ที่สุดอารมณ์ก็มีผลต่อการขยับนิ้วข้าพเจ้า (จนได้) หลังจากเกลากระบี่ทลายฟ้า (อดหลับอดนอน) ร่วมเดือน ข้าพเจ้าคิดผ่อนคลายด้วยการเกลารุกฆาตแบบวันละเล็กละน้อย หมายเกลานิยายสั้นสามเรื่องที่ฝึกเขียนครั้งนิ้วอันมู่ทู่เริ่มออกเดินทาง จัดทำเป็นไฟล์ PDF เพื่อสะดวกสำหรับ Download ให้เสร็จก่อนสิ้นปี เกลาเป็นขั้นตอนการเขียนที่สนุกเอาการ เพราะไม่ต้องเผาผลาญพลังงานอย่างมากมายเหมือนตอนเขียนเรื่อง ตอนเขียนเรื่องนั้นให้ตายสิกุมารทอง! ไม่ต่างจากเหวี่ยงจอบขุดดินที่แห้งแข็ง กว่าเซาะลงไปได้สักคืบสักศอกเล่นเอาหมดเรี่ยวหมดแรง ซ้ำร้ายหลายครั้งขุดไปผิดทางอยากตบกะโหลกตัวเอง--ต้องเริ่มกันใหม่ บางครั้งได้ตัวอักษรมาหน้าเดียวหมดพลังงานไปไม่รู้กี่ร้อยแคลอรี่ แต่การเกลานั้น มีตัวอักษรนอนบิดขี้เกียจอยู่แล้ว เราเพียงชายตาดู หากท่านอนอุจาดตานักก็จับขยับเสียหน่อย ไม่ถึงกับเปลืองแรงมากมาย ทั้งยังสามารถเพลิดเพลินใจหากดูว่ามีตรงไหนน่าจะใส่อะไรลงไปอีกสักเล็กน้อย ก็นั่งอ้อยสร้อยเติมโน่นใส่นี่ลงไป (หวังว่าไม่ทำให้ยิ่งเละ) ด้วยความที่หาได้สูญเสียพลังงานมากมาย ข้าพเจ้าเลยบังอาจเขียนบันทึกความทรงจำครั้งนุ่งผ้าผืนทำตัวเป็นโรบินสันครูโซอยู่ที่ลันตา ด้วยคาดเดาเอาตามประสีนักหัดเขียนไม่ประสาว่า--สบายมาก มันก็อีแค่ความทรงจำ ตัวละครทุกตัวมีอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้ว ชื่อ ลำดับเหตุการณ์ล้วนสมบูรณ์อยู่แล้ว เหลือก็แต่ให้เอ็งจิ้มนิ้วลงไปเท่านั้น! คิดได้เช่นนั้นข้าพเจ้าลงมือร่ายลันตา..ในเงาความทรงจำ ด้วยเห็นว่าระหว่างกำลังเกลารุกฆาตหากได้งานฝึกเขียนบันทึกการเดินทางเก็บไว้ประจานใบหน้าอันด้านหนานี้อีกสักชิ้นคงไม่เลว ลันตา..ในเงาความทรงจำเดินทางมาสิบกว่าตอน เจอะเข้าจนได้! หมดอารมณ์ขอรับ...หมดอารมณ์... อย่าได้สงสัยเลยว่ามันจะอะไรกันนักหนา กะอีแค่เรื่องง่าย ๆ ไม่เห็นจะต้องใช้อารี้อารมณ์อะไร! ก็แค่บันทึก..เขียนไป..เขียนไป..เดี๋ยวก็จบ! ไม่รู้สิขอรับ! ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าพบอะไรบางอย่าง หน้าตาคล้าย ๆ เชร็ค (เจ้ายักษ์ใหญ่ใจดีตัวเขียวนั่น) เป็นอุปสรรคอย่างเดียวกับตอนเขียนนิยาย ความรู้สึกที่อยู่กับอะไรบางอย่างจนถึงช่วงเวลาหนึ่งคำว่า พอแล้ว! ได้แล้ว! ฉันอยากไปเขียนอย่างอื่นแล้ว! ผุดพรวดขึ้นมาเหมือนขอมดำดินโผล่ขึ้นมาถามพระร่วงขณะกวาดลานวัด "นมัสการพระคุณ บล็อกไอ้ธุลีดินมันอยู่ที่ไหนหรือขอรับ มันย้ายบ่อยเกล้ากระผมดำดินตามหาจนพรุนไปหมดแล้ว!) อิ อิ ว่าเข้านั่น! ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าอารมณ์อุปสรรคเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับเหล่าสหายร่วมแนวหรือไม่? แต่กับข้าพเจ้าเกิดเป็นช่วง ๆ ยิ่งตอนเขียนนิยายนั้นเล่า ชวนทรมานนักเพราะต้องกัดฟันไปต่อให้ได้ไม่เช่นนั้นเรื่องก็ไม่จบ ได้แต่นำเข้ารายการเรื่องค้าง (ที่สะสมไว้ละอายใจตนมาจนทุกวันนี้) ไปต่อสักพักก็เกิดอาการขึ้นอีกยังกับโรคลักปิดลักเปิด ทำให้งานเขียนที่ดูเหมือนน่าจะมีความสุขกลายเป็นเรื่องทุกข์ขุกเข็ญไปเสียอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ยามนั้นข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเพราะปัญหาในการดำเนินเรื่อง ความคาดหวังที่สูงเกินไป ทำให้เกร็งไม่สามารถไปต่อ ถึงตอนนี้ชัดเจนแล้วขอรับ เมื่อแม้เขียนบันทึกการเดินทางที่หาได้คาดหมายใด ๆ ไม่มีเลยแม้สักกระผีก ไม่มีความกดดันทั้งสิ้นทั้งมวล ก็ยังเกิดอาการที่ว่าขึ้นจนได้ เช่นนั้นเจ้าเชร็คตัวเขียวก็คือ 'อารมณ์' อย่างไม่ต้องอุทรฎีกา สหายที่เคารพรัก ท่านคงเคยพบพานคุณหมอตรวจอาการท่านเสร็จสั่งยา ท่านรับใบสั่งแล้วเกิดปวดท้องฉี่เกือบฉี่รดขาคุณหมอเพราะเผลอคิดว่าท่านเป็นท่อนซุง หรือคุณพยาบาลที่กล่าวสำเนียงวาจาสนิทสนมด้วยเผอิญเห็นใบหน้าท่านละม้ายคุณแจ๋วที่บ้าน เจอบ่อยก็ติดต่อสำนักราชการที่เป็นกันเองเสียจนปรับตัวปรับใจแทบไม่ทัน เหล่าท่านก็คือปุถุชนมีชีวิตจิตใจนี่ล่ะขอรับ แต่ที่ขาดหายไปคงจะเป็นอารมณ์ เพราะใครก็เถอะหากอยู่กับสภาพแวดล้อมจำเจสักพัก ย่อมสิ้นไร้ความกระตือลือล้นไปเสียแทบทั้งนั้น แต่ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจึงได้กระทำไปกว่าสำเร็จเสร็จภาระประจำวัน นั่นเรียกว่าความรับผิดชอบ งานเขียนที่ไม่มีตัวเลขในบัญชีมาคอยบีบคอถามหาความรับผิดชอบ ก็มีความรับผิดชอบ! เป็นความรับผิดชอบต่อปณิธาน ต่อตัวเอง หากคุณหมอคุณพยาบาลมัวรออารมณ์คุณคนไข้คงไปเกิดใหม่! ข้าพเจ้าชักสงสัยว่าในความเป็นมืออาชีพนั้น อาจไม่มีอารมณ์เสียมากกว่ามี แต่ไม่ว่าจะมีอารมณ์หรือไม่ ความรับผิดชอบยังต้องมี หากมีอารมณ์อยู่ด้วยก็นับเป็นสิ่งดี แต่หากไม่มีก็ยังเป็นสิ่งพึงกระทำ ตรงนี้เองคงเป็นแนวรั้วระหว่างมือสมัครเล่นกับมืออาชีพ เราคงต้องเลือกล่ะว่าจะเดินไปในแบบใด? ข้ามฟากไปฝั่งมืออาชีพเขียนมันทั้งมีอารมณ์และไม่มี