แฝดไท

เช้าวันถัดมาดูว่าเหมือนชีวิตชาวอุทยานฯ จะกลับมาแล้ว มีคนทะยอยโผล่ออกมาทีละคนสองคน  ผมมองพวกเขาด้วยความงงงวยดูเหมือนพวกเขาจะออกมาจากในป่า  เพราะผมจอดรถลงเต็นท์เฝ้าทางเข้า  กลับไม่พบเห็นว่าพวกเขาเข้ามา

การมาถึงของพวกเขาทำให้ความรู้สึกติดเกาะคนเดียวของผมหายไป

มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงสี่ห้าคนเดินกวาดลานดิน  เจ้าหน้าที่ผู้ชายเดินกันไปมาเก็บโน่นขนนี่  เจ้าหน้าที่เก็บค่าธรรมเนียมเข้านั่งประจำซุ้มทางเข้า 

ผมทักทายขอจ่ายค่าธรรมเนียม  เจ้าหน้าที่ใบหน้าคมเข้มตาโตผมหยิกผิวคล้ำขลับเหมือนไท ธนาวุธอย่างกับฝาแฝด ถามว่า

"พักกี่วันครับ?"

"ยังไม่ทราบเลยครับ  ผมจะอยู่ไปเรื่อย ๆ รอเพื่อน ๆ มา" ผมตอบ 

"อย่างนั้นเอาไว้จ่ายตอนออกดีกว่า" น้องชายไทพูดด้วยหน้าตาเฉยเมย  ซ้ำพ่อคุณยังเปรยว่าที่ลงเต้นท์เป็นตรงโน้น  ชี้มือไปทางลานดินพวกเจ้าหน้าที่ผู้หญิงกำลังกวาดใบไม้ 

"อ้าว! วิทย์บอกผมว่าลงตรงนี้ได้!" ผมว่า

"ตอนนี้ยังไม่เข้าหน้าทัวร์ไม่เป็นไรครับ" น้องชายไททำหน้าตาไร้อารมณ์  แต่ทางที่ดีก็ควรเคารพกฏระเบียบไว้  ผมจัดแจงเก็บเตา ม้วนเปล เคลื่อนรถเข้าบริเวณที่อุทยานฯ กำหนดไว้สำหรับลงเต้นท์  ส่วนเต้นท์โดมนั้นสะดวกดีก็อีตอนโยกย้ายนี่แหละ  แค่ปัดกวาดทำเลจากนั้นหิ้วไปวางเป็นอันเรียบร้อย

คล้อยสาย ตรงที่ผมเคยผูกเปลก็มีเปลเหมือนกันเปี๊ยบมาผูกแทน  นายเจ้าหน้าที่นอนเอกเขนกฟังวิทยุจากโทรศัพท์มือถือ  หนอยแน่! ผมคงไปแย่งทำเลประจำของพ่อคุณเข้า  เลยแกล้งเอ่ยปากไล่ผมออกไป 

พวกเจ้าหน้าที่ผู้หญิงกวาดลานดินเสร็จพากันนั่งคุยสักพักก็หายลับเข้าไปด้านใน  ผมหิ้วกระดานรองวาดมานั่งเขียนรูปประภาคารที่ค้างไว้ตรงโต๊ะตัวเดิม  ส่วนนายเจ้าหน้าที่ก็นอนฟังวิทยุของเขาไป  เขาเหลือบมอง ผมส่งยิ้มแล้วนั่งเขียนรูปของผม  สักพักจึงค่อยพูดคุยรู้จักมักคุ้นกัน

เขาชื่อเล็ก เป็นคนจังหวัดตรัง  ดูจะเป็นคนหนุ่มที่กระตือรือล้นไม่เบาพกคู่มือฝึกพูดภาษาอังกฤษ  วันถัดมาได้เห็นนักท่องเที่ยงต่างชาติรายแรกตั้งแต่ผมมาพัก ขี่มอร์เตอร์ไซด์เข้ามาแต่ท่าทางสะบักสะบอมเหลือเกิน  เล็กบอกว่ารถมอร์เตอร์ไซด์พวกนักท่องเที่ยวล้มบ่อย  เห็นผมพูดคุยส่งภาษากับฝรั่งดูท่าเล็กเริ่มให้ความสนใจซักถามข้อข้องใจภาษาอังกฤษของเขา  จากนั้นเราค่อยมีหัวข้อพูดคุยกันเพิ่มขึ้น

