summor พายุฝนผ่านพ้นไปแล้วหลังซัดกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตาร่วมสองเดือน ตกเช้าตกค่ำจนมิรู้เวลา ฟุ้งฟ้าทะมึนเมฆไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน  ทิ้งร่องรอยอำลาเอ่อคุ้งคลองขอบคูท่วมถนนลูกรังเลียบคันนาและซากขนำซำหม้อที่เห็นแต่หลังคานาบคันดิน
   
ยามนั้นพายุอึงอล ฟ้าครึ้มเมฆคลุม  โพธิ์ทะเลเฒ่าเอนใบลู่แทบล้มถอนรากตามแรงลม ใบตาลฟาดลำอยู่ปึงปังในคร่ำกระหน่ำฝน  ขนำน้อยโยกไหวราวคนสิ้นแรงเจียนล้ม  หัวใจคนบนขนำสิสั่นไกวไหวโยกเสียกว่า ไม่รู้จะนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่เยี่ยงนี้ดีหรือหลบออกไปดี พลาดท่าพลาดทีเกิดขนำล้มจะทำอย่างไร  ไม่ก็อย่างที่ซำหม้อเคยเห็นกับตา  พายุหมุนลูกย่อมหอบขนำบ่อข้างๆ ลอยขึ้น แล้วตกลงกระแทกพื้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่อยากคิดภาพว่าตัวอยู่ภายใน

พายุมักมาตอนดึก หลายคืนซำหม้ออดหลับอดนอน ลืมตาใจเต้นตึงอยู่ในมุ้งด้วยแรงลมโยก จะละขนำไปเล่าก็สุดรักยากหักใจเพราะตอกรัดมัดขัดมากับมือ แต่พายุปีนี้รุนแรงนัก รุนแรงจนไม่แน่ว่าเสาไม้ฟากจากจะทานไหว  ซำหม้อตัดใจย้ายข้าวของเครื่องใช้ อาศัยขนำร้างบ่อข้างสักชั่วคราวรอพายุผ่านพ้น

เพียงสองสามวันหลังซำหม้อย้ายออก ตื่นเช้าก็ให้หัวใจระรัว  ภาพหลังคาขนำจากกองราบกับพื้นราวนักรบยอมพ่ายหลังต่อสู้แรงลมโหมซัดมาหลายฝน  ซำหม้อหันกลับไม่อาจข่มตามอง  ภาพหนหลังเรื่องราวครั้งเก่ามากมายฝังอยู่ในกองจากนั่น  ใจพลันประหวัดถึงเหล่าสหายนกเพื่อนบ้าน 'เรายังระกำลำบากเพียงนี้ พวกนกที่อาศัยคาคบไม้ปลายตาลเล่าจะอยู่กันเยี่ยงไร'

พายุทิ้งสายลมยะเยือกไว้ต่างคำอำลา  ฝนปีนี้มาติดต่อสองเดือนจนน้ำท่วมทุ่งท่วมทาง บ่อกุ้งในที่ต่ำต้องกั้นอวนกันกุ้งออก กระนั้นด้วยความที่น้ำมาก ทั้งเป็นน้ำจืดไม่เหมาะแก่กุ้งน้ำกร่อยซึ่งต้องการความเค็มใช้ลอกคราบ พากันทยอยตาย  เสียงเครื่องสูบน้ำจับกุ้งดังลั่นแข่งเสียงฝน  ที่กุ้งยังเล็กพากันขาดทุนย่อยยับ  ที่กุ้งใหญ่หน่อยค่อยเบาใจ กลับถูกโรงงานกดราคาแทบไม่เหลือกำรี้กำไร  ยังไม่ซาเสียงฝนยินแต่เสียงโอดครวญของคนเลี้ยงกุ้งรายย่อยทั่วโคกบัวบก  ซำหม้อนั่งมองบ่อหลวงแคว้ต เจ้าของทิ้งร้างไร้คนดูแล กลัวก็แต่จะขายที่ใช้หนี้อีกราย พวกบ่อเคยเลี้ยงกุ้งอยู่ข้างพากันทยอยขายที่จนยามนี้มีแต่ขนำซำหม้อท่ามบ่อร้างขนำว่าง

พายุพ้นฝนผ่าน ฟ้าสูงเมฆใส แดดแรกทอทอดลำ ซำหม้อยืนมองกองจากที่เคยเป็นขนำคุ้มกาย..ได้เวลาสร้างขนำใหม่

"เอ็งมีทุนสักเท่าไรวะซำหม้อ?" ลุงเพิ่มหุบหนังสือพิมพ์

"ทุนเทินอะไรกันลุง ฉันไม่ได้เลี้ยงกุ้งมาร่วมปีแล้ว จะเอากะตังค์จากไหน" ซำหม้อกวาดลิ้นลิ้มรสกาแฟฝีมือชะลอเข้มข้นไม่เคยตก

"อ้าว.." นั่นเป็นเสียงลุงสุข

"ไม่อ้าว..ไม่เอิ้วล่ะ..แค่มีกินไปวัน ๆ ก็ประดาตายแล้วล่ะลุง"

