๏ กัดกินตะกรุมกราม....จะกละเกินจะกล่าวกรรม
ขมกรามกระทำจำ.........จดจารประจัญใจ

๏ กี่ร่างระทวยทอด.....มรณ์มอดมลายไป
เรียงรุมประชุมไฟ.......ประเชิญประชันฟอน

๏ กี่หยดอัสสุหยาด......ชลยินฤทัยรอน
ซบร่างผิร่างมรณ์.........ฤดิม้วยสิด้วยกัน

๏ กัดกินก็รินร่า..........ลนรื่นกะฟืนฟัน
เพลิงเปลวปลิวควัน.....คละคลุ้งก็พุ่งพวย

๏ เสียงขบกะแกลบกรอบ....จะกละกัดกระสรวลกรวย
เอมร่าระรื้นรวย..................พระเพลิงก็เริงเปลว

๏ โอษฐ์อิ่มก็ยิ้มชื่น......ชระรื่นชราบเลว-
ดีปนระคนเปลว............ประชดประชันกรรม

๏ คืนวันจรัลจาก..........จรฝากสัจธรรม
เสียงกลองกระหน่ำนำ....นบว่าเพลาเพล

๏ เรื่อยลมระเหหน........ปะทะสนระเนนเอน
สนใบก็ไหวเบน............ผละก้านสะท้านปลิว

๏ หล่นลอยระเรื่อยลู่......วะวะวู่ระทวยทิว
ร่วงแลระริกลิ่ว..............ลงรายระบายลาน

๏ สุมซากลงซบซาก....ผิวะฝากปัจจัยทาน
อิฐก้อนถอนสะท้าน......อนาถแท้..เชิงตะกอน ฯ

6 ความคิดเห็น:

  1. สวัสดีท่านดิลล์ที่เคารพ

    สงสัยการสื่อสารแห่งประเทศไทยจะทำงานผิดพลาดซะละมั้ง

    ข้าเจ้าไปกินหมูกระทะตั้งแต่เย็นวันที่ ๕ โน่นแน่ะ ไยท่านถึงมาอวยพรกันวันที่ ๖ ล่ะเจ้าคะ ไอ้ที่ฝากความถึงท่านนั่นกินมาเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ส่วนวันที่ ๖ (ซึ่งก็คือเมื่อวานนี้) คุณพี่ชายกับคุณพี่สะใภ้มารับไปเที่ยวบ้านน้าสาวที่มีนบุรี เอารูปถ่ายวันงานไปให้น้าสาวดูนั่นแหละเจ้าค่ะคงเห็นว่าเราว่างมั้งเลยชวนไปด้วย ไอ้เราก็ดีใจนานๆ คุณพี่ชายจะพาไปเที่ยวสักที เลยตอบรับด้วยความลิงโลด หารู้ไม่ที่แท้เขาพาเราไปเป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก

    ชีช้ำ! โดนทิ้งอีกต่างหาก

    พี่ชายเอารูปมาล้างที่อนุสาวรีย์ฯ เค้านัดรับรูปตอนเที่ยงเราเลยนัดเจอกันที่นั่น ไปถึงปรากฏว่ารูปยังไม่เสร็จต้องรออีกชั่วโมง

    ท่านเคยไปเที่ยวไหนกับคู่ข้าวใหม่ปลามันมั้ย? หนึ่งชั่วโมงกับการรอรูปเราอยู่กันสามคนก็จริง แต่สองคนนั้นเค้าคงรู้สึก ‘โลกนี้มีเพียงแค่สองเรา’ ข้าเจ้าจึงจำต้องตัดใจแยกเป็นสามคนกับสองทางเนรเทศตัวเองเดินแกร่วออกไปเรื่อยๆ จนที่สุดก็เข้าไปเดินแต็ดแต๋อยู่ในร้านหนังสือดอกหญ้า ชะเวิ้บชะว้าบไปมุมโน้นมุมนี้ตามประสา

    ผ่านมุมวรรณกรรมเยาวชนเจอหนังสือเล่มนึงน่ารักมั่กมั่ก เห้นปุ๊บโดนปั๊บคว้าหมับเข้าทันใด พลิกไปพลิกมาทั้งด้านหน้าด้านหลัง สัน ขอบ ใส่ถุงพลาสติกอย่างดี แถมที่คั่นฯ แถมโพส การ์ด โอว...ชอบ! พลิกดูราคา 125 บาท เล่มบางกะจิ๋วลิ่ว วาง!

