ว่าด้วยบทกลอน(ต่อ)สวัสดิ์ขอรับท่านสาย
ความงามของบุปผานั้นเป็นงามยามยลทั้งดอกใบ จักษุสัมผัสละมุนผิวกลีบพร้อมสีสันสืบสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องหมู่แมลงและสายลม นาสิกสัมผัสกลิ่นหอมจรุงใจ หาใช่เด็ดดอกมาปลิดกลีบทีละใบเพื่อเสาะหาที่มาแห่งงามนั่น
ฉันใดฉันนั้น
พิลาสเพลงกลอนย่อมงามอยู่ในสำนึกยามเสพรส การหยิบจับมาแจกแจงทีละบาทบทนั้นล้วนย่ำยีให้เสียหาย อีกทั้งมีแต่สำแดงขี้เท่อตน ยิ่งกล่าวก็จะยิ่งบ่งความไม่รู้ออกไปให้ได้อาย
ข้าพเจ้าเพียงหวังแลกเปลี่ยนสนทนาว่าด้วยบทกลอน เผื่อมีบางมุมฉุกใจสหายให้แลเห็นช่องทางอันจักชักนำเชิงฉันทลักษณ์นิพนธ์ไปในทางคล่องคำคล้อง เท่านี้นับว่าเปรมใจผู้น้อยแล้ว
การยกงานบุรพาจารย์มากล่าวอ้างอิงอาจพลั้งเผลอจาบจ้วงล่วงล้ำความเคารพยำเกรงโดยหามีเจตนาใจ กระนั้นหากผิดพลั้งย่อมไม่อาจเบือนบิดคิดหลบให้พ้นตัว ได้แต่ปวารณาว่าหากมีข้อคำใดพลั้งเผลอ ขอสหายท่านสายของข้าพเจ้ารับเป็นธุระไปทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญ
หากมีผู้กล่าวว่า กลอนแปดยุคเก่าขาดสัมผัสใน กระทั่งจอมปราชญ์ตำแหน่งอารักษ์วังหลวงขุนศรีสุนทรโวหาร(ภู่) นำสัมผัสในมาใช้ทำให้กลอนแปดของท่านสละสลวยพลิ้วหวานยากหาผู้ใดเทียม
เห็นทีผู้กล่าวอาจหลงลืมยอดกวีเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินยุคปลายกรุงศรีฯ
ดังที่เรียนท่าน ข้าพเจ้าอ่านมาน้อย บทกวีเจ้าฟ้ากุ้งนั้น ได้ผ่านตาเพียงเห่เรือไม่กี่บท และเพลงยาวบทนี้ แม้เป็นร้อยกรองสั้น ๆ แต่เพลงยาวบทนี้กลับเป็นเหมือนบทครูที่สอนให้ข้าพเจ้าเรียนรู้..
เราลองมาดูด้วยกันเป็นไร
๑ สัมผัสหลากหลาย
๏ ปางพี่มาดหมายสมานสุมาลย์สมร
ดังหมายดวงหมายเดือนดารากร
อันลอยพึ้นอัมพรโพยมพราย
ใช้สัมผัสพยัญชนะแพรวพราว 'ส' และ 'ม' ในวรรคต้น 'ด' วรรคกลาง และ 'พ' วรรคสุดท้าย
นำ 'สมานสุมาลย์สมร' มาเรียงแล้วได้ความเกิดความไพเราะทั้งรูปคำ น้ำเสียงและความหมาย (สัมผัสอักษร 'ส' ในวรรคต้น หากทราบนามผู้รับสาส์นจะยิ่งรส แต่นั่นเป็นอีกประเด็นเห็นทีเก็บไว้ภายหลัง)
วรรคสองและสามไม่มีสัมผัสสระเลย ใช้เพียงสัมผัสพยัญชนะ ความงามกลับหาลดน้อยถอยลง
ลองสังเกต 'อันลอยพื้นอัมพร..'
หากเขียนว่า 'อันลอยเบื้องอัมพร..' โดยละสัมผัสอักษร 'พ' เสียด้วยเห็นว่ามีสัมผัสอักษร 'อ' แล้ว ความไพเราะจะถูกลดทอนอย่างน่าเสียดาย ก็เพราะองค์ประกอบความงามของบทกลอนอย่างหนึ่งก็คือเสียงที่เกี่ยวเนื่องกัน (สำหรับวรรคสามคือเสียง 'พ.พาน')
(ตรงนี้สอนข้าพเจ้า ยามเขียนพึงปล่อยให้ตัวอักษรเลื่อนไหลไป ต่อเมื่อทวนรอบสอง หากมีตำแหน่งใดใช้สัมผัสพยัญชนะได้โดยไม่เสียความพึงปรับแก้)
การใช้สัมผัสที่แพรวพราว ทั้งสัมผัสสระและพยัญชนะสลับกันไปมา ไม่จำเพาะเจาะจงเหมือนกันทุกบาทบท เคลื่อนตำแหน่งสัมผัสหน้าหลังไม่ซ้ำ ทำให้ได้รสหลากหลาย(พบในทุกวรรค) เช่นเดียวกับการจัดวางจำนวนคำ
๒ การวางจำนวนคำ
หากวางจำนวนคำเป็น สาม สอง สาม ต่อเนื่องกันไปทั้งบท กลอนจะดูแข็งทื่อไม่ต่างตอไม้ แต่หากรู้สลับสับเปลี่ยน สาม สอง สาม บ้าง สาม สาม สาม บ้าง หรือกระทั่ง สาม สอง สี่ บ้าง กลอนบทนั้นก็จะเป็นเช่นไม้ดัดงดงาม มีสัดส่วนเว้าโค้งชวนพิศพินิจ
ที่สำคัญคือรู้ความเหมาะสมว่าอารมณ์ใดควรใช้จำนวนคำแบบใด
อย่าง สาม สอง สาม สำหรับอารมณ์กระชับกระชั้น แต่หากเป็นจังหวะหวานใช้ สาม สาม สาม จะเพิ่มรสหวามหวาน
๓ ใช้คำซ้ำ
'นี่สุดหมายที่จะมาดสุมาลย์สมาน'
'โอ้สุดคิดสุดฤทธิ์เห็นสุดรัก'
'โอ้นับเดือนก็จะลับไปนับวัน'
หยิบจับคำเดิมมาใช้แต่ทำให้เกิดความหมายหลากหลาย นอกจากทวนย้ำซ้ำอารมณ์ยังบอกให้รู้ว่าผู้เขียนเป็นนักเลงคำ
๔ จินตนาการกวี
การเปรียบเทียบชักนำให้เห็นภาพและสื่อความรู้สึก
'แสนรักจะร่วมเรือนเหมือนบุหรง..'
'แสนวิตกเหมือนกระต่ายที่ใฝ่ฝัน..'
๕ คำน้อยครอบคลุมความหมาย
'จะแสนทุกข์สุดโทมนัสเนื่อง'
ใส่คำ 'เนื่อง' ลงเพียงคำเดียวนอกจากได้ทั้งสัมผัสนอก และสัมผัสในพยัญชนะยังได้ความหมายถึงระยะเวลาของความทุกข์เนิ่นนานที่ไม่ต้องกล่าวมากความ
๖ ใช้พยัญชนะเดียวกันต่างเสียงเป็นสัมผัสนอก ได้ทั้งความไพเราะและความต่อเนื่องของเสียง
'เมื่อเลี้ยวเหลี่ยมสัตภัณฑ์ยุคนธร
ยิ่งคะนึงยิ่งนานจะเห็นพักตร์
ฉวยฉุดรักแล้วจะทอดฤทัยถอน'
...
'มิได้วายความถวิลที่จินตนา
แสนเทวศสุดทวีครั้งนี้เอ๋ย
ไม่เห็นเลยว่าจะน้อยวาสนา'
...
ขอหมายมั่นกว่าจะม้วยชนมาน
ถ้าดับชีวิตไปสวรรค์ชั้นใดไฉน
ขอตามไปร่วมทิพย์พิมานสมาน
๗ ใช้คำวรรคจบในวรรคเริ่มบทต่อไป เกิดความต่อเนื่องของเสียง
'อันลอยพึ้นอัมพรโพยมพราย
แม้นพี่เหิรเดินได้ในเวหาส'
...
'เมียงหมายรัศมีพิมานมอง
นี่สุดหมายที่จะมาดสุมาลย์สมาน'
...