"ไม่มีกะตังค์จะสร้างอย่างไรวะ แรงยังพอออกปาก แต่ของสมัยนี้มันต้องซื้อต้องหาทั้งนั้น" ลุงเพิ่มเปิดหนังสือพิมพ์เอนหลังพิงพนักอ่านข่าวเสื้อแดงปาไข่ต่อ

"ใช่" ลุงสุขเสริม "หนำลูกเล็ก ๆ ค่าไม้อย่างเดียวก็ปาเข้าไปหมื่นสองหมื่นแล้วนาซำหม้อ"

"ไม่รู้สิลุง หลายวันก่อนฉันเห็นนกกาบแคผัวเมียช่วยกันทำรังในบ่อ เศษสาหร่ายใต้น้ำแท้พวกมันยังทำให้เป็นเกาะลอยน้ำได้ นกเขาหลังขนำมันขนฟางหญ้าทีละเส้นละเส้นสุมจนเป็นรังไม่เห็นต้องใช้เงินทอง.."

"เอ็งอยากเป็นนกหรือวะซำหม้อ?" เสียงลุงเพิ่มสอดลอดผ่านหนังสือพิมพ์ ดาราบิกินี่หน้าหนึ่งยืนยิ้มอล่างฉ่าง

"ทีแรกฉันคิดว่าตอนฝนตกพวกมันคงลำบาก" ซำหม้อพูดต่อเหมือนไม่ได้ยินเสียงจากหลังหนังสือพิมพ์

"แต่ก็ฉุกคิดถึงรังนกกระจาบ พวกมันสร้างได้คงทนคุ้มฟ้าคุ้มฝน ไม่เห็นต้องใช้ทุนสักบาท"

"นั่นมันนก" ลุงสุขหยิบซองยา ล้วงยาเส้นใบจากออกมามวน ซำหม้อยกกาแฟก้นถ้วยขึ้นซดคราวนี้รสชาติชักฝืดคอ รังนกกระจาบสวยดีหากมีขนำอย่างนั้นก็คงดี แต่จะสร้างอย่างไร เรามันคน รังของคนควรรูปร่างอย่างไร หรือเราอยากเป็นนก..ซำหม้อชักสงสัยใจ

เสียงร่ำลือในโคกบัวบกแพร่ไวราวไข้หวัดนก วันถัดไม่ทันคล้อยเย็นก็มีอาคันตุกะโผเผมาหาซำหม้อ

"ไงวะซำหม้อได้ยินว่าจะสร้างหนำใหม่?" น้าคลี่ช่างก่อสร้างประจำหมู่บ้าน ทุกคนรู้มือ เสียแต่แกติดเหล้าตาแดงก่ำตลอดเวลา

"ครับน้าคลี่" ซำหม้อกำลังรื้อซากขนำ "พายุซัดซะหนำพัง"

"แล้วตอนนี้เอ็งอยู่ที่ไหน?"

"อาศัยหนำหลวงแคว้ต"

น้าคลี่เดินวนดูโดยรอบประสาช่างก่อสร้างรู้งาน "กว้างสามยาวห้า?"

"ครับ" ซำหม้อตอบ นั่นเป็นขนาดกว้างยาวของขนำก่อนเหลือแต่ซาก

"เอ็งจะสร้างใหม่ตรงนี้เลยรึ?

"ครับ"

"อืมม์" น้าคลี่เท้าสะเอว "หลังคากระเบื้องหรือมุงจาก?"

"ยังไม่รู้เลยครับ" ซำหม้อตอบ "แต่ไม่ใช่กระเบื้องแน่ ผมไม่มีตังค์"

"งั้นต้องมุงจาก" น้าคลี่สรุป "จะให้ถูกหน่อยอย่าใช้ไม้โรง ใช้ไม้เหม็ดไม้สนพอ"

ซำหม้อเออออมือก็หยิบซากไม้ซากจากโยนกอง น้าคลี่ล้วงใบยาออกมามวน 

"เอ็งไปซื้อไม้เตรียมไว้ เลือกที่มันตรงๆ  วันพรุ่งข้าจะพาไอ้แมนมาจัดการ ไม่เกินสิบวันเสร็จ" ใช้สองนิ้วคลึงมวนยาเสียบขอบปาก 

"แต่.."

"เรื่องค่าแรงเอาไว้ทีหลัง” น้าคลี่จุดไลท์เตอร์ป้องมือหามวนยา “คนกันเองไม่ต้องเกรงใจ"

"ผมยังไม่แน่ใจ..” ซำหม้ออึกอัก “อีกอย่างผมยังไม่มีรายได้ไม่อยากเสียเงินก้อนสร้างหนำ"

"อุบ๊ะ! ไม่อยากเสียเงินแล้วเอ็งจะสร้างอย่างไรวะ!"