ตัวอักษรจะออกมามนบ้างทื่อแข็งไปบ้างก็ไม่ถือสางานยังคงเดินหน้า หรือรักจะยืนข้างมือสมัครเล่น ว่าง ๆ รอไว้มีอารมณ์ค่อยเขียน ปีหนึ่งสักหน้าสองหน้าก็หาเป็นไรไม่ ใครจะว่าอะไร? ได้มาหน้าเดียวแต่เต็มด้วยอารมณ์จนตัวอักษรแทบส่งเสียงกรีดร้องออกมาคนเขียนภาคภูมิจนแก้มใจแทบปริ หรือว่า..เอาแบบกระโดดข้ามไปฝั่งโน้นทีฝั่งนี้ที สลับมันไปเรื่อย ๆ กันเบื่อ เอ่..เอาไงดีละวา? หลังส่งเรื่องเข้าไปให้คณะกฏษฎีกาขี้เลื่อยประชุมตั้งคณะกรรมการพิจารณาขึ้นมาอีกสามสี่คณะหมดเบี้ยเลี้ยงประชุมไปหลายขวดเบียร์ ได้ความมาว่า... เอ่อ..ไม่มีอารมณ์จริง ๆ ขอรับ! ไม่มีอารมณ์! คารวะ
ยามค่ำสวัสดิ์ขอรับ
ตอบลบอารมณ์ในการเขียน หรือจะเขียนนั้น หาต้องสร้างอารมณ์หรือ
เป็นปัญหาอันดับแรก ๆ เลยของกระผมที่ครั้งแรกยึดมั่นถือมั่นเอากับมัน
เขียนไม่ออกพาลว่า ไม่มีอารมณ์ ทว่าความจริงไม่ใช่
คือ ไม่มีเรื่องเขียน ไม่รู้จะเขียนสิ่งใด เรื่องใด
ไม่มีเรื่อง... เป็นคำกล่าวอย่างเลื่อนลอย ขัดแย้งกับจิตใต้สำนึก
ที่จริง... มันมีหลายเรื่อง
เพียงแต่ไม่พยายามเลือก เอาสักเรื่องมาเขียน
ทั้งนี้ด้วยเรื่องเหล่านั้นมันหละหลวม
เมื่อเป็นเช่นนั้น ครั้งหนึ่งจึงไม่พยายามเขียน ลืมมันไป
ยิ่งฝืนยิ่งเซ็ง (เว้ย!!!) เอาเวลาไปคิดทำอย่างอื่นดีฝ่า...อิอิ
* * *
ยิ่งเขียนมานานสามปีกว่า นับจากตะลุย Life in a Week มาถึง ที่เห็นและเป็นไป, Goodmorning Sunday มาถึง สวัสดีวันอาทิตย์--
งาน Life. หนักหน่วง ด้วยกรอบการนำเสนออย่างเครียด หม่นหมอง เศร้าซึม ความขัดแย้ง ฯลฯ ชีวิตของคนที่ได้พบเห้นและเป็นไป หลายครั้งหลงซึมเศร้าไปกับมัน หลายครั้งเขียนด้วยไม่มีอารมณ์ร่วม แต่เขียนเพื่อนต้องการบันทึกสิ่งที่เห็น มีความยากในการฉายภาพ
งาน Good. สบาย ๆ ด้วยเรื่องที่ไร้กรอบ ทว่ามันก็วนอยู่กับหนังสือ งานเขียน ภาพยนตร์ บทเพลง เป็นการเล่าเรื่องให้พี่น้องฟัง ง่าย สบาย ๆ
งานที่ตั้งใจ เรื่องสั้น หาได้ออกมาพรั่งพรูเช่นงานความเรียง งานความเรียงมีต่อเนื่องนั้นเป็นการสลับความคิด เพื่อไม่หมกหมุ่นตรอมตรมกับสิ่งที่ต้องการทำคือเรื่องสั้น
ผมเขียนมาเสียยาว จะสื่อถึงอะไร
อยากบอกท่านว่า งานที่ลันตานั้น เป็นสิ่งพักผ่อนชั้นเยี่ยมทีเดียว หลังจากขบคิดคิดเอากับนิยายของท่าน
เขียนไปเถิดครับ อย่างน้อยท่านเองต้องระลึกได้ถึงความสุขอะไรสักอย่างที่ได้จากการณ์นั้น
ด้วยจิตคารวะ
จิต จิตติ