แค้มเปอร์ผ่านทาง

ผมจอดรถลงเต้นท์ใต้ต้นไม้เลยป้อมยามเข้ามานิดหน่อย  เป็นมุมแยกตรงเส้นทางโค้งออกไปหน้าหาดกับเข้าในอุทยานฯ  มีโต๊ะแบบต่อติดที่นั่งผมใช้เป็นโต๊ะกินข้าว โต๊ะเขียนรูป  ผูกเปลญวนเข้ากับกิ่งไม้  ตื่นเช้าหุงข้าวทำกับข้าวเผื่อไว้ทั้งวัน  กินข้าวเสร็จเอาสำรับเขียนรูปออกมานั่งสเก็ตช์  ตกบ่ายอ่านหนังสืออยู่ในเปล  เย็น ๆ ว่ายน้ำออกกำลังกาย อาบน้ำอาบท่ากลับมากินมื้อเย็นกับอาทิตย์อัสดง ย่ำค่ำอาศัยแสงไฟที่ป้อมยามนั่งอ่านหนังสือจนกว่าจะง่วง 

ผ่านไปสองวันที่ผมแกร่วอยู่คนเดียวยังกะโรบินสัน ครูโซบนเกาะร้าง  นายวิทย์ที่ทักทายกันวันแรกไม่ยักโผล่หน้าออกมา  อีกหน่อยหากข้าวสารหมดผมมีหวังได้เป็นครูโซ  ที่อดโซล่ะทีนี้  เพื่อความไม่ประมาทลองเดินตามหานายวิทย์  แต่สงสัยว่าผมเข้ามาอยู่ในอุทยานฯ ร้างหรืออย่างไร? ที่ทำการด้านหน้าว่างเปล่าเหมือนไม่ทำการมานานแล้ว  ผมเดินเข้าไปด้านในเจอที่ทำการปิดไม่มีเจ้าหน้าที่สักคน  บ้านพักอุทยานฯ สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่บนเชิงเขาปิดสนิททุกหลัง  ถัดขึ้นไปเป็นแนวป่า  ไม่รู้นายวิทย์อยู่ที่ไหน? 

บ่ายของวันที่สองผมนอนอ่านหนังสืออยู่ในเปล  มีรถสปอร์ทไรเดอร์สีน้ำเงินเลี้ยวเข้ามา  คนขับเป็นหนุ่มวัยกลางคนผิวขาวสะอาดสะอ้านสวมเสื้อยืดคอโปโลกับผู้หญิงที่หน้าตาการแต่งตัวบอกว่า..อ่า..ไฮโซ  มีเด็ก ๗-๘ ขวบนั่งด้านหลัง  รถเลี้ยวมาจอดข้าง ๆ เตาปิกนิกที่ผมกำลังอุ่นแกงไตปลากระป๋อง

“โทษครับลงเต้นท์ตรงไหนได้บ้างครับ?” คนขับเปิดกระจกถาม

“ทางโน้นครับ” ผมชี้ไปทางดงไม้ตามที่วิทย์บอกไว้ว่านั่นเป็นจุดลงเต้นท์

“ทางโน้นได้มั้ยครับ?”  เขาชี้ไปที่ต้นสนหน้าหาด  นั่นเป็นที่ผมเล็งไว้ตอนมาถึงแต่ไม่กล้าลงกลัวพายุฝน

“ไม่แน่ใจครับ” ผมตอบ 

“ขอบคุณครับ” เขาเคลื่อนรถไปทางลานหญ้าริมหาด

พวกเขาช่วยกันลงเต้นท์ข้างรถสปอร์ทไรเดอร์  ความรู้สึกอบอุ่นของครอบครัวปลิวตามลมทะเลปะทะผมเข้าอย่างจัง  ผมนั่งมองพวกเขาพลางเคี้ยวข้าวไปพลางเหมือนกำลังนั่งดูสปอตโฆษณารถในทีวี  หากมีครอบครัวผมก็คงพาลูกออกตระเวณแค้มปิ้งอย่างนี้ล่ะ แล้วก็นั่งฝันตาลอยถึงใบหน้าคุณแม่ของลูก ๆ

ผมกำลังเตรียมอาหารเย็นตอนเพื่อนผู้มาใหม่แวะมาทักทาย

“ทำอะไรทานครับ?” เขาเดินยิ้มเข้ามา  กางเกงผ้าเวสป้อยสีโอวัลตินเสื้อคอโปโล เคยเห็นที่ไหนหว่าผมคุ้นตาเสื้อของเขา

“ผัดผักกับน้ำพริกครับ” ผมใช้บริการเมนูนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว

ผู้มาใหม่แนะนำตัวอย่างคุ้นเคยกับการทักทายคนแปลกหน้า  ทั้งท่าทางน้ำเสียงมั่นใจในตัวเอง ไม่กังวลหรือเกรงกลัวอะไร  (ต่างจากผมที่ กลัวโน่นกลัวนี่สารพัด ซึ่งล้วนแต่คิดมากไปเอง)  เขาเล่าว่า พาครอบครัวออกเดินทางมาร่วมอาทิตย์แล้ว  ละลอนรอนแรมแบบเอ้าท์ดอร์  ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่พักโรงแรม

จากกรุงเทพฯ ลงเต้นท์ครั้งแรกที่สามร้อยยอด เล่นเอาผมตะลึง  ผมเคยไปที่นั่นแต่ไม่กล้าพักเพราะเปลี่ยวไร้ผู้คน เขาหัวเราะบอกว่าเปลี่ยวจริง ๆ นั่นแหละ
จากนั้นก็ตะลอนลงมาเรื่อย ๆ พวกเขาถึงลันตาตั้งแต่เย็นวาน  แต่ขับหลงไปอีกทางทำให้หาอุทยานฯ ไม่เจอจนค่ำเลยหาบังกะโลพักคืนหนึ่ง

“ผมทำงานที่ยูเอ็น” เขาบอกเมื่อผมถามถึงหน้าที่การงาน  มิน่าเสื้อยืดโปโลสีขาวที่เขาสวมถึงได้ดูคุ้นตา  มันเป็นชุดเจ้าหน้าที่ยูเอ็นที่เราเห็นเป็นประจำในภาพข่าวสงครามอิรัก 

เขาเล่าว่าเคยประจำการที่บอสเนียร์, ติมอร์  จนคิดขึ้นได้ว่าไม่ได้เอาใจใส่ครอบครัว  ปล่อยให้ลูกชายวัย ๘ ขวบเติบโตขึ้นมากับแม่ที่เลี้ยงดูด้วยการประคบประงม  ลูกชายคนเดียวกลายเป็นเด็กขาดความมั่นใจ ขาดภาวะผู้นำ ไม่กล้าตัดสินใจ

เขาตัดสินใจเปลี่ยนวิธีทำงานเลือกทำงานในประเทศไทย  และให้เวลาวันหยุดกับครอบครัว  เปลี่ยนรถเป็นโฟว์วีลส์ เพื่อจะได้ออกเดินทางด้วยกันฝึกลูกให้เรียนรู้ชีวิตสมบุกสมบัน

ผมฟังเขาเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาด้วยความชื่นชม  การที่คน ๆ หนึ่งยอมทิ้งโอกาสทางอาชีพการงาน(ทั้งหมายถึงเงินก้อนโต)เพื่อหันมาให้เวลากับครอบครัว  อุทิศเวลาในการอบรม หล่อหลอม ลูก ๆ ให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพนั้น ในสังคมทุนนิยมทุกวันนี้ดูจะมีน้อยเต็มที  เพราะต่างมุ่งหาเงินด้วยข้ออ้างหาเลี้ยงครอบครัว

จนลืมคิดไปว่า....เงินไม่สามารถอบรมเด็ก ๆ ได้

เสียดาย...

พวกเขาพักแค่คืนเดียว  เช้าวันถัดมาก็เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ

ผมได้แต่อวยพรให้เขาทำสำเร็จตามความตั้งใจ  เพราะดูเหมือนจะเป็นงานหนักเอาการ  ใกล้ค่ำวันนั้นขณะผมเสร็จจากอาบน้ำอาบท่า  ครอบครัวเพื่อนแค้มป์มาอาบน้ำผมเห็นเจ้าลูกชายยืนนิ่งให้คุณแม่ถอดเสื้อผ้าให้อาบน้ำให้..เวลา ๘ ปีแรกในชีวิตของลูกชายที่เขาพลาดไปเป็นช่วงสำคัญที่สุด  โปรแกรมต่าง ๆ ได้ถูกฝังไว้เรียบร้อยแล้ว  อีกอย่าง..คนสำคัญที่ต้องปรับทัศนคติด้วยก็คือแม่ของลูก

หากเขาพลาดจุดนี้..? 

ผมได้แต่อวยพรให้เขาทำสำเร็จ

1 ความคิดเห็น:

  1. มันมีเยอะท่าน

    พ่อแม่กลับบ้านทุกวัน แต่ไม่คลุกคลบีกับลูก เลี้ยงลูกด้วยเงิน

    เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

    เข้าทำนองพ่อแม่รังแกฉัน

    ตอบลบ