คำอธิบายของซำหม้อคงฟังไม่เข้าเค้า น้าคลี่ทิ้งมวนยาลงพื้นจากไปโดยไม่ล่ำลา


ธรรมชาติคงถูกออกแบบไว้ดีแล้วสำหรับการดำรงคงอยู่ของสรรพชีวิต มีหนาวมีร้อนเพื่อฝึกให้ร่างกายเข้มแข็งรู้ปรับเปลี่ยนหาสมดุล  พืชรู้ผลัดใบหน้าแล้ง แตกช่อดอกใบหน้าฝน โอนอ่อนผ่อนตามธรรมชาติ  คนกลับพยายามควบคุมอุณหภูมิอากาศ ที่สุดร่างกายอ่อนแออมโรค  ธรรมชาติซัดขนำน้อยของซำหม้อเสียพังราบคงเป็นบทเรียนชนิดหนึ่ง เพียงซำหม้อยังไม่แน่ใจธรรมชาติต้องการสอนอะไร รู้แต่ต้องสร้างขึ้นใหม่ สร้างด้วยสองมือของตนเอง

ซำหม้อขุดพรวนดินเหนียวข้างคันคูจนร่วน นำแกลบมาโรยผสมแล้วราดน้ำเดินย่ำอยู่ค่อนวันจนเคล้าเป็นเนื้อเดียว  รื้อแผ่นไม้จากขนำเดิมเลื่อยตอกทำเบ้าแบบ  นำดินเหนียวใส่เบ้าผึ่งแดด  วันแล้ววันเล่าซำหม้อทำอยู่เช่นนั้น อิฐดินเหนียวทยอยเพิ่มจำนวน  กลางฟ้าแผดแดดเผา หมวกฟางเก่าปลายลุ่ยช่วยบังเงาชั่วพ้นเปลวแต่ไอแดดก็ยังแผดเสียแสบร้อนแสบไหม้ ฝ่ามือพุพองด้วยเสียดด้ามจอบจนแตกช้ำรอยแผล  เม็ดเหงื่อเค็มกร่อยไหลย้อยลงร่องปากต้องถ่มทิ้ง

ซำหม้อมือไม้เขลอะจนคล้ายมนุษย์โคลน นำดินใส่เบ้า ใช้ฝ่ามือแทนเกรียงปาดหน้าดิน เหงื่อเค็มรึก็จ้องจะย้อยเข้าตา ต้องคอยยกท่อนแขนปาดจนเลอะไปทั้งหน้า 

เหมือนตาจะฝ้าฟางเพราะกรำแดดแผดไอ  ซำหม้อเตะขาตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันกลางวัน ที่เดินมานั่นไม่ใช่ใครแม่ศรีไพรคนงาม  เรือนผมหยักต้องลมระใบหน้ากลมมน สวมเสื้อยืดขาวตัวจิ๋วคับติ้วกางเกงเอวต่ำสมัยนิยม  ซำหม้อร้องทักแต่ยังไกล

"ไปอย่างไรมาอย่างไรเล่าศรีไพร?"

ศรีไพรไม่ตอบคำตรงเข้าเพิงหมาแหงนส่ายตามองหาตะปู แขวนปลาแห้งไว้กับเสา

"พ่อบอกให้เอามาให้ รู้ว่าพี่ทำปลาไม่เป็นฉันเลยทำให้ตากให้เสร็จสรรพ" สำเนียงแฝงกระเซ้าเง้างอน

ซำหม้อเหลียวริ้วปลาช่อนแดดเดียวพวงใหญ่ ดูจะหลายตัวอยู่ "ขอบใจนะศรีไพร ตั้งหลายตัวพี่กินไม่ทันดอก เก็บไว้กินเองบ้างเถิด"

"หิ้วมาให้ยังจะบอกให้เก็บไว้เอง"

"ไม่ใช่" ซำหม้อวางก้อนดินมุดเข้านั่งในเงาไม้ "สักตัวสองตัวพี่ก็กินไปได้หลายมื้อ ไม่น่าเอามาหลายตัวเลย"

"พี่จะให้ฉันหิ้วกลับไปนี่นะ" ศรีไพรปั้นปึ่ง

"เออ ๆ ไว้ทั้งหมดนั่นแหละ"

"เห็นพี่หายไปหลายวันพ่อเลยให้ฉันมาดู"

"บอกลุงเพิ่มว่าพี่ขอบใจ เอาไว้ปั้นอิฐได้สักร้อยสองร้อยก้อนแล้วจะออกไปสภากาแฟสักที"

"พี่จะปั้นไปทำอะไรเยอะแยะ" ศรีไพรวาดเส้นผมเหน็บข้างหู

"พี่จะสร้างหนำ"

"หนำ!"

"ใช่หนำ..ทำไมหรือ?"

"สร้างหนำกับก้อนดินพวกนี้!" ศรีไพรทำหน้าคล้ายพบภูตผี

"ไว้สร้างเสร็จแล้วศรีไพรค่อยมาดู ไม่แน่นะอาจชอบอยากอยู่ก็เป็นได้"

แม่งามศรีไพรถลึงตาเม้มริมฝีปากอิ่ม  ซำหม้อกลั้วหัวเราะลงลูกคอยกสองมือเลอะโคลน "ลองบ้างมั้ย น่าสนุกออก"

"เชอะ! เชิญพี่เล่นไปคนเดียวเถอะ"

ซำหม้อแกล้งยื่นแขนจะบีบคอ สาวเจ้าถลันลุก "จะฟ้องพ่อ พี่ซำหม้อแกล้งศรีไพร"

"ขี่ม้าสามศอกไปบอกไวๆ"

