๏ กรุ่นสายลมหอบรักจากรวงข้าว
ยังกรุ่นกราวราวกลิ่นรินรินหวน
คะนึงเย้าหยอกยิ้มเจ้านิ่มนวล
ชะม้อยชวนชายตามาเอียงอาย

๏ หอมเจ้าเอย..ฟอนฟางรางรางหอม
ยังแย้มย้อมเหลืองแสดริ้วแดดสาย
ชะน้ำค้างร้างรอก็เรียงราย
ชวนชะม้ายคล้ายรับการกลับมา

๏ ใช่จะลืมทิวตาลผ่านชายทุ่ง
ลืมโค้งคุ้งลำคลองเคยล่องหา
คราบความหลังยังค้างบนคันนา
จะเลือนลาละจางได้อย่างไร

๏ ไผ่สีสุกเสียดกอล้อลมหนาว
ขลุ่ยฟางข้าวเคล้าตาลมาหวานไหว
หนาวเจ้าเอยหนาวนักจนยากใจ
จะเหลียวไหนก็น่าน้ำตาคลอ

๏ ระงมหริ่งเรไรครวญชวนวิโยค
พญาโศกคร่ำว่าพะงาหนอ
ในเพลงขลุ่ยเคยเฝ้าพะเน้าพะนอ
จะรวนล้อก็เพียงพิไลภิรมย์

๏ รวงรังผึ้งแรมจันทร์มาพลันร้าง
ในอ้างว้างรสหวานก็พานขม
ริ้วใบไผ่ร่วงรายในสายลม
จะเพลินชมก็ชวนพิลาปพิราม

๏ เสียงขลุ่ยครวญหวนคลอคืนกอไผ่
เก็บหัวใจเจ็บล้าในป่าหนาม
เก็บซากฝันฟันฝ่าพยายาม
ที่ติดตามระหกระเหินเดินทางไกล

๏ กลับคืน..ลำเนารักแนบตักอุ่น
มานอนหนุนอักขราระย้าไหว
แอบอกอ้อนอิงกรุ่นในอุ่นไอ
จะหลับไปด้วยอวลหอมในอ้อมกาย

๏ จะร้อยรักร่วมเรือนวธุรส
ไม่มีหมดจนกว่าชีวาสลาย
กว่าเดือนดับลับหล้าฟ้าทลาย
มั่นเรือนตายหมายเคียงเพียงเจ้าเอย ฯ

ภาพ : อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต

Technorati Tags:

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น