'เมื่อเลี้ยวเหลี่ยมสัตภัณฑ์ยุคนธร
ยิ่งคะนึงยิ่งนานจะเห็นพักตร์'
๘ ทอดคำท้ายวรรคว่าวอนอ่อนหวาน
'ปางพี่มาดหมายสมานสุมาลย์สมร'
'นี่สุดหมายที่จะมาดสุมาลย์สมาน'
'ถ้าดับชีวิตไปสวรรค์ชั้นใดไฉน'
'ขอตามไปร่วมทิพย์พิมานสมาน'
'ความรักอย่าได้ร้างอารมณ์สลาย'
เหลี่ยมลายวรรณศิลป์ในเชิงกลอนเท่าภูมิทักษะปัจจุบันที่ผู้น้อยพึงเห็นรวมอยู่ในเพลงยาวบทนี้ เชิงชั้นทั้งหมดถูกนำใช้โดยไม่ซ้ำให้เฝือ และใช้อย่างเป็นธรรมชาติ(คงยังมีส่วนที่ทักษะอันจำกัดจำเขี่ยนี้ไม่สามารถอาจเอื้อมเข้าไปสัมผัสถึง ได้แต่หวังหากผู้รู้ท่านใดผ่านทางมาพานพบจะได้กรุณาชี้แจงแต่งเติมเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อความจำเริญไปด้วยกันในเชิงกลอน จักขอบพระคุณยิ่ง)
เพลงยาวบทนี้จึงเป็นเช่นบัญชรเปิดทางให้ข้าพเจ้าสัมผัสอีกมิติของบทกลอน
เป็นมิติของความหลากหลาย สละสลวย มีความเป็นนักเลงกลอนพลิ้วไหว
แต่ทั้งหมดมิใช่สาระ
เมื่อประจงนิ้วลงสลักลายอักขระขออย่าได้นำมาวิตกกังวล ทั้งหมดเป็นเพียงลายสลักอันสหายน้อยของท่านมุ่งหวังสำแดงเพื่อบานบัญชรปรากฎขึ้นในมโนนึกแห่งท่าน แลหวังเห็นท่านก้าวล่วงเข้าไป ที่กล่าวมาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะกลอนนั้นหาไม่ รู้เรื่องปลีกย่อยเหล่านี้มิต่างรู้หลักประคองตัวในน้ำ จะว่ายอย่างไรยังต้องลงไปในน้ำด้วยตนเอง
พัฒนาทักษะกลอนจึงเกิดเฉพาะเมื่อลงมือเขียนอ่านครั้งแล้วครั้งเล่า
อีกทั้งความเป็นเลิศของกวีนิพนธ์บทนี้หาใช่เพราะเชิงชั้นดังกล่าวข้างต้น แต่เป็นเลิศเพราะสุนทรียะรสซึ่งผู้อ่านได้รับ เป็นรสที่รับรู้ว่าผู้เขียนสื่อทุกตัวอักษรด้วยบริสุทธิใจ ความรู้สึกของผู้เขียนได้ส่งตรงถึงใจผู้อ่าน เรารับรู้ได้ถึงทุกข์เวทนาอันเกิดแต่รัก แลปณิธานอันจะรักษาความบริสุทธิใจต่อกันอันแน่นหนัก ทุกตัวอักษรจึงทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์
เราเดินทางมาถึงช่วงปลายแล้วขอรับ
สำหรับกับข้าพเจ้ากลอนก็เหมือนหมาก
ข้าพเจ้าเคี้ยวหมากไม่เป็นเหมือนเขียนกลอนไม่เป็น แต่ยังรักที่จะเขียนเพราะเชื่อว่าฉันทลักษณ์นิพนธ์เป็นเครื่องตรวจสอบคลังคำในขมองตน เมื่อใดเขียนอยู่แต่สัมผัสซ้ำ คิดสัมผัสไม่ออก แสดงว่าถึงเวลาเพิ่มคำ
การมีคำจำนวนมากและหลากหลายจะช่วยให้เราหยิบจับมาใช้อย่างตรงใจตรงความหมายไม่เยิ่นเย้อฟูมฟาย (จำได้ไหมคำง่าย ๆ อย่าง ไพร่, บ่าว, ข้าพเจ้าก็ยังคิดไม่ออก ต้องพึ่งพาท่าน ก็เพราะขมองข้าพเจ้ามีคำน้อยกว่าน้อย)
ผู้คนล้วนเขียนหนังสือได้
แต่ทำไมหลายท่านเขียนแค่สื่อความ อีกหลายท่านสื่อทั้งความทั้งอารมณ์ และอีกหลายต่อหลายท่านสื่อทั้งความทั้งอารมณ์ทั้งรู้สึกด้วยจำนวนอักษรน้อยกว่า
ก็เพราะเชิงชั้นทางอักษรศาสตร์เป็นเพียงเครื่องมือ สาระแห่งเชิงชั้นที่แท้กลับเป็นความเรียบง่าย นั่นคือบอกกล่าวด้วยใจ ส่งตรงสู่ใจ ดังเช่นท่านผู้ประพันธ์เลิศฉันทลักษณ์นิพนธ์ได้กระทำ
ยามใดท่านนั่งลงประจงสลักลายฉันทลักษณ์ ขอเพียงมั่นแล้วว่าเรื่องที่จะกล่าวแจ่มชัดจริงอยู่กับใจ และกล่าวออกมาด้วยหัวใจ ครั้นวรรคสุดท้ายสำเร็จลง ลองหยิบจับเครื่องมือเชิงชั้นวรรณศิลป์ทั้งมวลซึ่งได้ยกวางไว้ข้างกายมาเทียบเคียงตรวจสอบ เหมือนช่างสลักไม้เก็บลายหลังเสร็จงาน
เมื่ออ่านทวนแลพบว่าตัวอักษรเหล่านั้นได้ผ่องถ่ายความรู้สึกภายในใจโดยสิ้น อิ่มเอมตรงหน้าจึงเป็นสุนทรียะรสอันท่านบรรลุแล้วโดยตน และผู้เสพจะพึงรับล้วนรู้ได้ก็เฉพาะตน..นั่นแล ●
ป.ล. เมตตาคุณได้รับจากท่านนั้นยากหาสิ่งใดทดแทน หากจำอวดอักขระครั้งนี้ยังความบันเทิงเริงใจแก่ท่านอยู่บ้าง ย่อมเป็นเครื่องชูใจสหายยากไร้ของท่านยิ่งแล้ว
โอ้ว..แม่จ้าวววว เพลงโดนใจมั่กมั่ก 55555555
ตอบลบขอบคุณเจ้าค่ะที่เขียน 'ทางกลอน' มาช่วยเกลารอยหยักทื่อๆในสมองข้าเจ้า ได้ความรู้เยอะเลย แต่คงต้องละเลียดทำความเข้าใจอีกสักสองสามรอบ
เพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้งนั่นก็ไม่เคยอ่านหรอกเจ้าค่ะ ข้าเจ้าไม่เคยอ่านงานเจ้าฟ้ากุ้งเลยสักชิ้น ได้อ่านจากท่านถือเป็นบุญแล้ว
(ท่านอย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าข้าเจ้าอ่านงานแนวนี้มาเยอะเชียว หนังสือทางกลอนที่เคยอ่านมีของท่านไพรวรินทร์สองเล่ม ท่านจิระนันท์ พิตรปรีชาอีกหนึ่งเล่ม)
เคยคิดหางานของสุนทรภู่มาอ่าน แต่เมื่อคิดถึงครั้งเรียนมัธยมแล้วต้องส่ายหัว ครั้งนั้นข้าเจ้าหาได้สนใจเรื่องบทกลอนเท่าใดนัก เนื้อหาที่เรียนในความรู้สึกจึงแสนเบื่อหน่าย พาลแต่จะฟุบลงกับโต๊ะแล้วถอดวิญญาณท่องโลกฝัน ติดแต่โต๊ะเรียนอยู่หน้าห้องตรงหน้าโต๊ะอาจารย์พอดี นั่งเรียนไปก็สบตาอาจารย์ ปิ๊ง ปิ๊ง ปิ๊ง ปิ๊ง โลกฝันจึงถูกพับเก็บ
พอตั้งใจจะหาซื้อจริงๆ จังๆ งานประพันธ์ของท่านสุนทรภู่ที่ผ่านตาในร้านหนังสือ ส่วนมากก็เป็น เอาบทกลอนมาแยกเยอะแจกแจง หรือไม่ก็เอางานมาแปลเป็นร้อยแก้ว ข้าเจ้าเลยได้แต่หยิบแล้ววาง เพราะซื้อมาอ่านก็คงไม่เต็มอิ่มในอารมณ์
อาทิตย์นี้พักนิยายเจ้าค่ะ บางทีอาจต้องพักไปจนกระทั่งสิ้นเดือนมีนาฯ ไม่รู้เลยจะเอาไงดี แต่จะพยายามเขียนกลอนอยู่เรื่อยๆ
เรื่องหนังสือที่จะส่งมาขอเป็น ขุนช้าง-ขุนแผน ก็แล้วกันเจ้าค่ะ(ถ้าอ่านจบแล้วทางกลอนข้าเจ้าหาได้พลิ้วราวลายระนาดของจางวางขาวจะโดนว่าอะไรหรือเปล่าเนี่ย)
ขอตัวไปนั่งละเลียดเพลงยาวที่ท่านเอามาลงให้อ่านอีกหน่อยเจ้าค่ะ
ขอท่านสุขสันต์ในทุกวัน
ปล.เสียใจกับเรื่องหลานชายด้วยนะเจ้าคะ
ค่ำคืนสวัสดิ์ทั่นสายเจ้าคะ
ตอบลบได้รับ 'ทวิภพ' แล้วขะรับ เวอร์ชั่นพิมพ์ครั้งแรกด้วย (ต่อไปต้องราคาประมูลแน่ ๆ อ่านจบแล้วจะส่งคืนให้ท่านเก็บรักษา เพราะอยู่ที่ข้าพเจ้าถ้าไม่ปลวกกินก็ขึ้นรา)
ขอบพระคุณมากมาย
อ่านผ่านหกบทรวดเดียวอย่างไม่ฝืดฝืนใจ ความช่วยเหลือของท่านครั้งนี้มีคุณต่อ 'กาลครั้งหนึ่ง'นัก ขอบคุณ..ขอบคุณ..