ศรีไพรแม่จ้ำหายไปจริงๆ ซำหม้อยืนยิ้มมองตาม เหนื่อยกายนั้นสาหัสนัก แต่ใกล้คนรักเพียงครู่ความเหนื่อยล้าก็ปลาสนาการสิ้น หากมิใช่เพียงครู่เล่าชีวิตจะสุขสมเพียงไร..ศรีไพรแม่เอย


สภากาแฟร้านชะลอขาดซำหม้อหลายวันชักเริ่มหงอย ลำพังมีขาประจำแค่สามคนสุมหัวกันพูดคุยทุกย่ำเย็น ครั้นเหลือแค่สองได้แต่นั่งอัดยาสูบมองหน้ากันไปมา

"ไม่มีไอ้ซำหม้อมาคอยเปิดประเด็น สภาเงียบเหงาเจียวเว้ย" ลุงสุขเปรย

"เออ..ข้าว่าหากมันยังไม่มา เราย้ายสภาไปแถลงกันที่หนำมันสักชั่วคราวเป็นไร" ลุงเพิ่มเสนอ

"เออ..ข้าเห็นด้วย" ตามประวัติสภาแห่งนี้ยังมิเคยมีปรากฏว่าลุงสุขจะไม่ยกมือสนับสนุนสหายรักเลยสักที

สองเฒ่านิ่งมองชายร่างผอมสูงเดินโผเผเข้าในร้าน ตักยาดองใส่แก้ววางบนโต๊ะเอื้อมมือเท้าพนักหย่อนก้นเชื่องช้า ลุงเพิ่มเอ่ยขึ้นว่า

"ไอ้ซำหม้อมันสร้างหนำคนเดียว ไม่ลองไปดูสักหน่อยรึคลี่"

"เผื่อสั้นเผื่อยาวจะได้ช่วยเหลือกัน" ลุงสุขเสริม

น้าคลี่ยกเป๊กยาดองแดงเลือดนกซดพรวด  ดวงตาแดงก่ำเหลือบมองสองเฒ่าอยู่ไปมา "ไอ้ซำหม้อมันเห็นคนบ้านอื่นดีกว่าบ้านเดียวกัน" วางเป๊กลงโต๊ะดังปัง ยาดองก้นแก้วกระเซ็นส่งกลิ่นฟุ้ง "ไม่ทำงานมันก็ไม่เห็นจะอดตาย หนำลูกเล็กๆ จะได้สักเท่าไหร่กัน"

"คุยกับมันแล้วรึ?" ลุงเพิ่มถาม

"ช่าย" น้าคลี่ตอบ

"มันว่าไง?"

"มันเพ้อเจ้อบ้าบอ บอกที่อยู่อาศัยไม่น่าจะต้องมีค่าใช้จ่าย ทีนกยังสร้างรังของมันเองได้ ไอ้ซำหม้อมันจะสร้างหนำโดยไม่ใช้กะตังค์สักบาท ฉันว่ามันไปรับปากไอ้ศักดิ์ไว้แน่  แล้วทำเป็นอ้างเหตุบ้าบอกับฉัน" ศักดิ์เป็นคนต่างบ้านอาชีพนายช่างรับเหมาเหมือนกัน

"นก.." ลุงสุขพึมพำ

"นังศรีไพรบอกว่ามันทำอยู่คนเดียวนา" ลุงเพิ่มบอก

"ไอ้ศักดิ์มันคงติดงานค้างนะสิ เอาไว้สักเดี๋ยวก็คงมา" ดวงตาน้าคลี่ลุกเป็นไฟ

"นา.." ลุงเพิ่มปลอบ "ยังไงไอ้ซำหม้อมันก็สอนการบ้านลูกๆ เอ็งทุกเย็น ช่วยไปดูมันหน่อยเป็นไร"

"การบ้านก็การบ้านเซ่..ใครไปขอให้มันสอน มันเสือกมาสอนเอง"

"อ้าว.." นั่นเป็นเสียงลุงสุข
เปลวแดดเหมือนจะเผาจะแผดฟางหญ้าไหม้จุณ ฟ้าสูงเมฆลอย สีสันจัดจ้าอาบไล้คุ้งคันนาชอุ่มเขียว ฝูงวัวลุงเพิ่มเกาะกลุ่มเล็มหญ้าอ่อนปัดหางอยู่ไปมา นกยางปรอดย่องย่างเลาะคันนาหาอาหาร ลำคลองโคกบัวบกอ่อยเอื่อยเลื่อยไหล

ซำหม้อกรำงานกลางแจ้งจนแข้งขาล้าแรงแทบสิ้นกำลัง ปวดเมื่อยไปทั้งสรรพางค์ แค่สองสามวันทำเอาเจียนจับไข้ล้มป่วยด้วยห่างงานกรำแดดมาเนิ่นนัก  เหลียวมองอิฐดินรึก็ยังไม่พอจำนวน ยังต้องขุดดินเพิ่ม  ไม่ต้องคิดถึงตอนย่ำผสมแกลบแค่จะเหวี่ยงจอบยามนี้ยังแทบเป็นเรื่องเกินแรง

ลมบ่ายพัดเรื่อยเฉื่อยเย็น  ซำหม้อล้มตัวบนแคร่ นอนแผ่หราทั้งแขนขาเคลือบโคลน กำลังเคลิ้มพลันสะดุ้งตื่นยินเสียงเด็กๆ แว่วมา ซำหม้อปรือตามอง  พวกเด็กปั่นจักรยานมาจอดข้างแคร่ เห็นสารรูปซำหม้อแล้วพากันหัวร่อ

"น้าซำหม้อ”  ไอ้แตงโมหัวโจกลูกน้าคลี่ร้องถาม “ทำไมไม่ไปสอนการบ้าน พวกฉันไม่ได้ทำการบ้านเมื่อวานถูกครูตีรู้ป่าว?"

