อรุณ(ยังอีกนาน)สวัสดิ์ขอรับท่านย่าที่เคารพ
ขอบคุณอักขระเปื้อนน้ำหมากจากท่านที่เมตตาเปรอะไว้ข้างฝากระต๊อบผู้น้อย ค่ำคืนนี้ผู้น้อยเลี้ยงส่งตัวเองเป็นที่เรียบร้อย วันพรุ่งจะกลับเข้าสู่โลกของการขีดเขียนอีกครา หลายครั้งหลายหนที่ข้าพเจ้านึกละอายใจยามเห็นอนุชนนักเขียนเยาวเรศแรกรุ่นที่รังสรรค์ผลงานตีพิมพ์สู่บรรณพิภพ ดูเหมือนพวกเขาจะทำได้อย่างสนุกสนาน ง่ายดายเสียนี่กระไร ก็แล้วทำไมกับตัวผู้น้อยที่กรำโลกมาจนล่วงวัยป่านฉะนี้กลับเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็นเสียกว่างมเข็มในถังข้าวสาร หรือล้างจานในมหาสมุทร (แบบว่า..อยู่ไกล) ท่านย่าขะรับ--มือมันคอยจะยื้อยุดไปยกขวดเลเกอร์มอลล์อยู่นั่นแล้ว ! นั่นเป็นปัญหาเรื้อรังเหมือนแผลเก่าที่แม่เรียมฝากไว้กับไอ้ขวัญไม่มีวันเยียวยา อีกอย่างที่ฝังในจิตใต้สำนึกยากปล่อยวางก็คือความละอายใจขอรับ การที่ต้องทำเป็นนิ่งเฉยไม่เอาอรรถเอาความกับทักษะภาษาอ่อนด้อยอันนุ่งห่มอยู่นี้ จะอย่างไรก็ตระหนักใจตนตลอดเวลา การแกล้งทำเป็นนิ่งเฉย เมินละอายต่อความอ่อนหัดเพื่อหวังฝึกฝนนี้ ทำร้ายจิตใต้สำนึกเรื่อยมา ข้าพเจ้าหาทางหลบเลี่ยงหลายต่อหลายวิธีการ หลบจากเว็บบอร์ดมาอยู่ในบล็อก กระทั่งหลบบล็อกเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านรกร้างยากที่ผู้คนจะพบเจอนั่นล่ะขอรับ นั่นเป็นเหตุผล(ที่ฝังอยู่ลึก ๆ ในใจ)ว่าทำไมผู้น้อยจึงย้ายแล้วย้ายเล่าเป็นผีตองเหลืองไร้ศาลอาศัย ครั้นจะนั่งเขียนอยู่แต่โดยเดียวเล่าก็ใช่ที่ ข้าพเจ้าเคยล้มเหลวกับคิดแบบขนบเดิม นั่งเขียน--เขียน--เขียน--แล้วส่งไปขอการุณยเมตตาจากท่านบรรณาธิการผู้รับเบี้ยเลี้ยงรายเดือนเป็นค่าผ่อนคฤหาสถ์ ผ่อนซีคลาส หรือกระทั่งส่งลูกเรียนยูซีแอลเอ กว่ารู้ว่าอักขระซุ่มซ่ามอันผู้น้อยได้สำรอกออกไปโดยเบาปัญญานั้นยังรกรุงรังด้วยคุณศัพท์ผักตบชวา วิเศษณ์หญ้าคา สันธานไร้ที่มา ผู้น้อยก็คงล่วงวัยชรา ต่างกับวันเวลานี้ที่โลกเปิดโอกาสให้คนคอเดียวกันได้พบกันเหมือนดังคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า "ฝนตกขี้หมูไหล..