แล้วจะส่งพ่อพลายแก้วไปเคาะปากกะตู(อ่านระมัดระวังหน่อยละกัลล์ พ่อคนนี้เจ้าชู้นัก)ขอรอเสร็จธุระพระมารดาก่อน (คิดแล้วก็ยังงง ๆ ย่างปลายเดือนกุมภาฯแล้ว ข้าพเจ้ายังหาเวลาสงบเขียน 'กาลครั้งหนึ่ง'ต่อไม่ได้เลย)(ขอบ่นสักหน่อยเถอะ)
แล้วทำไมนิยายท่านจึงพักร้อนถึงสิ้นเดือนมีนาฯเล่าขะรับ? เกิดไรขึ้น?
ว่าไปแล้วเขียนนิยายให้จบสักเรื่องเนี่ย เลือดตาแทบกระเด็นจริง ๆ นะทั่น แค่ต่อสู้กับตัวเรื่องแทบประดาตายแล้ว ยังต้องผจญกับกิจชีวิตประจำวันที่บางครั้งเหลือกำลังรับ นักอยากเขียนที่ความตั้งใจค้าง ๆ คา ๆ จึงมีมากมาย พวกเขามีความรับผิดชอบต่อชีวิตสูงจึงต้องหักหลังฝันตนเอง
ท่านคิดว่าหากเราหักหลังชีวิต(หมายถึงปากท้อง)แล้วรับผิดชอบต่อความตั้งใจที่จะเขียนนิยายให้จบ ท่านว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้ไหมทั่น?
ไม่เอา..ไม่ถามดีกว่า..เป็นว่าไม่หักหลังชีวิต รักษาปากท้องไปด้วย เขียนนิยายไปด้วย กี่ปีกี่ชาติจบช่างปะไร นะทั่นนะ
แต่เอ..ไม่ได้!
'กาลครั้งหนึ่ง' จะต้องจบภายในต้นปีนี้ ฮึมมม์ (สีหน้าเอาจริงเอาจัง)ต้องทำให้ได้!
ขอท่านหรรษาทุกวันสุข
ป.ล. ขอบพระคุณขะรับ
สวัสดียามเที่ยงเจ้าค่ะ
ตอบลบเพิ่งแหกขี้ตาตื่นนอน มีวันหยุดเยอะก็ดีงี้ จะนอนดึกแค่ไหน ตื่นสายแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวล เมื่อคืนข้าเจ้าด่ำดิ่งไปในศิวาราตรี หาทางออกไม่เจอเลยต้องเลยตามเลย ใครจะไปฟาดฝีดาบ-ฝีหอกกับใครก็ต้องตามเขาไปต้อยๆๆ สิ้นแรงสลบไปเมื่อตอนรุ่งสาง
รู้ว่าแม่มณีกับคุณหลวงเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพก็สบายใจเจ้าค่ะ ยังห่วงอยู่ว่าคุณหลวงอยู่ในยุค รศ.112 ส่วนแม่มณีนั้นก็อยู่ในยุค พ.ศ.2529 แม่เคยแต่ท่องแดนอดีต จูงมือคุณหลวงมาท่องโลกดิจิตอลแบบนี้กลัวแต่แม่จะไปหลงอยู่กลางทาง ทำให้คนปลายทางรอเก้อชะเง้อคอยอยู่อย่างนั้น
หนังสือพิมพ์ครั้งแรกจริงๆ หรือ? ข้าเจ้าก็พลิกดูอยู่หลายรอบเหมือนกัน จะหาดูว่าพิมพ์ครั้งที่เท่าไหร่ ไม่เห็นจะมี ตอนที่ต่อราคากับคนขาย เขาบอกว่า
"นี่ถ้าพิมพ์ครั้งแรกพี่ขายแพงกว่าราคาปกอีกนะ"
ข้าเจ้าแกะถุงพลาสติกออก จับพลิกไปพลิกมาสี่ห้ารอบ
"แล้วอันนี้มันพิมพ์ครั้งที่เท่าไหร่ละคะ"
"น้องลองดูสิ มันพิมพ์ไว้ข้างในนั่นแหละ"
(เปิดดูหลายรอบแล้ว ไม่มี)(แอบคิดในใจคนขายคงไม่ได้ดู)(แอบคิดในใจต่อ บางทีชุดนี้อาจพิมพ์ครั้งแรก)(แอบคิดในใจอีกนิด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงนะ แหม...แล้วยังมาบอก ถ้าพิมพ์ครั้งแรกจะขายแพงกว่าปก มันหมายความว่าไงล่ะเนี่ย)
เจ้าของร้านหนังสือบอก : "ถ้าพิมพ์ครั้งแรกพี่ขายแพงกว่าราคาปกอีกนะ"
ท่านดินบอก : "เวอร์ชั่นพิมพ์ครั้งแรกด้วย ต่อไปต้องราคาประมูลแน่ๆ"
สงสัยจริง หนังสือพิมพ์ครั้งแรกนี่มันสำคัญยังไงหรือท่าน ทำไมบางคนถึงยอมทุ่มเงินซื้อในราคาสูง ทั้งที่สามารถหาซื้อเล่มอื่นได้ในราคาที่ถูกกว่า อรรถรสที่ได้จากการอ่านก็คงไม่ต่างกัน
ส่วนเรื่องที่จะส่งหนังสือมาให้เก็บรักษานั่นไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ(จะทำตัวเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ก็ได้) แต่ข้าเจ้าว่าอ่านจบแล้วอย่าเพิ่งส่งคืนมาเลยเจ้าค่ะ เอาไว้ให้ 'กาลครั้งหนึ่ง' อาวสานไปก่อนไม่ดีกว่าหรือ?(ด้วยความปรารถนาดี ^_^)
ฟังที่ท่านคุยแล้วให้นึกสงสารหนังสือท่านจับใจ อ่านเจอในหนังสือทวิภพนั่นแหละกล่าวถึงของใช้ที่มีความผูกพันกับเจ้าของ อย่างคนบางคนตาย นาฬิกาในบ้านของเขาก็จะหยุดเดินหมดทุกเรือน
หากหนังสือมันมีความรู้สึกมันคงไม่อยากผูกพันกับท่านเลยสักนิด แถมถ้าท่านเดินเข้าร้านหนังสือมันคงพากันร้องระงม
"อย่า! อย่าเข้ามานะ! บอกว่าอย่ามา อย่ามาใกล้ช้าน.. ออกไปให้พ้น ไปไกลๆ เลยไป ชิ้วๆ" ฮ่าๆๆๆๆ
เรื่องพักร้อนนิยายไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ประมาณปลายเดือนนี้พระมารดาจะขึ้นมา และราวๆ วันที่ 8-9-10 ช่วงนั้นพระเชษฐาจะหมั้นสาว ถ้ารวมเรื่องแม่กับพี่ชายก็คงไม่กระไรนัก แต่มีปัญหาส่วนตัวอีกนิดหน่อยก็เลยว่าจะพักเคลียร์ไปด้วย
เรื่องหักหลังฝัน หักหลังชีวิต ท่านไม่ถามข้าเจ้าก็ไม่ตอบนา..(ไม่รู้จะตอบว่าไงเหมือนกัน ^_^)(แต่ข้าเจ้าก็ทำทั้งสองอย่างนั่นแหละ แล้วแต่เวลาและโอกาส ถ้าตอนนี้ก็คงเรียกว่าอยู่ในช่วงหักหลังชีวิตอยู่ละมัง)
โห นั่งขลุกอยู่เกือบชั่วโมงแน่ะ!