ซำหม้อเหลอหลาจะให้ตอบว่าไง พวกแกถูกครูตีแค่เจ็บก้นแต่ข้าสิขยับตัวแทบไม่ไหวแล้ว

"ใช่" ไอ้ทามตัวเล็กกว่าใครร้องเสริม "ฉันก็ถูกครูตี"

"เออๆ โทษทีว่ะ" ซำหม้อยันกายขึ้นอย่างยากเย็น "ข้าว่าจะสร้างหนำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปสอนการบ้านพวกเอ็ง"

"สร้างหนำยังไงเห็นเล่นปั้นดินเละเชีย" ไอ้แตงโมถาม

ซำหม้อได้แต่ส่ายหน้า "เออ..เล่นปั้นดินก็เล่นปั้นดินวะ เอาไว้ข้าเล่นปั้นดินเสร็จก่อนละกัน"

"พวกเราเล่นด้วยสิ" ไอ้เถือกหลานลุงสุขส่งเสียงมาจากท้ายกลุ่ม

ซำหม้อลังเลอยู่ครู่ ขืนปล่อยเด็กพวกนี้ละเลงเกรงค่อนไปทางเละเสียมากกว่า แต่ตัวเองยามนี้แทบขยับกายไม่ไหว ลองปล่อยเด็กๆ มันเล่นบ้างปะไร

บ่ายวันนั้นคันคลองโคกบัวบกที่เคยยินแต่เสียงนกเสียงกา กลายลั่นเสียงเซ็งแซ่ของเด็กๆ ตะโกนร้องสั่งกันไปมา ช่วยกันขุดดินย่ำโคลนเอาก้อนดินลงเบ้า บ่ายแก่ๆ พวกเด็กที่ซำหม้อสอนวาดรูปมาสมทบ  กลายเป็นกลุ่มใหญ่จนคุมไม่ไหว เป็นไปตามคาด พวกมันเล่นกันเสียกว่าได้งาน ไปๆ มาๆ พานทะเลาะจะชกกันให้วุ่นวายจนซำหม้อปวดกบาล   

ตกเย็นพากันโดดคลองล้างเนื้อล้างตัว  "อย่าเหลือคราบโคลนไว้เทียวโว้ย เดี๋ยวพ่อแม่พวกเอ็งจะมาเอ็ดข้า" ซำหม้อตะโกนบอก

วันถัดพวกเด็กมากันอีก แม้จะได้อิฐดินสารรูปบิดๆ เบี้ยวๆ แต่ก็เพิ่มจำนวนขึ้นโข  พวกพ่อแม่ตามมาดู  เห็นลูกๆ ช่วยกันทำงานเลยหาอาหารใส่สำรับมาให้  ซำหม้อพลอยได้กินอาหารหลากรสหลังฝากท้องแต่ข้าวกับปลาช่อนแดดเดียวมาหลายวัน สองสหายสูงวัยย้ายสภากาแฟมานั่งวิพากษ์รัฐบาลใต้ต้นมะยมเป็นการชั่วคราว  พวกผู้ชายครั้นเสร็จงานตัวก็มาช่วยเรียงอิฐจนขนำขึ้นรูปเป็นร่าง  เด็กๆ ช่วยกันใช้โคลนผสมแกลบที่ย่ำจนเหนียวเป็นเนื้อเดียวละเลงฉาบผนังทั้งภายนอกภายใน  ซำหม้อบอกพวกเด็กให้วาดรูปลงบนผนัง วาดอะไรก็ได้ตามแต่ใจ เด็กๆ สนุกยกใหญ่ฉวยก้านกิ่งไม้ตั้งใจวาดสุดฝีมือ ภาพหมู หมา กา ไก่ ภาพพ่อแม่ ลำคลอง  ต้นไม้ กระทั่งไอ้มดแดง โฮกุน อุลตร้าแมนกระจายทั่วบนผนังทั้งนอกใน "อย่าลืมลงชื่อด้วย" ซำหม้อตะโกนสั่ง 

เหมือนฟ้าจะกลั่นดินจะแกล้ง  เมฆฝนครึ้มเค้ามาทะมึนมืด  ตั้งเค้าเหนือลมเยี่ยงนั้นเป็นพัดมาทางนี้แน่  ซำหม้อหันมองตาปริบ หากฝนตกทุกอย่างเป็นอันจบกัน โคลนที่ใช้ผสานอิฐดินคงถูกชะไม่เหลือ อิฐดินเพียงผ่านแดดเผาไหนเลยทนทานแรงกระหน่ำฝนเหมือนอิฐเตา