    ไปแวะตรงมุมหนังสือธรรมะ ไล่ชื่อตามสันขอบไปเรื่อยๆ สะดุดหนังสือเล่มนึงชื่อ ‘ชุมนุมปาฐกถา ชุด พุทธธรรม’ โดยท่านพุทธทาสภิกขุ หยิบพลิกไปพลิกมาแล้ววาง พร้อมด้วยคำถามที่ถกเถียงกันภายใน “ซื้อดีหรือไม่ซื้อดี?” ตัดสินใจไม่ถูกเดินเวียนระหว่างมุมหนังสือธรรมะและมุมหนังสืออื่นๆอยู่สี่ห้ารอบ จนเมื่อใกล้ถึงเวลานัดรับรูปถ่ายตอนบ่ายโมง ข้าเจ้าเดินกลับไปที่มุมธรรมมะอีกครั้งพร้อมด้วยความคิด “เอาวะ ลองเปิดอ่านเนื้อหาข้างในสักนิด เผื่อเจออะไรเจ๋งๆ จะได้ช่วยตัดสินใจ”

    ท่านรู้ไหมข้าเจ้าเปิดเจอประโยคแรกว่าอะไร? …. “ความลังเลเป็นสิ่งไม่ดี” เท่านั้นแหละข้าเจ้าไม่สนใจเนื้อหาอื่นอีกปิดหนังสือฉับเดินดุ่มๆ ไปหน้าเคาน์เตอร์ยื่นหนังสือให้พนักงานคิดตังค์

    เดินออกมาจากร้านด้วยอารมณ์นึกขำบวกด้วยนึกรักหนังสือเล่มที่ซื้อมาขึ้นมากมายก่ายกอง
    (มานั่งเปิดหาตอนหลังว่าประโยคนั้นอยู่หน้าไหน มีเนื้อหายังไงต่อดันหาไม่เจอซะงั้น คงต้องทยอยอ่านไปทีละหน้า)

    เสร็จสรรพได้ขึ้นรถไปบ้านน้าตอนบ่ายสอง(เพราะมัวแต่ไปวุ่นวายที่ร้านล้างรูปอีกเกือบชั่วโมง) ไปถึงบ้านน้าตอนสี่โมงเย็น อยู่บ้านน้าได้ไม่นานพระอาทิตย์ก็ตกดิน พี่ชายกับพี่สะใภ้ต้องรีบกลับปราจีนฯ เลยออกไปทางหนองจอกจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าเมือง ทิ้งให้ข้าเจ้านั่งหัวโด่อยู่บ้านน้าสาวเพียงลำพัง

    เป็นท่านจะรู้สึกยังไง อุปกรณ์ประกอบฉากที่หมดประโยชน์ก็โดนทิ้งขว้าง ข้าเจ้าได้แต่นั่งทำปากแบะจะร้องไห้อยู่มะรอมมะร่อ

    นอนตากแอร์แค่คืนเดียวอาการเจ็บคอกำเริบ กระเสือกกระสนกลับมาถึงห้องตอนเที่ยง สลบไปอีกรอบ ตอนนี้ชักเริ่มไอหน่อยๆ ไม่ได้มีไข้อะไรหรอกเจ้าค่ะ อาการเจ็บคอนั่นแหละลุกลาม

    ตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันนี้ข้าเจ้ายังไม่ได้ตัวอักษรเลยสักกะตัว แย่กว่าทั่นอีกที่ยังอุตส่าห์ได้ตั้งสิบบรรทัดแน่ะ

    ตอนนี้ท่านบอกมีไดอารี่อยู่เล่มเดียวใช่ม้า..? แต่บ้านทั่นน่ะมีเป็นกุรุส (ฮา)

    ข้าเจ้ามีไดอารี่ที่เป็นสมุดจริงๆแค่สองเล่มเอง เล่มแรกไม่รู้หายหัวไปไหนแระ ส่วนอีกเล่มยังเดินไปไม่ถึงครึ่งทางเลย หน้ากระดาษยังว่างพร้อมรอเจ้าของไปบรรเลงลายอักษรแต่ข้าเจ้าหยิบมันมาเขียนปีละหนสองหน แฮ่

    แล้วเจอกันวันเสาร์นะทั่น พรุ่งนี้ว่าจะเก็บตัวเขียนอะไรสักหน่อย(หวังว่าคงไม่มีรายการเฉพาะกิจคั่นจังหวะอีก) อาทิตย์นี้ไม่ได้เขียนกลอนเลย ปลายสัปดาห์คงไม่มีอะไรลงให้อ่านกัน(เอาอย่างทั่นมั่ง ฮา)