สุขสันต์ทุกวันสุขเจ้าค่ะ
ฮัลโหลสวัสดิ์ทั่น
ตอบลบทั่นฮาตลาดเมืองนนท์แตกจริง ๆ พวกหนังสือมันคงขยาดข้าพเจ้าดังว่านั่นแหละ เก็บไว้ก็ซึมเศร้า ให้ห้องสมุดฯ ไปเล่าก็ตาละห้อย ตอนนี้ข้าวของที่รกขนำนั่งอมฝุ่นแก้มป่องก็มีแต่หนังสือนี่แลขะรับ พยายามตัดใจให้ห้องสมุดฯ ทั้งหมดแต่ยังไม่สำเร็จสักที (ข้าพเจ้าใช้วิธีทะยอยให้ ดูเหมือนจะได้ผล ความรู้สึกเสียดายไม่ค่อยรุนแรงเหมือนยกกระบิ)
'ทวิภพ'เป็นเวอร์ชั่นพิมพ์ครั้งแรกจริงนะทั่น ระบุไว้ที่หน้า ๒ 'พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๓๐'มี ISBN เรียบร้อย ชัวร์!(สงสัยอาถรรพ์บังตาประมาณกระจกบานนั้นแหม)(หรือข้าพเจ้าเข้าใจอะไรผิด??)
ขอบพระคุณสำหรับคำชี้แจงแถลงไข ข้าพเจ้าก็ปะสถานะการณ์ใกล้เคียงกัลล์ ธุระพระมารดาอีกร่วมสัปดาห์ ข้าพเจ้ายังไม่รู้จะมีปัญญาปั่นต้นฉบับส่งก้าวฯ ทันหรือเปล่า(ฉบับแรกก็เบี้ยวไปทีหนึ่งแล้ว)
หวังท่านจัดการธุระปะปังลุล่วงด้วยดี กลับมาปั่นนิยายจนจบนะทั่นนะ ขอพี่ชายท่านสมรสสมรัก(เขาอวยพรกันอย่างนี้เปล่า?)สำหรับปัญหาส่วนตัวอีกนิดหน่อยขอให้ลุล่วงด้วยดีเช่นกัลล์ ค่อย ๆ คุยกันนะทั่น ลิ้นกะฟันมักเป็นอย่างนี้แหละ อิ อิ อิ
วันนี้ขับรถพาพระมารดาเดินทางสิบสองชั่วโมงรวด สิ้นเรี่ยวหมดแรง โผล่เข้ามาขนำปะท่านแหมะความไว้ รู้สึกดีแฮะ..
เอนหลังพักผ่อนล่ะ
ราตรีสวัสดิ์ทั่น
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบเกือบสี่ทุ่มสวัสดิ์เจ้าค่ะ
ตอบลบฮาพอเป็นกษัยดีกว่ามั้ยทั่น ฮาตลาดเมืองนนท์แตกเดี๋ยวพอค้าแม่ขายไม่มีที่ขายของลำบากเขาอีก
หน้าสองที่บอกว่าพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๐ นั่นข้าเจ้าก็เห็นนา จำได้เคยบอกทั่นไปเมื่อตอนได้หนังสือมาใหม่ๆ พิมพ์สำนักพิมพ์ไหน ปีไหน เอ แล้วทำไมข้าเจ้าไม่เห็นหว่า? สงสัยจะโดนอาถรรพ์จริงดังทั่นว่า หรือตอนนั้นกะลังอยู่ในโหมดเบลอเสียก็ไม่รู้
ท่านยังไม่ไขปุจฉาเลย
"หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรกมันสำคัญยังไง ทำไมหลายคนถึงต้องการกันนัก?"
ขอบพระคุณสำหรับคำพรเจ้าค่ะ พี่ชายข้าเจ้าแค่หมั้นสาว ยังไม่แต่ง แต่คิดว่าคงแต่งในปีนี้แหละ ท่านคิดว่าข้าเจ้ามีปัญหากะแม่กะพี่ชายหรือ? ถึงได้แนะนำให้ค่อยๆ คุยกัน เปล่าเสียหน่อย ถึงมีก็ขี้ปะติ๋วนา มิได้ทำให้ความสมานฉันท์ของเราสั่นคลอนได้ ^^ (เอ แล้วจะให้ใครเป็นลิ้น ใครเป็นฟันดีล่ะ? ครึ ครึ ครึ)
ขับรถสิบสองชั่วโมง เดินทางไกลโขเลยนะทั่น
ขอโชคดีและสวัสดิภาพ จงมีแด่ท่านและพระมารดารวมถึงเพื่อนร่วมทางท่านอื่นๆ(ถ้าหากมี)ทุกเที่ยวการเดินทาง
คารวะ
ขออภัยเจ้าค่ะ ข้อความบนเขียนตกไปนิดหน่อย ขออนุญาตแก้ไข
อรุณสวัสดิ์วันทำงานขอรับท่านสาย
ตอบลบเช้านี้เป็นวันทำบุญญาติโกโหติกา คงต้องสาระวนจนค่ำคืน เพราะปีหนึ่งจึงจะเจอะกันครั้ง แว่บมาทักทายท่านเสียก่อน
กรณีหนังสือเก่าตีพิมพ์ครั้งแรก อืมมมมมมม์
ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นอีกเรื่องต่างหากจากความเป็นหนังสือตามนิยามทั่วไปนะขอรับ ดูอย่าง 'ดอกทานตะวันสีเหลือง' ของแวนโก๊ะ ตอนเจ้าตัวต้องการขายเพื่อเลี้ยงปากท้องหวังประคองจิตวิญญาณศิลปะให้ดำรงอยู่กลับไร้ราคาหาคนต้องการมิได้
นั่นคือราคางานศิลปะของเขาและคุณค่าในสายตาสังคม(ขณะนั้น)
ส่วนมูลค่าขณะนี้เป็นราคาของนักสะสม ไม่ใช่เรื่องของคุณค่าศิลปะ แต่เป็นราคาความต้องการของมนุษย์ล้วน
ราคาที่ไม่มีเพดาน ขยายติดตามความพอใจหาที่สุดมิได้ของมนุษย์ไป
มิพักเอ่ยถึงคุณค่าทางศิลปะ เพราะสิ่งนั้นแวนโก๊ะรับไปแล้วในทุกขณะจิตจมดิ่งอยู่กับงานตรงหน้า ราคาเป็นเรื่องของนักค้างานศิลป์
ทัศนะต่ำต้อยของข้าพเจ้าเห็นว่าตัวหนังสือเป็นสื่อเล่าสาร และเรื่องราวเหล่านั้นไม่มีราคาค่างวด เป็นความบันเทิง เป็นความรู้ เป็นสุนทรียะที่มนุษย์ส่งต่อถึงกัน มิต่างเด็ก ๆ ล้อมวงตอนหัวค่ำ เบิกตาโพลงนั่งฟังผู้เฒ่าเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ข้างกองไฟ ชักพาจินตาการเดินทางไปยังดินแดนแสนไกล
ราคาหนังสือจึงเป็นเรื่องของนักธุรกิจสิ่งพิมพ์ ส่วนราคาสองสามเท่าตัวของหนังสือมือเก่าตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นเรื่องของความพึงใจ และเก็งกำไรของนักสะสม คนละประเด็นกับคุณค่าเนื้อหาแลอรรถรสหนังสือ มิอาจนำมาปรับเปรียบเทียบวัด
หากจะตอบว่าหนังสือเก่าตีพิมพ์ครั้งแรกมีดีอย่างไร? เห็นทีต้องตอบเหวี่ยงแหไปว่า นักสะสมให้มูลค่าด้วยเหตุผลร้อยแปดที่ล้วนเป็นความพอใจหาได้เป็นเหตุเป็นผลเที่ยงแท้อันใด มองจากมุมนักอ่านอาจไม่เห็นความสำคัญ เยี่ยงเดียวกับมองจากมุมนักสะสมก็อาจมิได้ถือสาเฉพาะที่อรรถรส
หวังท่านผ่านมาปัดกวาดทัศนะต่ำต้อยอันเป็นชานหมากไร้ค่าซึ่งผู้น้อยทำหล่นเรี่ยราดไว้ลงกระโถนเสียโดยไม่ถือสาว่าเคี้ยวหมากไม่แหลกแล้วคายให้เสียของ
OO
เมื่อเช้าเร่งพิมพ์คุยกะท่านแต่เช้า แต่ก็ไม่ทันจบต้องออกไปวัดเสียก่อน กลับมาแทบสิ้นเรี่ยวแรง ข้าพเจ้าอยู่กอทอมอไม่ได้ อากาศที่นี่ไม่เหมาะกับโรคภูมิแพ้ของข้าพเจ้าเอาเสียเลย
วันพรุ่งยังมีกิจธุระอีกวัน วันจันทร์กลับบ้านนอกบ้านนา
เสร็จกิจพระมารดากลับไปคงได้นั่งเขียนหนังสืออย่างใจต้องการเสียที เดือนกุมภาฯหายไปเกือบทั้งเดือนเลยทั่น
ขอทั่นมีความสุขกับวันทำงานขอรับ
คารวะ
ป.ล. อาการเจ็บป่วยของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? กลับคืนปกติแล้วใช่ไหม?
