรี่กับตลับสังกะสีแล้วปิดฝา "หากจะมีก็คงแต่พี่หนกมั้ง"
หมายถึงกนกพงศ์ นักเขียนผู้มาก่อนกาล
"ผมนี่แหละจะคนต่อไป"
ประทีปหยิบกระป๋องเบียร์แหย่นิ้วดันคลิบกด เสียงเบียร์ฟู่ฟอง ปล่อยฟองรินขอบกระป๋องก่อนยกซด เรานั่งห้อยขาหันหน้ามองแสงไฟสะท้อนเงาน้ำเจ้าพระยา
ความฝันนั้นสวยงามเสมอ โลกจึงไม่เคยร้างไร้นักฝันนักเดินทางจาริกแสวงหาตัวตนอันแท้จริง วัยหนุ่มสาวที่เต็มแน่นด้วยคุเพลิงพร้อมผลาญเผาความไม่รู้ทั้งมวล โลกระเกะระกะปกคลุมด้วยวัชพืชแห่งความโง่งม ขัดขวางการเดินทางเสาะแสวงหาของคนหนุ่มสาว พลังของความฝันเท่านั้นที่จะปัดกวาดเปิดทางให้พวกเขามุ่งเดินไป
เราเขียนหนังสือด้วยกันมาอีกพักใหญ่ ผมเขียนแต่ในเน็ตเพราะไม่เชื่อไม่ศรัทธาเหล่านักบรรณาธิการอาชีพยุคนี้ ส่วนประทีปเงียบหายไปก่อนการเดินขบวนครั้งใหญ่ของขบวนการนกหวีด
ผมนั่งมองแมกไม้ทิวเขาเคลื่อนผ่านหน้า
วัยเวลาเคลื่อนผ่านเราไปเหมือนไม่แยแสว่ามีเราอยู่หรือไม่ หรือเป็นเราเองที่กำลังเคลื่อนผ่านวัยเวลาโดยไม่เคยสนใจการมีอยู่ของมัน คงคล้ายผมกับฉากภูมิทัศน์ตรงหน้า ดูเหมือนทิวเขาแมกไม้พวกนั้นเคลื่อนผ่านผมไปเพราะผมนั่งอยู่เฉย ๆ ขณะโบกี้รถไฟเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
ผมไปทันวันเผา ไม่ถามไถ่ใจความ ไม่อยากรู้ที่มาที่ไปว่าตายเพราะอะไร ผมไม่เคยถามอีกเลยหลังจากพบว่าตัวเลขอายุไม่ได้บ่งบอกเวลาที่จะยืนระยะบนถนนชีวิต คนอายุน้อยกว่าจากไปก่อนผมจนไม่อยากถามไถ่อันใดอีกแล้ว ไม่มะเร็งก็อุบัติเหตุ (ซึ่งผมเองก็ไม่วันใดวันหนึ่ง การที่จะมีชีวิตอยู่จนแก่เฒ่านั้นเป็นเรื่องบังเอิญจนแทบไม่ต้องคิดฝัน)
ผมไปจุดธูปหน้าศพแล้วนั่งร่ำไห้ มีหญิงวัยกลางคนเข้ามาทักถาม ทราบว่าเป็นพี่สาว รู้ว่าผมมาไกลจะจัดที่พักให้ ผมตอบไปว่าขอนอนเฝ้าหน้าศพนี่ล่ะ
ไม่พูดไม่จากับใคร ผมหลับนอนที่วัดอยู่จนเผาศพเสร็จแล้วขึ้นรถไฟกลับเข้ากรุงเทพฯ
กลิ่นบุหรี่โชยมา ทำผมคิดถึงช่วงเวลาที่เรานั่งคุยกันริมแม่น้ำเจ้าพระยา เราคบกันทางตัวหนังสือยาวนานร่วมสิบปี แต่พบกันจริง ๆ แค่ครั้งเดียว
"ต้องเอาจริงเอาจังสิ" ประทีปเสียงเครียด "วรรณกรรมสามารถชี้นำสังคมจะมาทำเป็นเล่นไม่ได้ ทำเป็นงานอดิเรกยิ่งแล้วใหญ่"
ป่านนี้คงได้พบได้นั่งคุยกับนักเขียนใหญ่ผู้มาก่อนกาล ซึ่งเป็นเสมือนผู้นำทางจิตวิญญาณของเขาแล้ว
ลำแสงสุดท้ายทิ้งตัวหลังม่านภู ลมเย็นทะลักปะทะใบหน้า ผมขยับลุก ยังไม่อยากกลับบ้าน ยังอยากอยู่บนระนาบเคลื่อนที่เร็วเยี่ยงนี้ อยากต่อรถไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องมีจุดหมาย แต่รถไฟก็ต้องจอดสถานี ไปต่ออย่างไรก็ต้องสุดทาง ต่อไปเรื่อย ๆ รอบโลกก็ต้องกลับมาที่เดิม ผมรวบช้อนส้อมหยิบถ้วยพริกน้ำปลาวางบนจาน ขณะขยับออกเดินสะดุดตามองบนโต๊ะ
ริมหน้าต่างเก้าอี้ถัดไปสี่ห้าตัว ตลับสังกะสีคุ้นตาเปิดค้างมีก้นบุหรี่บี้ทิ้งไว้ ●
Picture : isostock.deviantart.com
Tags: shortstory
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น