    ด้วยความเคารพ

    ตอบลบ
  2. อรุณสวัสดิ์ทั่น

    เขียนยาวได้ใจ เป็นข้าพเจ้าหากร่ายย่าวขนาดนี้คงต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ชวนคิดถึงสหายพี่สองนายสอ ท่านโม้ตะละทียาวเป็นหางปลาปั๊กเป้า คงเพราะลายอักขระอยู่มือ ลงปลายนิ้วเมื่อไรไม่ต้องครุ่นมากความ เขียนไปเลยประดุจดัชนีสัมพันธ์จิตใจของเล็กเซี่ยวหงษ์..ปานนั้ลล์

    ท่านเองพลังวัตรคงไม่ธรรมดา ไม่ธิดาบู๊ลิ้มก็ศิษย์ค่ายสำนักใหญ่ที่ใดที่หนึ่ง จึงร่ายกระบวนท่าต่อเนื่องราวสายน้ำไหลฉะนี้

    ในทางกลับ

    ฐานะผู้รับ ใช่เพียงปรีดาปราโมทย์ที่ได้ละเลียดไล้ถ้อยความ หากสมควรตอบกลับในระดับกว้างยาวหาด้อยน้อยเนื้อกว่ากัน เพื่อที่ผู้จารถ้อยจักไม่เผลอคิดไปว่าตอบอย่างขอไปทีรีรีข้าวสารสองทะนานข้าวเปลือก เลือกท้องใบลาน(ท่านต่อเองละกัลล์)

    แต่ยามนี้มีเหตุจำเป็นยิ่งยวดต้องเผ่นแผลวไปก่อนแล้ว

    ปวดห้องน้ำเต็มที

    คารวะ

    เจอกันมื้อพรุ่ง ข้าพเจ้าเองก็หวังจะมีอะไรสักชิ้นแลกเปลี่ยนเช่นกัลล์..

    ตอบลบ
  3. หวัดดีท่านดิลล์ที่เคารพ

    เช้านี้อากาศสบายดีเนอะ เมื่อคืนฝนตกด้วยล่ะ นานเชียวนึกว่าจะตกทั้งคืนซะแล้ว

    เมื่อคืนฝนตกเช้านี้ท้องฟ้าเลยสดใส เจ็บคอมาสองสามวันวันนี้ก็หายแล้ว วันนี้อะไรๆก็ดูดี

    ฝั่งติ่งสยามประเทศล่ะเป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างรอบตัวดูดีเหมือนกันใช่ไหม? ทั่นกะลังซุ่มฝึกเคล็ดวิชาสุดยอดมนุษย์ล่องหนไร้เทียมทานอยู่เหรอ ตั้งแต่เอางานไปลงที่สำนักเมื่อวานถึงได้ไม่เห็นหัว เฮ้ย! ไม่เห็นศีรษะ เฮ้ย! ไม่เห็นหน้าค่าตา แฮ่ ขออำภัย..

    อ่านข้อความที่ท่านตอบกลับด้านบนทำให้คิดอะไรได้อย่างหนึ่ง

    เกี่ยวกับผู้ส่งสารและผู้รับสาร ความจริงไม่ใช่สาระว่าจะตอบกลับสั้นยาวในจำนวนเท่ากันหรือไม่ แค่ผู้ส่งสารรับทราบว่าผู้รับได้อ่านเนื้อหาในสารนั้นครบถ้วนกระทงความ เท่านั้นก็เป็นความสุขใจของผู้ส่งสารแล้ว

    เหมือนคนสองคนนั่งสนทนากัน คนนึงหยิบยกเรื่องโน้นเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าหรืออาจระบายปัญหาบางอย่าง แค่ผู้ฟังยิ้มรับและพยักหน้าเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความเพื่อบอกให้รู้ว่าตนยังฟังอยู่ทุกถ้อยคำ เท่านี้ยังไม่เพียงพออีกหรือสำหรับผู้เล่า

    หากข้าเจ้าพิมพ์ข้อความยาวๆ คุยกับทั่นและมันไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ โปรดอย่าได้กังวลใจว่าหากตอบกลับสั้นๆ แล้วข้าเจ้าจะคิดว่า 'ตอบแบบขอไปที' แค่ใส่ยิ้มสักอันบอกให้รู้ว่าทั่นรับทราบเรื่องราวเป็นที่เรียบร้อย ข้าเจ้าก็ยิ้มรับรอยยิ้มนั้นด้วยความยินดีแล้วเจ้าค่ะ