แวะมาเยี่ยมสวัสดิ์ครับพี่ท่าน
ตอบลบเขียนอะไรไม่ได้เลยมาร่วมอาทิตย์ พยายามตะล่อมเรื่องสั้นอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่ไหว ไม่ไหว ไม่นิ่งพอ
พี่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? เสียใจด้วยเรื่องหลานชาย
เมื่อวันแห่งความรักที่แล้วได้รับข่าวร้ายจากทางบ้านเหมือนกัน เพื่อนวัยเดียวฝั่งตรงข้ามประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต วันนั้นนั่งอึ้งทั้งวัน ใจหายและสงสารอย่างบอกไม่ถูก เคยวิ่งเล่นมาด้วยกัน อีกอย่าง เขาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน
แวะมาบ่นกับพี่ท่านอีกตามเคย ผมคงเว้นเขียนกลอนสักพัก รู้สึกเหมือนไม่มีเรื่องจะเขียน ฝืนเขียนไปก็คงไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ ในหัวไม่มีประเด็นใหม่เสียแล้วตอนนี้ ส่วนเรื่องสั้น มีหลายอย่างที่ยังติดขัด แต่ก็ถือว่ายังพอเขียนได้ อย่างน้อยก็ยังพอมีแรงกระตุ้นให้จับดินสอบ้าง
ด้วยความเคารพ
คั่นฯ
ร้อนตับไหลสวัสดิ์เจ้าค่ะ
ตอบลบเข้าหน้าร้อนก็ร้อนเร็วแท้ กุมภาฯร้อนปานฉะนี้ แล้วเมษาฯจะสักปานฉะไหน คิดแล้วละเหี่ยใจ ไม่คิดดีกว่า
'นักอ่าน' กับ 'นักสะสม'? --นั่นนะสิเนอะ สองคำนี้เขียนต่างกันไม่พักพูดถึงความหมาย ความต้องการของนักอ่านคือการได้ดื่มด่ำไปในอรรถรสของถ้อยคำอักษร หาได้ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก(ใช่ไหม?)(แต่ข้าเจ้าคงยังไม่เป็นนักอ่านเต็มตัวเพราะยังสนใจเรื่องรูปลักษณ์อยู่ ไม่มากก็น้อยแหละ) ส่วนนักสะสมก็คงอีกเรื่องหนึ่ง
ที่ถามท่านไปก็เพราะข้าเจ้าหาได้แยกกลุ่ม 'นักอ่าน'กับ'นักสะสม'ออกจากกัน เพราะคิดว่าคนที่ซื้อหนังสือคงต้องการเสพรสจากหนังสือนั้น เลยสงสัยว่าจะจ่ายแพงกว่าทำไมในเมื่อมีที่ถูกกว่าให้เลือกซื้อหา หาได้เฉลียวใจคิดว่าจริงแท้แล้วพวกนี้นอกจากจะเป็นนักอ่านแล้วยังสวมวิญญาณนักสะสมด้วยอีกต่างหาก เข้าใจแระ
(ข้าเจ้าหาได้ถือสาน้ำหมากที่หกกะเรี่ยกะราดอยู่ดอก อย่างน้อยท่านเคี้ยวหมากให้เห็นก็พอได้เรียนรู้วิธีการ/เทคนิค/ข้อปฏิบัติจากท่านได้บ้าง ถ้าให้ข้าเจ้าเรียนรู้วิธีการเคี้ยวหมากด้วยตัวเองมีหวังคงได้ยันหมากจนตาลาย ดีไม่มีจะพาลเป็นลมล้มหน้าคว่ำเอา)
OO
คุยกะทั่นตอนทั่นอยู่ขนำน้อยปลายนา(แน่นอน ระยะทางทางภูมิศาสตร์เราห่างกันเป็นพันกิโล)รู้สึกคุ้นชินจนไม่มีความรู้สึกใดให้ตะขิดตะขวง
แต่คุยกะทั่นเมื่อทั่นมาอยู่กอทอ(ระยะทางคงห่างกันไม่ถึงร้อยกิโล)กลับรู้สึกไกล๊ไกลราวกับคนรู้จักที่เห็นหน้ากันทุกวันออกเดินทางเที่ยวต่างจังหวัดยังไงยังงั้น(ทางฟิสิกส์เคมีเขาเรียกว่าอะไรนะ'ปฏิกิริยาแปรผกผัน'หรือเปล่า?)
เสร็จกิจพระมารดาได้กลับมานั่งเขียนหนังสือเมื่อไหร่ อย่าลืม 'เรื่องเล่างานบุญประจำปีท่านหนก' นะทั่นนะ
"เรื่องราวที่เกิดทางโน้น โปรดเล่าถึงคนทางนี้ ยังอยากได้ยินทุกถ้อยความ โอ้..เย..เย้..เย...."
เมื่อวันศุกร์ออกไปทำธุระ ผ่านร้านหนังสือใหญ่ร้านหนึ่ง ตั้งใจจะเข้าไปดูหนังสือออกใหม่เจอะเล่มไหนถูกใจ จดชื่อไว้ค่อยหาเวลาไปหาซื้อที่สวนฯ เจอหนังสือเล่มหนึ่งทั้งรูปเล่มและปกน่ารักน่าเอ็นดูเชียว ดูราคา --200 บาท --สูงไป(โดยปกติข้าเจ้าไม่เคยซื้อหนังสือตามร้านหนังสือทั่วไปราคาเกิน 150บาท/เล่ม)
อีกใจหนึ่งเถียงขึ้น "เล่มนี้เราอยากซื้อมานานแล้วนะ หาที่สวนก็ไม่เคยเจอไม่ใช่หรือ?"
แล้วหลังจากนั้น'เทพธิดา'กับ'นางพญามาร'ก็ทุ่มเถียงกันอีกยกใหญ่ ข้าเจ้าไม่รู้จะให้ฝ่ายไหนเป็นเทพธิดา ฝ่ายไหนเป็นนางพญามารดี แต่สุดท้ายก็ยุติลงด้วยข้อตกลงที่ว่า "อ่านไปสักนิด แล้วค่อยตัดสินใจ"
หลังจากนั้นข้าเจ้าไม่รู้ตัวอะไรอีกเลย มารู้ตัวอีกทีเมื่อเสียงทุ้มนุ่มดังแว่วมาจากริมฝีปากเยื้อนยิ้ม
"สองร้อยบาทครับ"
"--คะ? อ๋อ ค่ะ ---สักครู่นะคะ" แล้วก็รีบค้นกระเป๋าหาสตางค์จ่ายให้เขาในทันใด ข้าเจ้าสงสัยจริง ตอนเดินมาที่เคาน์เตอร์ นางพญามารหรือแม่เทพธิดามันไปมุดหัวอยู่เสียที่ไหน หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะโดนอีกฝ่ายปราบเสียสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว?
