ป่ายามค่ำ

หลังจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ กลับมาจากเกาะรอก  ที่นี่ก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกเลย

ทุกเช้าจะมีทีมF4 (ชื่อที่เล็กตั้งให้ส่วนนายแฝดไทก็ได้รับชื่อจัดตั้งจากF4ว่าซีเล็กตามอย่างโฆษณาตอนนั้น)อันประกอบด้วยหญิงสาวสี่นางต่างรูปร่างต่างผิวพรรณถือไม้กวาดประจำตัวออกจัดการกับใบไม้ใบหญ้า

มีทีมซ่อมแซมสะพาน, ดอกเห็ด (หลังคาซุ้มนั่งเล่น), ตัดหญ้า, ฯลฯ

มีเจ้าก๊อฟวัยสามขวบลูกชายช่างโกเป็นสีสันของชีวิตในอุทยานฯ งานประจำของเจ้าก๊อฟ (นอกจากกินขนม) ก็คือเอาขวดน้ำไปเติมน้ำดื่มจากตู้น้ำเย็นให้พวกที่กำลังทำงาน นับเป็นความสามารถเกินวัย 

ความสดใสไร้เดียงสาของเจ้าก๊อฟ  ทำให้โลกหยาบกระด้างของผู้ใหญ่ได้มีมุมอ่อนนุ่มได้พักใจ  แต่อีกไม่กี่วันปู่ก็มารับเจ้าก๊อฟกลับบ้านพัทลุง สัญลักษณ์สดใสของอุทยานฯ วับหายไป

แม่ครัวกลับมาแล้ว! กำลังเตรียมเปิดร้าน  นักท่องเที่ยวเพิ่มจำนวนขึ้น  วันเวลากับโลกธรรมชาติของผมค่อย ๆ เปลี่ยนไป

นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาตอนสาย ๆ เดินขึ้นไปบนประภาคาร ลงทะเล แล้วก็กลับ ถึงวันสุดสัปดาห์จะมีรถนักท่องเที่ยวชาวไทยเข้ามาลงเต็นท์

จุดผมลงเต้นท์กลายเป็นทางผ่านของผู้คน  ผมเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าจ๋อประจำอุทยานฯเข้าทุกที  เลยย้ายเต้นท์เข้าไปในดงไม้ให้ห่างไกลผู้คนที่ดูเหมือนจะมากขึ้นจนเริ่มจอแจ

ผมยังคงกิจวัตรเช่นเดิม  หลังอาหารเช้าหอบอุปกรณ์ไปนั่งเขียนรูปประภาคารที่โต๊ะประจำ พูดคุยกับผู้คนผ่านมาผ่านไป งีบหลับกลางวัน อ่านหนังสือหรือเขียนรูปต่อตอนบ่าย ว่ายน้ำตอนเย็น  พวกอุทยานฯ ทำงานเหมือนออฟฟิศอาวร์ช่วงกลางวันเห็นเดินทำโน่นทำนี่  หลังห้าโมงเย็นพวกเขาหายตัวไม่เหลือสักคน  เล็กเก็บข้าวของ (คู่มือฝึกภาษาอังกฤษ ตั๋วที่ใช้เก็บค่าผ่านเข้าอุทยานฯ) ใส่กระเป๋าเอกสารหิ้วเดินหายไปในดงไม้

แล้วความเงียบวังเวงก็มาเยือน

เหลือแต่ผมกับความสงัดของป่ากับเสียงเรไรที่มาเยี่ยมตรงเวลาทุกย่ำค่ำ
อุทยานฯ จะเปิดไฟรายทางเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ซึ่งมีนักท่องเที่ยวชาวไทยมาลงเต็นท์  วันธรรมดานั้นมืดสนิทมีแสงไฟที่ป้อมทางเข้าเพียงดวงเดียว 

อุทยานฯ ยามค่ำคืนจึงมีแต่ผมกับตะคุ่มเงาไม้และเสียงเสียดสีของใบไม้แว่วมาเป็นระยะ  ตกค่ำอุปกรณ์คู่มือคือไฟฉายอันเล็ก  ผมใช้ส่องนำทางพกหนังสือสมุดบันทึกเดินไปที่ซุ้มทางเข้า  ผมนั่งอ่านหนังสือล่วงสามสี่ทุ่มก็เริ่มคออ่อน ลุกเดินกลับเต็นท์ เกิดปวกฉี่เลยแวะเข้าห้องน้ำ 