ไวจนไม่ทันตั้งตัว

กรรโชกลมผ่านวูบพัดกิ่งก้านโพธิ์ทะเลเฒ่าครางวือ ฝนเม็ดใหญ่เริ่มพรูเม็ดจั่กจั่ก พวกเด็กๆ ลิงโลดได้เล่นน้ำฝนล้างตัว  พวกผู้ใหญ่มองตากันอึ้ง  เด็กๆ เห็นผู้ใหญ่ยืนตัวแข็งไม่พูดไม่จาเริ่มเอะใจเป็นห่วงรูปที่วาดไว้จะถูกฝนชะ พากันยืนนิ่งมองหน้ากันอยู่ไปมา 

"เอาตับจากมาบังไว้ก่อนเป็นไรซำหม้อ?" ลุงเพิ่มร้องถาม

ซำหม้อส่ายหน้า "ไม่เป็นไรลุง หากถูกฝนชะพังฉันก็จะทำขึ้นใหม่" ปากกล่าวเยี่ยงนั้นใจสิระรัวราวย่ำกลอง

ครู่เดียวฝนก็เทกราวราวฟ้ารั่ว  ทุกคนพากันเข้าไปอัดอยู่ใต้เพิงหมาแหงนมองผนังอิฐดินที่เพิ่งก่อด้วยกังวล 

"เสียดาย" เสียงลุงสุขพึมพำ

"ไม่เป็นไรดอกลุง" ซำหม้อพูดเสียงแผ่ว "ดินยังอยู่กับเรา แค่ใช้แรงกายแรงใจของเราสร้างมันขึ้นมาใหม่"

"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ" ลุงสุขมองริ้วฝนพรูผนังดินเหมือนเข็มฝนทิ่มแทงแรงใจของทุกคน

"พ่อ! พ่อ!" เสียงไอ้แตงโมร้องขึ้น

รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างแล่นฝ่าเงาฝน  คนนั่งเปียกปอนป้องปากตะโกนแข่งครืนฟ้า "ช่วยกันขึงผ้าใบเร็ว!" พวกผู้ชายวิ่งออกไป เด็ก ๆ ปรบมือร้องเฮ

ทั้งหมดช่วยกันขึงผ้าใบผืนใหญ่คลุมผนังดิน ใช้ไม้ยาวค้ำกลาง ดึงเชือกร้อยตาไก่มัดหลักไม้ทุกด้านเป็นหลังคาชั่วคราว  จากนั้นพากันหลบฝนยืนตัวสั่นเปียกซ่กกันใต้หลังคาผ้าใบ  

ซำหม้อยกมือไหว้ "ขอบคุณครับน้าคลี่"
ดวงตาแดงก่ำส่งยิ้ม


ได้น้าคลี่กับหลวงแมนมาช่วยอีกแรง งานสร้างหลังคาจึงเป็นไปอย่างง่ายดาย  หลวงแมนใช้ไม้ขนำเก่าทำโครงคร่าว เอาจากเก่ามุงหลังคา  สองวันถัดมาขนำดินของซำหม้อก็เสร็จเรียบร้อย

ลุงเพิ่มนั่งมวนยาใต้เงาไม้มีศรีไพรหลบอยู่ข้างหลัง น้าคลี่ หลวงแมนนั่งมองผลงานตน  ขนำดินผนังขรุขระเต็มด้วยงานศิลปะใสซื่อ มีช่องลมช่องหน้าต่างรอบด้าน หลังคาจากลาดต่ำกันฝนสาด  ลุงสุขเดินวนดูพลางพยัก

“อืมม์..สวยดีเว้ย  ไงคลี่เอ็งน่าจะสร้างไว้อยู่เองสักหลัง”

น้าคลี่พึมพำทั้งปากยังคาบมวนยา “สร้างหนำไม่สูญอัฐสักบาทสักเฟื้องอย่างนี้ ฉันมีหวังต้องออกเลหาปูปลา” พวกที่เหลือหัวร่อฮา  

"ไม่ใส่บานประตูหรือวะไอ้ซำหม้อ?" ลุงเพิ่มถาม

"คิดว่าจะไม่ใส่” ซำหม้อยิ้ม “ฉันไม่มีทรัพย์สินอะไรต้องกังวลรักษา อีกอย่างขนำนี้ทุกคนช่วยกันสร้าง อยากให้รู้ว่าต้อนรับทุกคนเสมอ "

"เอางั้นหรือวะ?" ลุงสุขกังขา

"แล้วถ้าหมามันเข้าไปขี้ล่ะวะ?" น้าคลี่สงกา

"จริงของน้าคลี่” ซำหม้อสะดุ้งใจ “งั้นฉันจะใส่บานประตูแต่ไม่คล้องกุญแจ เผื่อใครผ่านมาผ่านไปจะได้แวะกินข้าวกินน้ำ"

"ตั้งชื่อเสียหน่อยดีไหมวะ?" ลุงสุขเสนอ

"เอา..หนำรวมใจเป็นไง?" ลุงเพิ่มสนอง

"เออ..ดีๆ" เฒ่าสุขสหายรักไม่เคยค้าน

"แหวะ..เห่ยซะไม่มี" ทุกคนหันขวับมองต้นเสียง

ลุงเพิ่มหันซ้ายหันขวาพยายามเขกหัวลูกสาว ศรีไพรมุดไปมุดมาอยู่หลังพ่อ ทุกคนพากันหัวร่องอหงาย