วันนั้นนอกจากข้าเจ้าจะได้ 'บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร' ของท่านหนกมานอนกอดแล้ว ยังได้มาตรฐานราคาหนังสือที่ซื้อในราคาปกติเพิ่มขึ้นอีก 50 บาท ^_^
(เชื่อได้เลยว่า ต่อไปหากเจอหนังสือเล่มไหนโดนใจ ที่ราคาไม่เกินสองร้อย นางพญามารกับแม่เทพธิดาจะไม่เสร่อออกมาให้เห็นอีก)
ข้าเจ้าเชื่อว่าโรคภูมิแพ้ของทั่นต้องผ่านไปได้ด้วยดี ก็ขนาดอยู่กับ'นางฟ้าแปลกหน้า' ทั่นยังรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ แล้วนี่อยู่กับ 'พระอรหันต์คุ้นใจ' ท่านจะซี้แหงแก๋ก็ให้มันรู้ไปสิ
ขอทั่นสุขสันต์อยู่ท่ามกลางวงศาคณาญาติเจ้าค่ะ
คารวะ
ปล.ข้าเจ้าหาได้เจ็บป่วยกายอันใดดอกเจ้าค่ะ จำได้ครั้งสุดท้ายที่ไม่สบายเห็นจะเป็นเจ็บคอเมื่อครั้งกระโน้น(ที่ทั่นเคยแนะนำให้เตรียมตัวตั้งแค้มป์ไงจำได้เป่า?)
ส่วนที่บอกเปื่อยนั่น หมายถึงอาการ'สมองเปื่อย'เจ้าค่ะ หงุดหงิด งุนงง งุ่นง่าน นั่งเอาหัวโขกโต๊ะก็แล้ว นอนแถกไปแถกมาก็แล้ว ไม่ช่วยอะไรเลย สุดท้ายต้องออกไปนั่งมองลมพัดใบไม้โบกที่ระเบียง(โชคดีที่มันยังเหลือใบให้มองต้นละใบสองใบ แต่รับรองคงไม่พ้นหน้าร้านปีนี้ ได้โกร๋นหมดต้น) เสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ สามวันเต็ม
เข้าวันที่สี่ตั้งใจจะเขียนให้เต็มคราบ ลุกขึ้นล้างหน้าสีฟันตั้งแต่ไก่โห่ แปดโมงนิดๆ(ไก่บ้านทั่นโห่กี่โมงไม่รู้แหละ แต่ไก่บ้านข้าเจ้าเริ่มโห่ตอนแปดโมงกว่า ฮา) ไม่ทันได้ลงนั่งประจำการ โทรศัพท์ที่ชาตินึงถึงจะดังสักครั้ง เสือกดังขึ้นมา(ขออนุญาตใช้คำ'เสือก') เพื่อนไม่สบาย ลาหยุดงาน ไม่มีใครอยู่ด้วยเลยโทรมาตามให้ไปอยู่เป็นเพื่อน รีบกระวีกระวาดกวาดของลงถุงผ้า
ไปถึงห้องเพื่อนเหลือบไปเห็นคอมพ์ นึกขึ้นได้ ลืมเอาทรัมไดร์ไป ตบหัวตัวเองทีนึงแล้วกระโดดขึ้นเตียงไปนอนข้างเพื่อน สลบไสลไปด้วยกัน วันนั้นเลยแยกไม่ออกใครเป็นคนไข้และใครเป็นคนเฝ้าไข้
กลับมาห้องเมื่อตอนย่ำค่ำ นั่งลงเขียนไปได้สองหน้ากระดาษ เหลือไว้เขียนวันศุกร์อีกแปดหน้า อย่างที่แจ้งให้ทั่นทราบไปแล้วนั่นแหละ
สรุปก็คือ ร่างกายข้าเจ้ายังสดใสซู่ซ่าเหมือนเดิมเจ้าค่ะ อย่าได้เป็นห่วงไปเลย(จะมีก็แต่อาการสมองนั่นแหละที่มันจะขาดๆ เกินๆ เป็นพักๆ ^^)
สวัสดีค่ะทั่นคั่นฯ
ตอบลบดีใจที่ได้เจอ
เสียใจเรื่องเพื่อนรักด้วยนะเจ้าคะ
หัวค่ำสวัสดิ์ครับท่านพี่ดิน
ตอบลบบุญแท้ๆที่ผมเข้ามาอ่าน"ทางกลอน"ทางนี้ของท่านพี่
กะลาที่ครอบผมอยู่เปิดแล้วในบัดดล!! ควั่บ!!!
อยากจะก๊อบปี้ข้อความของพี่คั่นมาแปะไว้เสียเหลือเกิน
เรื่องเขียนกลอนไม่ออก แต่ก็ละอายใจ
เพราะข้าน้อยหายไปนานกว่านั้น!!!
วันนี้เข้าไปที่บ้านหนอนอ่านกลอนท่านวายุภักษ์
หัวข้อ"สวนขวัญ"แล้วเกิดอาการคันไม้คันมือ
ลองเขียนกลอนปะกะท่านซักกะหน่อย
เริ่มแต่เช้าตู่นู่นสำเร็จสิ้นเอาเกือบเพล
มีความท่อนนึงว่า
นกน้อยน้อยคล้อยบินจากถิ่นที่
สมประดีลงธารสำราญโฉม
ตีปีกไซ้ซุกน้ำกันครามโครม
ให้สุขโสมนัสปริ่มริมวารี
โพสต์เสร็จแล้วกลับมาอ่านอีกที นึกขำตัวเองครับ
นกน้อยเล่นน้ำกันครามโครมเขียนไปด๊ายยย
(ช่วงนั่นหน้ามึด ควานหาอักษรใดมาสัมผัสไม่ได้แล้วจริงๆครับ)
ช่วงนี้ผมสนุกกับการอ่านเหลือประมาณ
ทั้งงานร้อยแก้วและร้อยกรอง จนงานเขียนลืมไปได้เลย หะ หะ หะ
สำหรับผมคงต้องใช้เวลาสักระยะครับ
ระลึกถึงท่านพี่และสหายทุกท่านเสมอ
ด้วยจิตคารวะ
หง่ะ...ไหงเป็นชื่อจริงซะได้...ไอ้นะมัดเองนะครับ
ตอบลบหุบเขาฝนโปรยไพร
ตอบลบผมอ่านแล้วอ่านอีก
200 คุ่ม..คุ้ม นะท่านสาย
ฟันธง เอ้ย คอนเฟิม(ขอสะกดตรงตัว)
เที่ยงวันสวัสดิ์ขอรับท่านสายท่านคั่น
ตอบลบยอมรับกับสองท่านโดยดุษฎี ข้าพเจ้าอาศัยกลอนของสองท่านเป็นแรงส่งให้ลายระนาดกลอนตัวเองประเลงไป ทางหนึ่งเพื่อได้โต้ตอบกับสหายอีกทางสนองความตั้งใจให้บทกลอนของตนดำเนินไป หวังเมื่อเวลาผ่านได้หันมองรอยเท้าที่ย่ำมา
หากธารกลอนสองท่านหยุดรี่ไหลเห็นทีสายธารีน้อยไม่อาจไหลรี่
ซึ่งก็ให้ละอายใจอยู่ครามครันที่กระทำตัวเป็นเห็บเกาะหลังเหล่าท่านเยี่ยงนี้ (แต่ก็นับเป็นความสุขใจของเห็บน้อยนะทั่น) ดูเหมือนคอยแต่กินแรงเหล่าท่านไม่ยอมคิดเปิดประเด็นอาศัยให้เหล่าท่านชงลูกแล้วตัวเองโดดงับ(ลูกเดียว)
ฟังคำทั่นคั่น 'รู้สึกเหมือนไม่มีเรื่องจะเขียน ฝืนเขียนไปก็คงไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ ในหัวไม่มีประเด็นใหม่' แล้วใคร่ชวนคุย
ขอท่านยกข้าพเจ้าวางไว้เสียในที่คนปากตำแยนั่งตะบันหมาก อย่าได้ถือสาหาสากถ้อยความอันหาสาระมิได้นี้เลย
ข้าพเจ้าพบมือดีมานักต่อนักที่ไม่มีงาน
ด้วยเหตุผลร้อยแปด แลเหตุหลักที่มักสวมบทตัวเอกก็คือ 'ไม่มีอารมณ์' ฟังคล้ายเลื่อมใสว่าตนกระทำการณ์ด้วยจิตวิญญาณแห่งศิลปินซึ่งต้องอาศัยสุนทรียารมณ์เป็นที่ตั้ง
ไม่ขอก้าวล่วงข้องเกี่ยววิพากษ์หลักคิดผู้คนกลุ่มนี้ ดวงจิตนั้นยังคงชื่นชมชิ้นงานเหล่าเขา เห็นที่ไรยังคงเสพศิลป์ด้วยพิลาสพิศมัย
ยังมีอีกกลุ่ม เป็นกลุ่มคนที่ข้าพเจ้าเคารพศรัทธา พวกท่านก้าวล่วงข้อจำกัดกาลเวลารมณ์ ละลายชีวิตท่านลงในเนื้องานต่อเนื่อง
แน่ล่ะหลายชิ้นงานข้าพเจ้าหาได้ชื่นชมด้วยเพราะยามเสพรู้สึกยังด้อยวรรณรสอันคาดหวังจากท่านผู้ผ่านอักษร แต่นั่นมิใช่ประเด็น ประเด็นคือท่านกระทำอย่างต่อเนื่อง ดีบ้างไม่ดีบ้างคละเคล้าปะปน อีกทั้งบางชิ้นงานที่บางใจเห็นไปว่าไม่ดีก็ใช่ว่าใจดวงอื่น ๆ จะเห็นไปทางเดียวกัน
ขอท่านลองหยุดคิด อาจารย์เนาว์ฯเขียน 'ข้างคลองคันนายาว' ทุกสุดสัปดาห์อย่างหนุนเนื่องข้ามเดือนปี
มีบ้างหรือไม่ที่ท่านรู้สึกว่าไม่มีเรื่องเขียน? ฝืนเขียนไปก็ไม่พ้นเรื่องเดิม? ไม่มีประเด็นใหม่?