ห้องน้ำของอุทยานฯ ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดีสะอาดสะอ้าน มีกระจกบานใหญ่หน้าอ่างล้างมือที่รายเรียงร่วมสิบอ่าง  ผมเสร็จกิจหันกลับมาหัวใจแทบตกไปอยู่ตาตุ่ม! ในห้องน้ำมืดสนิทมีเพียงแสงจากไฟฉายที่ผมวางไว้เหนืออ่าง  เห็นเงาตะคุ่มอยู่ในความมืด  ผมขนลุกซู่! ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเงาของผมเองในกระจก ขับเน้นด้วยเงามืดรอบข้างที่สลัวอยู่ในกระจกชวนขนลุกขนพอง  ผมรีบจ้ำออกจากห้องน้ำ  ไม่ใช่จ้ำหรอกเรียกว่าวิ่งเลยดีกว่า         

ผมไม่เคยมีปัญหากับการใช้ชีวิตโดดเดี่ยว  เพราะชีวิตประจำวันของผมก็ทำงานเกษตรไปโดยลำพัง  แต่เบื้องหลังชีวิตปัจจุบันคือเด็กน้อยที่กลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง  แม้วัยที่ล่วงเลยได้สร้างเกราะแห่งความเข้าใจขึ้นมาปิดกั้นการเชื่อมต่อระหว่างโลกจริงและโลกจินตนาการ แต่ผมก็ยังไม่ยอมอ่าน Salem's Lot ของสตีเฟ่น คิงก์ ก่อนนอนอยู่ดี  คราวนี้เหมือนเกราะถูกกระเทาะออก! เหล่าสัมพเวสีพากันยกโขยงปีนข้ามมายังโลกจริงที่ผมกำลังจ้ำตามแสงไฟฉายดวงน้อยอยู่ในความมืด

การมาอาศัยสถานที่แปลกถิ่น ในอ้อมล้อมของป่าเขา ไม่คุ้นต้นไม้ต้นหญ้าสักต้น  กลัวกระทั่งจะฉี่รดโคนต้นไม้กลัวเจ้าที่เจ้าทางจะโผล่มาแจ้งข้อหายามค่ำคืน  ไหวเงาตะคุ่มแว่วเสียงเสียดสีของใบไม้กลายเป็นภาพจินตนาการที่ชวนขนพองสยองเกล้า  

จนผมชักสงสัยตัวเองว่าจะอยู่ต่อไปไหวหรือไม่?

ผมกำลังถูกทดสอบ!

เมื่ออยู่เพียงลำพัง..
ในความเงียบ..
ในความมืด..

สิ่งน่ากลัวที่สุดจะเผยตัวออกมา  ไม่ว่าจะเป็นภูตผี, วิญญาณร้าย, ซึ่งล้วนแต่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรารอเวลา, อุณหภูมิ, บรรยากาศที่เหมาะสม  สิ่งเหล่านี้เคยมีคุณช่วยยับยั้งจิตใจมนุษย์ไม่ให้ทำชั่ว  แต่วันเวลาล่วงเลยความเข้มขลังของคุณประโยชน์ค่อย ๆ จางจนหมดสิ้น  ไม่สามารถยับยั้งมนุษย์ให้กลัวผลของกรรมชั่วได้อีกต่อไป  เหลือเพียงความกลัวต่อภาพร่างที่น่าขยะแขยงในจินตนาการ  ไม่ได้ก่อประโยชน์ใด 

ทีละค่ำคืนที่จิตใต้สำนึกของผมค่อย ๆ ปลดปล่อยวิญญาณร้ายออกมา  ให้ผมได้ทำความรู้จักกับความกลัวที่มนุษย์มักซ่อนเร้น เก็บงำไว้เบื้องหลังหน้ากากน่าขยะแขยงเหล่านั้น  ความกลัวที่จะยอมรับความอ่อนแอของตัวเอง  ความกลัวที่จะยอมรับว่าถูกครอบงำ  ความกลัวจะคิดปฏิเสธอิทธิพลทั้งหลายซึ่งได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเด็ก

เมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดมิด

ผมได้เรียนรู้ที่จะหยุดใช้ความคิด  ปลดปล่อยประสาทสัมผัสออกไปหาธรรมชาติรอบตัว  สัมผัสสายลมแผ่วที่มาทักทายผิวหนัง สัมผัสสรรพเสียงที่กำลังสื่อสารถึงกัน สัมผัสโต้ตอบของผืนดินต้นหญ้าใต้ฝ่าเท้าที่ย่ำไป

จนรับรู้การเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่งรอบกาย

ความกลัวค่อย ๆ เลือนหาย  ก่อเกิดความเข้าใจในการใช้ชีวิตกับโลกด้านมืดอย่าง.. รู้เท่าทัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น