คืนวันที่ดี

ฟ้าใกล้ค่ำผมมองหาที่ลงเต้นท์  มีสนอยู่ปลายแหลมเชื่อมไปยังเนินประภาคาร  ดูน่าลงเต้นท์เพราะใกล้หาด  แต่ตรงนั้นเป็นที่โล่งเกิดมีพายุฝนเต้นท์จะแย่เลยขอหลบอยู่ใต้เงาไม้ด้านใน

ผมเลื่อนรถเข้ามาในเขตรั้วอุทยานลงเต้นท์ข้างรถ  เตรียมอาหาร หุงข้าวด้วยมือตนเองเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีหลังจากยกหน้าที่ให้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าไปซะนาน   

นั่งกินข้าวเย็นกับอาทิตย์อัสดง ผัดผักกาดขาวกับข้าวเปล่า  อร่อยอย่างยากจะบรรยาย  ท้องฟ้าเรื่อแสงรำไร  อาทิตย์อัสดงสะท้อนเงาน้ำอยู่ไหว ๆ 

มีแต่ผมกับหาดทราย หาดหิน ประภาคารขาวสะอาดตา กับผืนป่ากว้างใหญ่ ท้องทะเลสุดตา

ทำให้ได้คิดว่า..

มนุษย์จะไขว่คว้าเป็นเจ้าของโลกใบนี้ไปทำไม?
ทรัพยากรโลกมีอยู่จำกัด  มนุษย์กลับแย่งชิงเป็นเจ้าของ
ครอบครองผืนทราย ภูเขา ป่าไม้ ท้องทะเล 

ทำไมไม่ใช้ทรัพยากรร่วมกัน 

หากผืนป่า หาดทราย หมู่เกาะต่าง ๆ คือ อุทยานแห่งชาติที่คนในชาติเป็นเจ้าของร่วมกัน ได้มาพักผ่อนหลีกหนีจากชีวิตประจำวัน  ทุกคนช่วยกันดูแลรักษา ธรรมชาติก็จะอยู่กับมนุษยชาติ..เกื้อกูลกันไปอีกนับนาน

คืนนั้นผมหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลีย  ตื่นเช้าอย่างสดชื่นเริ่มคุ้นกับบรรยากาศรอบด้าน  ร่างกายที่อ่อนล้าจากการทำงานหนักมากว่า ๔ เดือนเริ่มตอบสนองกับโอโซนชุดใหม่ที่ได้รับ กระปรี้กระเปล่า รู้สึกถึงกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่าง ๆ ที่ตอบรับการเคลื่อนไหวดีขึ้น

ผมเริ่มทำความคุ้นเคยกับชีวิตเอ้าท์ดอร์  การหุงข้าวด้วยเตาแก๊สที่ทิ้งไปนาน  กำหนดรูปแบบชีวิตประจำวัน  ผมจะอ่านหนังสือที่เตรียมมาให้หมดก่อน  แล้วค่อยฟื้นทักษะเขียนรูปที่ห่างหายไปเป็นปี  คอยอยู่ที่นี่จนกว่าเพื่อน ๆ จะเสร็จงานมาสมทบ

ปัญหาตอนนี้ก็คือ....

ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์!  เพื่อน ๆ รู้ว่าผมมาลันตา  มั่นใจพวกเขาเดาออกว่าผมอยู่ที่อุทยานฯ (ตามนิสัยเดิม ๆ) แต่จะแน่ใจได้ไงว่าผมยังอยู่..หากติดต่อกันไม่ได้!

ผมสลัดปัญหาทิ้งไป เอาไว้ค่อยคิด
ตอนนี้ผมจะอยู่กับประภาคาร ทะเล เปลญวน และ..

'เทวากับซาตาน' ที่วางไม่ลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น