    ด้วยความเคารพ
    เยาวมิตรแห่งท่าน

    ตอบลบ
  4. ตะวันโป้งเหน่งตรงหัวสวัสดิ์ทั่น

    เข้าใจตรงกันเยี่ยงนี้ค่อยสบายใจ

    ทุกอย่างรอบตัวข้าพเจ้ายังไม่ดูดีสักเท่าไรขะรับ วันนี้ได้คนมาซ่อมหลังคาขนำแล้ว ข้าพเจ้ายังต้องนอนกลางดินกินกลางแดดอีกหลายวัน จนกว่าซ่อมเสร็จ อยู่ไปก่อนถึงสิ้นปีแล้วค่อยคิดต่อ ตอนนี้มีเรื่องให้กลุ้มกบาล ต้องระเห็จจากร่มไม้ที่อาศัยหลบแดด(แต่ไม่หลบพายุฝน) เพราะเกะกะการทำงาน

    สภาพความเป็นอยู่หลายวันที่ผ่านมาดูไม่จึดเลยท่าน ทั้งปัญหากายภาพ และชีวภาพ ประดังเข้ามาในเวลาเดียวจนตั้งตัวไม่ทัน ทราบดีว่าไม่สมควรนำมาระบายบนพื้นที่สาธารณะ จึงเห็นข้าพเจ้าหลุบหัวเป็นตะพาบน้อยในกระดองเสียกระะนั้น หาใช่สำเร็จยอดวิชาพรางกายอันใดดอกทั่น

    เอาล่ะจะโผล่ไปสำนักเสียหน่อย

    สุขสันต์วันทำงานขอรับ (ยินดีที่หายเจ็บคอแล้ว)

    คารวะ

    ตอบลบ
  5. อากาศดีอีกหนึ่งวันสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านดิลล์ที่เคารพรัก

    เมื่อวานฝนตกตั้งแต่บ่ายสามนิดๆเทลงมาราวฟ้ารั่วบรรยากาศมืดตึดตื๋อยังกะสามทุ่ม นั่งทำงานอยู่เหมือนเห็นเตียงนอนลอยมารำไร ได้ฟังเสียงเพลงฝนเพลินเลย วันนี้บรรยากาศเลยดี๊ดี เลยเที่ยงมาแระแต่ยังไม่เห็นแดดสักแวบ ลดอุณหภูมิบางกอกไปได้โข

    ฟังว่าท่านมีปัญหาทั้งด้านกายภาพและชีวภาพทำให้พลอยเป็นห่วงไปด้วยแต่ในเมื่อไม่รู้จะช่วยเหลือยังไงก็ได้แต่ส่งใจช่วยให้ท่านผ่านพ้นความไม่สะดวกเล็กๆไปโดยสวัสดิภาพและกลับมามีชีวิตเริงรื่นร่ายอักษราด้วยความเริงใจในเร็ววัน

    ช่วงนี้ข้าเจ้ามีหน้าที่บางอย่างที่จะต้องกระทำให้เสร็จสิ้น ปล่อยปละละเลยมันมานานมากแล้วไม่อยากจะเหลวไหลอีก แล้วเจอกันปลายสัปดาห์นะเจ้าคะจะเอาเรื่องสั้นกุ๊กกิ๊กมาฝากด้วย(ถ้าโชคดีสมองวิ่งปรื๊ด..วิ่งปรื๊ด..อะนะ)(แต่จะว่าไปข้าเจ้าก็หวั่นๆอยู่ไม่รู้จะเหลวไหลจนโผล่มาทักทายกันกลางสัปดาห์อีกป่าว?)

    ด้วยความเคารพ

    ตอบลบ
  6. ทั่นพี่ ... ขอบคุณที่แวะเวียนไปหาที่บ้าน ผมมีนิทานเชยๆ มาแลกเปลี่ยน

    ห่านนับครึ่งร้อยในบ้านสวนแห่งนี้ ห่านตัวหนึ่งพิเศษกว่าห่านตัวไหน เพราะมันออกไข่เป็นทองคำใบน้อยๆ ปีหนึ่ง ๔-๕ ครั้ง ครั้งละ ๗-๘ ฟอง