เรื่องนี้เราคงไม่ได้คำตอบ(นอกจากสอบถามท่าน) แต่ที่เห็นก็คือ 'ข้างคลองคันนายาว' เป็นสายลำกลอนหลากไหลผ่านห้วงเวลา ผ่านสถานการณ์บ้านเมืองผันแปรยาวนาน แลนั่นจะเป็นบันทึกแผ่นดินอีกบทของท่าน
ขอทั่นลองทบทวนนะทั่นคั่นที่เคารพ
ท่านสายขะรับ(เรียนท่านแล้วโปรดอย่าขำ)
วันไปงานทำบุญท่านหนกนั้นข้าพเจ้าขอโทษขอโพยพี่เจนพี่จิ๋มด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับอย่างน่าเบิร์ดกะโหลก
ไปผิดวันน่ะทั่น!
ข้าพเจ้าจำเอาจากที่ท่านเพลงแจ้งมาในเมล์ว่าขบวนรถตู้บรรทุกนักข่าวแลผู้สนใจร่ามงานบุญออกจากนาครค่ำวันศุกร์ถึงเช้าวันเสาร์และทำบุญวันอาทิตย์ (ท่านเพลงอาจแจ้งถูกวันแต่ข้าพเจ้าทะลึ่งจำผิดเอง)
ก็หมายใจไว้ว่าจะบึ่งเจ้าหอยทากข้ามพื้นที่น้ำท่วมถึงแดนนกน้ำทะเลน้อยไปควนขนุนเช้าวันเสาร์ ช่วยพี่เขาจัดเตรียมงานและร่วมทำบุญเลี้ยงพระวันอาทิตย์ เย็นวันอาทิตย์กลับ
ครั้นเช้าวันศุกร์หลานชายที่เคยวิ่งเล่นกันมาแต่เล็กเสียชีวิต (อารมณ์ความรู้สึกนั้นเราคงไม่ต่างกันขอรับท่านคั่น ขอแสดงความเสียใจร่วมกับท่านสายอีกคน)
มีงานให้ช่วยกันคนละไม้ละมืออยู่มากมาย ข้าพเจ้าต้องเลือกว่าจะอยู่ช่วยทางญาติหรือละไปร่วมงานทางควนขนุนตามวันเวลาที่คิดไว้
ถึงเช้าวันเสาร์เลือกไปงานท่านหนก เพราะทางนี้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลหนึ่งสัปดาห์ ไหว้ศพขออนุญาตละไปสักสองวันแล้วจะกลับมาช่วยงาน ฝากภาระรับส่งพระมารดาไว้กับญาติผู้น้อง(ด้วยความเกรงใจ)เสร็จข้าพเจ้าควบเจ้าหอยทากไปควนขนุนด้วยเสบียงโค๊กสองป๋องกับแผ่นตกร่องของน้าแอ๊ด
ถึงวัดพิกุลทองเห็นเงียบเชียบก็ถามทางเสาะหาจนถึงบ้านพี่จิ๋ม จึงได้รู้ว่าค่ำนี้(วันเสาร์)พวกจากกรุงเทพฯ จึงจะมาถึง วันอาทิตย์เตรียมที่ทาง ทำบุญวันจันทร์
นาทีนั้นจึงตระหนัก..แม่จ้าวววว ตูข้ามาผิดวัน!
จึงจำรักษากำหนดการณ์เดิมด้วยภาระที่ฝากรับส่งพระมารดาไว้กับญาตินั้นก่อความกังวลใจ อาศัยนอนอยู่ข้างรูปท่านหนกในบ้านพี่จิ๋มหนึ่งคืน บ่ายวันอาทิตย์เสียมรรยาทลากลับ(พี่จิ๋มพี่เจนยิ้มรับด้วยความเข้าใจ เป็นท่านสายอาจคิดในใจ มันจะมาทำกร๊วกอะไร ไม่ทันเข้างานก็ลากลับ)
ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ใช้คืนวันอยู่ใต้ชายคาบ้านสงสมพันธุ์ให้ความรู้สึกดีหลายต่อหลายอย่าง พี่เจนนั่งพูดคุยไขข้อข้องใจข้าพเจ้าหลายต่อหลายข้อทั่งยังขยายไปไกลกว่าที่คาดหมาย (หากท่านคิดอารมณ์ไม่ออกลองคิดถึงอารมณ์คนอ่านบ้านนอกที่มาเจอตัวเจ้าของสำนักพิมพ์หนังสือที่ตนรัก)(ข้าพเจ้ารอไรท์เตอร์ทุกเล่มเยี่ยงจอมยุทธ์ไร้รากนั่งรอโฉมงามอันดับหนึ่งบู๊ลิ้มอยู่ริมลำธาร) แววตาจริงใจน้ำเสียงห่วงใยของพี่จิ๋มยังห่อล้อมให้ความอบอุ่นอยากกลับไปอยู่เสมอ ภูมิรู้หลวงพ่อ(บิดาท่านหนก)ราวบ่อน้ำโบราณที่ไม่เคยเหือดแห้ง รอยยิ้มวาจามิตรไมตรีมารดาท่านหนกรู้สึกได้ว่าท่านเห็นเราเป็นลูกหลาน
บอกเล่าไปยิ่งห่างไกลความรู้สึกแท้จริง มีแต่อยู่ร่วมจึงจะแจ้งใจกระจ่าง ปีหน้าเวลาเดียวกันลองรับนัดสหายน้อยของท่านสักหน่อยเป็นไร
ทราบว่าร่างกายท่านยังสดใสซู่ซ่าก็คลายใจ เห็นตัวอักษรท่านเรียงร่อนราวเริงเปลวแดดเดือนกุมภาฯฉะนี้ก็ให้ยินดี
แข็งแรงทั้งสุขภาพกายสุขภาพใจแลสุขภาพอักษรขอรับท่านสายทั่นคั่น
คารวะ
เมื่อเที่ยงไม่ยักเห็นท่านนะมัด (Feed Comment Blogger มีปัญหาล่าช้าแก้ไม่ได้สักที) ต้องประทานโทษด้วยขอรับ
ตอบลบอา..
อาการคันไม้คันมือนั่นแลขะรับที่ข้าพเจ้าเฝ้ารอคอย โดยเฉพาะอาการอันเกิดจากเหล่าสหาย หากเป็นบุคคลอื่น เกรงเขียนผิดเขี่ยพลาด เกิดเขาเห็นไปในทางไม่โสภา มองไปว่าเจ้านี้สอดแส่แก่อัตตาตื่นตูมขึ้นมาล่ะยุ่ง
กับเหล่าสหายมิต้องกังวลใจ จึงวางลูกตีไล่ไม้ระนาดโดยสำเริงสำราญบานหทัย ต่อให้เพลงเถาสิบชั้นที่ประจงใจ ไขเสียงออกมาเป็นเพลงต๊ะทิงนองนอย ก็ยังคงซอยไม้ตี มิมีเสียล่ะที่จะอายม้วนหน้าหนี
ปะกลอนเหล่าท่านทีไรจึงคันไม้คันมือมิสร่างซา ผิดแต่ว่ากว่าเหล่าทั่นจะโผล่ตะละที ข้าพเจ้าหลับไปเป็นปี(เทียวล่ะ)อย่าได้รอรีเลย เรามาเป็นหมามุ่ยของกันและกัลล์เถิดขะรับ
คารวะ
ทั่นดิลล์
ตอบลบผมไม่มีสมาธิอ่านเรื่องที่ทั่นฯ เขียน แม้แต่น้อย รวมถึงเหล่าบรรดามิตรสหายว่ายเวียนมาเยียนเรือน ... ก็
ก็เพลงเปิดบล๊อกของพี่ทั่นฯ น่ารักน่ากัดเสียจริง เพลินโคตรทั่นพี่ฯ (ฮา)
: )
สวัสดีท่านดินที่เคารพ
ตอบลบท่านบอกวันนี้เดินทางกลับ มิได้เดินทางตอนกลางวันหรอกหรือ?