หลังจากทุกคนกลับกันแล้ว  ซำหม้อย้ายข้าวของเข้าขนำ ลงว่ายน้ำในคลองอยู่ครู่พอสบายตัว ย้ายกระถางต้นไม้ กระถางผัก วางประดับประดารอบขนำดิน  จนเย็นย่ำสนธยานั่งกินข้าวปลาช่อนแดดเดียวชิ้นสุดท้าย กับข้าวฝีมือแม่ยอดตองน้องศรีไพรจะแห้งผากติดคอเพียงไรก็หวานชวนเคี้ยวเสียทุกคำ คล้อยค่ำเสียงจิ้งหรีดกรีดปีกระงมร้อง  ดื่นดาวลอยดวงใกล้จนแทบเอื้อมมือคว้า  เรื่อยลมอ่อนเอื่อยโชยเฉื่อยมา

ซำหม้อเอนหลังช้อนมือหนุนหัวมองดาว

ฤดูฝนผ่านพ้นอีกปีแล้ว ฤดูแล้งร้อนกำลังกรายมา ธรรมชาติหมุนเวียนเปลี่ยนแปรตลอดเวลา หลายปีที่ฝากชีวิตไว้กับผืนดินผืนฟ้าสอนซำหม้อให้นอบน้อมถ่อมตนต่อแม่ธรรมชาติ เหมือนไม้ลู่ตามลม ไม่แข็งขึงดึงดันหวังเอาชนะ ตระหนักใจรับรู้ความผูกพันเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง  หลายปีที่ธรรมชาติส่งเสียงเรียกให้คืนกลับสู่อ้อมดินอันเป็นจิตวิญญาณของโลก  คืนสู่สมถะเรียบง่ายอันคือจิตเดิมแท้ก่อนการปรุงแต่งทั้งหลายเข้าครอบงำ 

ยามนี้ขนำน้อยเป็นเนื้อเดียวกับผืนดินผืนโลก  มีหยดเหงื่อของซำหม้ออยู่ในอิฐดินทุกก้อน ก่อประสานด้วยแรงกายแรงใจของผู้คนรอบข้าง  เช่นเดียวกับต้นไม้ก้อนหินดินทรายที่ล้วนพึ่งพาอาศัย อยู่กับโลกใบนี้ด้วยสำนึกคารวะ  ผสานเป็นหนึ่งเดียวผันเปลี่ยนเวียนหมุนไปด้วยกัน..เคลื่อนไปด้วยกันในจักรวาลกว้างใหญ่..

ระดาดาวระยิบอยู่ตรงหน้า  ผืนฟ้าราตรีเวิ้งว้าง ดาวตกดวงหนึ่งทอประกายวาบผ่านฟากฟ้าแล้ววับหาย
ซำหม้ออมยิ้ม..                 

OOO


ขนำ หมายถึง เพิงเล็กๆ ใช้อาศัยชั่วคราว

11 ความคิดเห็น:

  1. Hi, it's a very great blog!
    I could tell how much efforts you've taken on it.
    Keep doing!

    ตอบลบ
  2. Hi, Olive Tree

    I always love classic guitar.
    Thanks for visiting.

    Din,

    ตอบลบ
  3. หวัดดีท่านดินที่เคารพ

    วันพรุ่งจะไปงานหนังสือ จะฝากดูหนังสืออะไรบ้างป่าวเจ้าคะ(เผื่อบางทีวันก่อนท่านมัวแต่เสียใจเรื่องซำหม้อจนหมดแรงหาหนังสือที่ต้องการ ^^)

    นิทราฝันดีเจ้าค่ะ

    ตอบลบ
  4. ฝนมาเมื่อตีห้าสวัสดิ์ท่านสายที่เคารพรัก

    ท่านทราบได้เยี่ยงไรว่าข้าพเจ้าหมดแรง แค่ไม่มีกำลังก้าวขา หันทางไหนมืดหน้ามัวตาคล้ายจะเป็นลม ยืนอยู่ดี ๆ เหมือนจะเซล้มเสียราวไม้หลักปักเลน

    เรื่องหนังสือที่ต้องการเลยมิพักคำนึง เล่มโน้นก็อยากดึง เล่มนี้ก็อยากได้ ที่หมายตาไว้สี่ห้าเล่มเป็นหมันเหมือนวัวถูกตอน

    นี่แน่ะทั่น

    เมื่อมีจิตเมตตาแล้วก็อย่าให้เสียทีที่กรุณา รบกวนมองหาหนังสือเกี่ยวข้องด้วยท้าวศรีสุดาจันทร์ให้สักหน่อย

    ข้าพเจ้าลองถามที่บูธมติชน ฟังว่ามี ท้าวศรีสุดาจันทร์ ใครว่าหล่อนชั่ว แต่หมดแล้ว ฝากท่านลองถามอีกทีเผื่อจะมีปาฏิหาริย์ กลับมาขนำลองค้นเน็ตปรากฏว่า รพีพร ท่านเขียนนิยายไว้แล้วชื่อเรื่อง ท้าวศรีสุดาจันทร์ หากเล่มเดียวจบ ราคาไม่เกินร้อยต้น ๆ รบกวนท่านส่ายตามองหาตามร้านหนังสือเก่าให้ด้วยเถิด

    ขอบพระคุณที่คิดถึงกัน ขอให้มีความรื่นรมย์ขอรับ

    คารวะ

    ตอบลบ
  5. เอ?? ตกลงเป็นสองเล่มหรือเปล่าเจ้าค่ะ

    ท้าวศรีสุดาจันทร์ ใครว่าหล่อนชั่ว หนึ่ง
    กับนิยายเรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์ ที่ท่านรพีพรประพันธ์อีกหนึ่ง

    หรือว่าสองชื่อนี้เป็นเล่มเดียวกัน?