หลายวันแล้วผมยังติดต่อเพื่อน ๆ ไม่ได้  การติดต่อครั้งสุดท้ายเป็นก่อนจะลงเรือข้ามฟาก  พวกเพื่อนรู้ว่าผมถึงเกาะลันตาแล้ว  แต่อย่างน้อยได้ยืนยันที่อยู่ก็น่าจะดีกว่าให้พักพวกเดากันเอง  ผมเล่าให้เล็กฟัง  เล็กบอกว่ามีสัญญาณอยู่บ้างบางจุดและก็บางเวลาจะต้องยืนคอยแล้วสังเกตเครื่องหมายคลื่นสัญญาณ  บอกให้ลองไปที่ประภาคาร  ฟังดูก็น่าเป็นไปได้เพราะนั่นเป็นตำแหน่งสูงสุดยื่นออกไปในทะเล

ผมเดินขึ้นเนินไปหอบแฮ่กรับลมเย็นอยู่บนประภาคาร  นั่ง ๆ ยืน ๆ รอสัญญาณจนอ่อนใจ  ยอมกลับลงไปอย่างไร้ผล  นายเล็กทำหน้าตาเฉยเมยเช่นเคย     

วันสองวันถัดมานายน้องชายไท ธนาวุธถึงได้ใจอ่อนเอ่ยปากให้ยืมโทรศัพท์ตน  แล้วบอกให้ไปยืนคอยสัญญาณที่ต้นสน(บริเวณครอบครัวแค้มเปอร์จากยูเอ็นมาลงเต้นท์) ผมเลิกคิ้วแปลกใจ ยินดี โล่งอก ขอบคุณพี่ท่านไปยกใหญ่ใจก็นึกด่า (หนอยแน่ปล่อยให้เราเดินวนหาสัญญาณเสียตั้งนาน ระบบที่ผมใช้ไม่มีสัญญาณก็ไม่บอก) 

พอได้นัดแนะกับเพื่อนเรียบร้อยเป็นอันหมดห่วงกังวล  ผมตั้งหน้าตั้งตาเป็นชาวเกาะนุ่งผ้าถุงเขียนรูปทั้งวันก็ไม่ได้รูปอะไรมากมายหรอกครับ  รูปประภาคารที่ลงไปตอนสองตอนก่อนนั่นล่ะ  ด้วยความที่ละทิ้งพู่กันเสียนาน  ผมลงสีเสียแล้วเสียอีก ไม่ได้ดังใจสักที ก็เลยลงแล้วลงอีกอยู่อย่างนั้นจนนายเล็กงงว่าทำไมผมเขียนอยู่รูปเดียว แต่นั่นก็เป็นหัวข้อสนทนาที่ทำให้เราสนิทสนมกันมากขึ้น 

เล็กเริ่มเปิดปากมีเรื่องเล่า เขาบอกว่าเคยมีทีมศิลปินมาเขียนรูป  เขาบรรยากาศความฉับไวรัายกาจของเหล่าศิลปินระดับอาจารย์(ที่ทำเอาการเขียนอึดอาดซ้ำแล้วซ้ำอีกของผมกลายเป็นกระจอกศิลปินไปเลย) เล่าถึงการลงสีโดยไม่ต้องมีภาพร่าง  มีอุปกรณ์เพียบพร้อม ทั้งมีกรอบรูปมาด้วย  เขายังชักชวนไปดูรูปที่ศิลปินกลุ่มนั้นมอบอุทยานฯ ไว้เป็นที่ระลึก  

เล็กค่อย ๆ มีท่าทีเป็นมิตรขึ้น  การที่มีผมมานั่งเขียนรูป เป็นเพื่อนคุยคงทำให้ชีวิตประจำวันของเขาที่มีวิทยุจากโทรศัพท์มือถือ กับวิทยุติดต่อภายในเป็นเพือนพอจะมีรสชาติที่แตกต่างไปบ้าง 

วันหนึ่งขณะผมกำลังเขียนรูป (ก็ประภาคารรูปเดิมนั่นแล้ว) เล็กโผล่มาในชุดเสื้อยืดรัดรูปแขนยาวสีน้ำเงินหมวกเบเร่ดำแทนที่จะเป็นชุดฟอร์มเจ้าหน้าที่อย่างทุกวัน แล้วออกปากชวน

"พี่ไปเกาะรอกด้วยกันมั้ย?"

ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าจะไปนั่งระทึกคางสั่นแล้วบ่นกะปอดกะแปด(ในใจ)ว่า

"ไม่น่าหลงตามมาเลยตูข้า!"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น