แล้วดู มาบอกตัวเองเป็นเห็บตามเกาะหลังสหาย นี่จะบอกอะไรให้นะ ข้าเจ้าหาใช่ 'กระต่าย' ที่จะมีเห็บมาเกาะอยู่บนหลังนา ^^
พูดถึงเรื่องกลอนอย่างที่ทั่นคั่นฯ กล่าว ข้าเจ้าก็มีแต่ประเด็นซ้ำๆ ซากๆ ถ้าไม่พ้นเรื่องรักๆ ก็เรื่องธรรมชาติ ดาว เดือน ใบไม้ ลมพัด ไปตามเรื่องตามราว(ตอนนี้ยังมิอาจหาญเขียนประเด็นอื่น อย่างงานทั่นคั่นฯ) เขียนออกมาแล้ว จะเอาไปลงในสำนักก็ให้กระดากอาย กลัวแต่ผู้อ่านจะคิดไปว่า "ยัยนี่สมองมันมีอยู่แค่นี้หรือ เขียนอยู่แต่เรื่องเดิมซ้ำๆ ซากๆ"
(ไม่มีอะไรนะทั่น แค่ระบายความใน ผสานไปกับน้ำเสียงทอดอาลัยของทั่นคั่นฯ เท่านั้น)
///
ฟังเรื่องงานบุญท่านหนก ข้าเจ้าไม่ขำเลยสักนิดเจ้าค่ะ เพียงแค่นั่งหัวเราะเฉยๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ (อันนี้ขอเยาะเย้ยกันซึ่งๆ หน้า)
"ปีหน้าเวลาเดียวกันลองรับนัดสหายน้อยของท่านสักหน่อยเป็นไร"
ถ้าเข้าใจไม่ผิดประโยคนี้เป็นคำชวนใช่ไหมทั่น? จะเข้าใจถูกหรือผิดข้าเจ้าก็จะติ๊ต่างเข้าข้างตัวว่ามันเป็นคำชวนละนะ
ขอบอกว่าเป็นคำชวนที่น่าสนใจและน่าปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง แต่หากจะตอบรับในทันทีก็เหมือนจะเป็นความอาจหาญที่แสนโง่เขลา เพราะดันทะลึ่งไปรับปากไว้บนความไม่แน่นอน(ก็ใครจะไปรู้ว่าปีหน้าเวลาตามที่ท่านแจ้ง ข้าเจ้าจะมิติดภารกิจอื่นให้วุ่นวายใจ)
เอาเป็นว่าหากถึงงานบุญประจำปีท่านหนกปีหน้าฟ้าใหม่ และทั่นยังไม่ลืมว่าได้ชวนสหายคนหนึ่งไว้ เมื่อใกล้ถึงกำหนดเดินทางโปรดแจ้งข้าเจ้าอีกครั้งนะทั่นนะ ถึงตอนนั้นข้าเจ้าคงรู้ว่าจะรับนัดได้หรือไม่
ไม่รู้ว่าทั่นเดินทางกลับตอนไหน อาจเดินทางกลับแล้ว ยังไม่เดินทาง หรือกำลังออกเดินทาง ยังไงก็ขอให้โชคดีมีชัยเจ้าค่ะ
------
ถึงทั่นคั่นฯ (หากแวะมา)
"หุบเขาฝนโปรยไพร" อ่านจบแล้วเจ้าค่ะ(เมื่อตอนกลางวันนี่เอง) รู้ว่าคุ้มกับสองร้อยบาทตั้งแต่ที่เปิดอ่านหน้าแรกและโดนมนต์สะกดให้เดินไปจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์โดยไม่รู้ตัวแล้วนั่นแหละ
อยากหาเรื่องมาคุยสนุกๆ นะเจ้าค่ะ
พอได้รับการ'คอนเฟิม'จากทั่นเยี่ยงนี้ยิ่งดีใจว่ามีคนใจตรงกัน
------
ถึงทั่นนะมัด(หากแวะผ่านมา)(รู้สึกเหมือนบ้านตัวเองเลยวุ้ย!)
กลอนบทนั้นข้าเจ้าก็นั่งขำเจ้าค่ะ นึกเห็นภาพได้แจ่มกระจ่างเลย ว่าเหล่าวิหคมันคงสรงสนานกันเริงร่าหรรษามากมายจริงๆ ถึงขนาดมีเสียงดัง'ครามโครม'ราวช้างทั้งโขลงมาลงเล่นวารี ยังแอบคิดในใจ "ท่านนี่เข้าใจคิด" ข้าเจ้าชอบกลอนชิ้นนี้ของทั่น
หฤหรรย์หรรษากับงานเขียนเจ้าค่ะทั่นสหาย
แฮ่ๆๆๆ กลับมาอีกครั้งเจ้าค่ะ ตะกี้ ลืม!(นิสัยสมองปลาทองแก้ไม่เคยหาย)
ตอบลบเหมือนเดิมเจ้าค่ะ เจอกันดึกวันศุกร์หรือไม่ก็สายวันเสาร์(ถึงไม่เขียนหนังสือ ก็มีงานอื่นให้สะสาง) หายไปหลายวันเกรงท่านจะเป็นห่วง เลยแวะมาบอกให้คลายกังวล
อ้อ เห็นท่านเอ่ยถึงทั่นเพลงด้านบน จะถามอยู่หลายครั้งแล้ว ไม่เห็นทั่นเพลงมานาน ไม่ทราบทั่นหายไปไหนหรือเจ้าค่ะ แวะเข้าไปดูที่บ้านทั่นก็ไม่เห็น
ด้วยมิตรฯ
สายสวัสดิ์ขอรับท่านสาย
ตอบลบวิธีดูแลภูมิแพ้ข้อหนึ่งคือพักผ่อนให้เพียงพอ หลายวันมานี้ข้าพเจ้าฝืนร่างกายเลยเสร็จมัน นอนซมด้วยพิษไข้ รออาการฟื้นค่อยกลับ
ท่านเพลงงานการรัดตัวต้องเดินทางล่องใต้ขึ้นอีสาน เลยห่างหายจากหน้าบล็อก
แล้วเจอกัลล์ค่ำวันศุกร์เช้าวันเสาร์ขอรับ
ด้วยเพชราฯ
ค่ำวันศุกร์เช้าวันเสาร์จะตามไปอ่านครับ : )
ตอบลบด้วยพิศมัยฯ
สวัสดีเจ้าค่ะท่านดิน
ตอบลบบอกว่าเจอกันวันศุกร์ผ่านไปแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงดันโผล่หัวมาให้เห็นเสียแล้ว เอางานมาลงในสำนักเลยแวะมาขอบคุณสำหรับประโยค
"ค่อย ๆ คุยกันนะทั่น ลิ้นกะฟันมักเป็นอย่างนี้แหละ"
แรงบันดาลใจเลยนะเนี่ย ไม่มีประโยคนี้ ข้าเจ้าก็คงไม่ได้งานชิ้นนี้มา เขียนเสร็จก็ให้นั่งขำ
เอาล่ะ แล้วเจอกันปลายสัปดาห์(คราวนี้ปลายสัปดาห์จริงๆ แล้ว) วันนี้เสียเวลาไปแล้วทั้งวัน หาได้เสียเวลาไปเพราะงานกลอนหรอกเจ้าค่ะ ข้าเจ้าจมจ่อมไปในศิวาราตรี ตอนนี้พักไว้ที่เล่มสี่ กว่าจะอ่านจบแทบขาดใจ ตอนได้หุบเขาฝนโปรยไพรของท่านหนกมาก็โดนลัดคิวไปทีนึงแล้ว
ขอสุขภาพท่านกลับมาแข็งแรงในเร็ววัน
---
สวัสดีดึกวันอังคารเจ้าค่ะท่านนะมัด