คนอะไรมาพบกัน!" (ด้วยความอ่อนด้อยทั้งวัยวุฒิแลคุณวุฒิผู้น้อยขอเป็นช้างเท้าหลัง ส่วนประโยคหน้ายกให้ท่าน!) วันเวลานี้เราสามารถปรับปรุงทักษะของเราเร็วขึ้น พุ่งเป้าไปยังความตั้งใจได้ตรงขึ้น! ก็โดยการอาศัยหมู่มวลมิ่งมิตรที่ย่ำเดินไปบนหนทางเดียวกัน คุณประโยชน์อันนี้ผู้น้อยไม่เคยลืมเลือน นั่นจึ่งเป็นที่มาของท่าทีอันจะโผล่ก็ไม่โผล่จะผลุบก็ไม่ผลุบ! ผู้น้อยยังต้องการสหายที่เขียนไปด้วยกัน ช่วยแนะนำตักเตือนกัน เพื่อก้าวไปบนหนทางอักษรอย่างไม่ดุ่มเดิน แลยังต้องมีโลกโดดเดียวที่ไม่มากคนมากความ ไม่ต้องกลัวเหงาหง่าว เพราะถึงอย่างไรโลกขีดเขียนก็ต้องปิดโทรฯ ปิดทีวี ปิดประตูหน้าต่างทุกบาน กระทั่งปิดใจให้สนิทอยู่แล้ว ทำอย่างไรจึงจะรักษาสมดุลโลกทั้งสองไว้ให้ได้? ข้าพเจ้าจึงผูกตับจาก ลากเสาไม้สนมาก่อกระต๊อบอีกครา เป็นกระต๊อบในป่าอักษรที่หากไม่เจตจำนงพบเจอจริง ๆ ก็ยากจะมีผู้ผ่านทางมาสักครา ที่ตรงนั้นผู้น้อยหวังจะนั่งฝึกขีดเขียนไปโดยเอกา ถักสานตะกร้าอักษรขึ้นช้า ๆ ทีละใบสองใบ โดยไม่ต้องพะว้าพะวนกับเงื่อนไขอื่น แลทั้งไม่เงียบจนหง่าวเหมือนปลูกข้าวอยู่บนดอย กินเองก็ไม่หมด จะขายรึก็ไกลเกินแบกหาม ไม่มีมิเตอร์มาคอยบอกว่าใครมาเยี่ยมหรือไม่? เพราะมั่นใจแล้วว่าสหายรู้ว่าผู้น้อยอยู่นี่ มุดศีรษะอยู่ในกะลาใบนี้ มีอักขระฝากความคราใดคงแวะมาทักทาย หากไม่มีผู้น้อยก็รู้ว่าหาได้โดดเดี่ยว เพียงขับเคลื่อนขบวนอักษรไปทีละคำทีละบรรทัดโดยแน่วแน่อยู่กับอักขระเหล่านั้น วันพรุ่งผู้น้อยจะเริ่มดำเนินชีวิตคนเขียนหนังสืออีกครา รุ่งเช้าเขียนงานใหม่ บ่าย ๆ เกลางานเก่า อ่านงานสหาย ทักทายมิ่งมิตร ค่ำ ๆ ขบคิดร้อยกรอง แลอ่านหนังสือจนกว่าจะง่วงหาวนอน นั่นเป็นชีวิตง่าย ๆ ที่ข้าพเจ้ายังคงสงสัยอยู่ว่า..ไยจึงยากเย็นแสนเข็ญนักขะรับท่านย่าที่เคารพ!? คารวะ ปล. วันนี้เพื่อนบ้านนกกาบแคมันมีสมาชิกใหม่โผล่ออกมาสามตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วขะรับ ตัวเท่ากำปั้นว่ายน้ำกันดุ๊กดิ๊ก ครอบครัวใหม่ที่เต็มด้วยความหวังวันข้างหน้า พวกมันพ่อแม่ลูกว่ายน้ำกันไปมา บางครั้งก็หันมองข้าพเจ้า ไม่รู้พวกมันจะคุยกันว่าอย่างไรบ้าง? อาจเป็นว่า--ลูกจ๋า..โตขึ้นอย่าเอาอย่างมนุษย์คนนั้นนะลูก..! ฮืมม์..อย่าให้ได้ยินเชียว!
ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก
ตอบลบ