    ๒ ปีนับแต่ฟองแรก มันให้ไข่ทองคำไม่ขาด แต่นี่เกือบ ๔ เดือนแล้ว ห่านไม่ได้ให้ไข่ทองคำเหมือนเคย เจ้าของห่านตัดสินใจเลือกฆ่ามัน เพื่อเอาไข่ใบสุดท้ายในท้อง

    ... ไม่มีไข่ทองคำในนั้น และไม่มีอีกเลย

    ผมได้ยินนิทานเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อสัก ๔ ปีที่แล้ว ในห้องอบรมเกี่ยวกับการบริหารการผลิต อาจารย์ผู้สอน ชี้ให้เห็นว่า หากเราต้องการผลผลิต (Production) สิ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นลำดับแรก คือ ความสามารถในการผลิต (Production capability) – ไม่ใช่วัตถุดิบ (Material)

    นิทานเรื่องนี้ ผมหยิบมาใช้บ่อยครั้งไม่เฉพาะที่ทำงาน ซึ่งเป็นโรงงานผลิต แต่ในชีวิตประจำวัน ความรัก ครอบครัว ... การเขียน (เขียน “งานเขียน” ทีไร เขินชะมัด)

    เครื่องบำรุงความสามารถในการเขียน สำหรับผมแล้ว คือ บรรยากาศ และ เครื่องมือ

    บรรยากาศในการเขียนที่ดี เหมือนวาล์วน้ำ เอื้อให้ “วัตถุดิบ” ที่เราเกี่ยวเก็บจากการใช้ชีวิตประจำวันหลั่งไหลออกมาโดยไม่ต้องออกแรงเค้น

    บรรยากาศในการเขียนที่ดี อาจไม่จำเป็นต้องเงียบสงัด หรือเป็นที่ที่ไม่มีผู้คน แต่แน่ล่ะ ต้องไม่พลุกพล่านจนเกินไป พอมีที่ให้ “สติ” เดินทางไปและกลับมา

    เมื่อ “มีบรรยากาศ” แต่เพราะอากาศร้อนแลบอย่างนี้ อาจทำให้เราเร่งรวกส่งงานเขียนออกไปโดยไม่ได้กลั่นเกลา

    ดูเหมือนจะเรื่องมาก ข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนี้ คือ จริตที่แตกต่างกัน และ สำคัญของงานเขียนต่อการดำรงชีวิต

    เครื่องมือ ... ในบ้านหลังเก่า ผมใช้คอมพิวเตอร์แทนโต๊ะทำงาน ข้าวของอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ในที่ที่มันควรอยู่ แม้จะย้ายมานั่งขีดเขียนบนโต๊ะอาหารบ้าง ก็ไม่เป็นไร อะไรๆ ก็ยังหาได้บนโต๊ะทำงานที่ว่า

    แต่ในบ้านหลังใหม่ ที่นี่ไม่มีโต๊ะทำงาน ผมใช้โต๊ะอาหารแทน นี่คงเป็นปัญหาหรือข้ออ้าง – ผมเท่านั้นที่รู้

    วัตถุดิบกับความสามารถในการผลิต เป็นเรื่องละคนกัน ใช่แล้ว เรื่องละคน คนละเรื่อง พิจารณาดีๆ จะเห็นเป็นอย่างนั้น ผมอ่านหนังสือเท่าเดิม หมดจากยุคหนังฮาวทู ผ่านยุคหนังสือธรรมะ ทุกวันนี้ แนวหนังสือยังไร้ทิศ

    ผมอ่านวรรณกรรมดีๆ และบทกวี - น้อย คงเป็นนักเขียนที่ดีไม่ได้ (นิยามนักเขียนที่ดี เราท่านอาจต่างกัน)
    ปัญหาดาบเลเซอร์ไม่ทำงาน ไม่เกิดขึ้นแล้ว หรืออาจเกิดขึ้นสั้นๆ พลันสติจำคำแนะนำของทั่นดิลล์ได้ ปัญหาที่ว่าก็หายไป – เพราะอะไร เพื่ออะไร คือคำตอบ

    พี่ทั่นฯ บ่นมาเสียยืดยาว ขอขอบคุณที่กรุณารับฟัง เรื่องแบบนี้ เล่าให้ใครฟังมากไม่ได้หรอก เดี๋ยวเขาหาว่าใจเสาะ เปล่าเลย ใจไม่เสาะ – พูดมากเสาะท้อง ทั่นพี่เคยได้ยินไหม ?

    ขอ “กำลัง” จงสถิตกับท่าน(พี่)

    ขุนอรรถ

    ตอบลบ