    ยังไงจะลองดูให้เจ้าค่ะ ข้าเจ้าตั้งใจจะไปขนหนังสือของท่านหนก เพราะหาตามร้านหนังสือเก่ายากมากกกกกก ไปสิบรอบได้มาเล่มเดียว เรื่องรอบบ้านทั้งสี่ทิศ ซื้อมาราคา 50% สภาพยังกะมือหนึ่ง เรี่ยมเร้เรไรมาเชีย

    ก็อย่างที่บอกท่านข้าเจ้าตงิดๆ เวลาที่ต้องควักตังค์จ่ายหนังสือราคาเต็ม ไปเที่ยวนี้เลยตั้งใจจะขนของท่านหนกอย่างเดียว เพราะไม่มีปัญญาหาตามร้านหนังสือเก่าแล้ว ขอให้ได้ซื้อหนังสือลดเถอะ นิดนึงก็เอา

    ตอนทั่นข้าวตั้งกระทู้หนังสือที่อยากได้ในงานหนังสือเที่ยวนี้ ข้าเจ้าไปโพสต์ไว้ว่าถ้าได้ไปจะหาซื้อหนังสือของท่านหนกมาอ่านเพราะเพิ่งได้อ่านไปแค่สองเล่ม ท่านข้าวทายมาว่าต้องเป็นทั่นแนะนำแน่ ข้าเจ้าอ่านแล้วยังนึกขำ ก็ที่ผ่านมาเรา(หมายถึงท่านกับข้าเจ้า)ยังไม่เคยคุยกันถึงงานท่านหนกเป็นกิจจาลักษณะกันสักครั้ง จะมีก็แต่เอ่ยชื่อเฉียดไปเฉียดมา

    ตั้งใจจะไปตอนเช้าคนจะได้ไม่เยอะ นี่ก็เข้าเที่ยงแระ

    แล้วจะดูหนังสือให้เจ้าค่ะ

    ขอท่านอิ่มสุขในบรรยากาศการเขียน

    ตอบลบ
  6. พักเที่ยงสวัสดิ์ทั่น

    เป็นอันข้าพเจ้าเขียนกำกวมอีกแล้ว (ข้อเสียนี้ต้องแก้ให้ได้)
    จะรอฟังข่าวค่ำนี้ขอรับ (เตรียมใจผิดหวังไว้ก่อน..หากเกิดสมหวังจะได้ดีใจ)

    เรื่องรสนิยมอ่านเนี่ย บอกก็หลายหนว่าอ่านอิ๊กคิว โดราเอม่อน ไม่ยักมีใครเชื่อ (หรือไงนะ!?)

    ข้าพเจ้าไม่เคยอ่านงานสะท้อนชีวิตสะท้อนสังคมของนักเขียนประเทศนี้จบสักราย วันนั้นนั่งคุยกับหลวงพ่อ (คุณพ่อท่านหนก) ท่านเอ่ยถึงตัวละครในเรื่องสั้น ทั้งยังปิดท้ายชักชวนไปเยี่ยมป้าคนหนึ่ง เอ่ยชื่อเป็นตัวละครบอกชื่อเรื่องเสร็จสรรพ ข้าพเจ้าได้แต่อ้าปากหวอ..กระซิบท่านไปว่า..

    "เอ่อ..หลวงพ่อครับ ผมไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ"

    ข้าพเจ้าอ่านแนวกระแสสำนึกไม่ได้น่ะท่าน (ดูเหมือนท่านจะรับอิทธิพลอยู่บ้าง..ใช่ไหม?..ใช่ไหม?) กล่าวเยี่ยงนี้ท่านอาจขมวดคิ้วทำปากขมุบขมิบ 'มันพูดเรื่องไรของมันฟะ'

    หากคิดไม่ออกลองคิดถึงงานที่บรรยายสามหน้าสิบหน้า เหตุการณ์ยังไม่เคลื่อนไปไหน พวกนักเขียนแนวสะท้อนสังคมบ้านเรา (ยุคหลัง ๑๔ ตุลาฯ) รับอิทธิพลจนเป็นแฟชั่น เชื่อไปว่าเขียนอย่างนั้นจึงใช่ ยิ่งภายหลังหลายคนผันกายเป็นบอกอคัดเลือกงานตีพิมพ์ ทีนี้พากันพายเรือในอ่างจนหาทางออกไม่เจอ (แล้วจู่ ๆ วินทร์ เลียววาริณ ก็โพล่งขึ้นนั่นแหละ สะดุ้งด่ากันยกใหญ่..เรื่องจริงนะทั่น!)

    หากยังคิดไม่ออก ลองคิดถึงตัวหนังสือของกุนเดอร่า พ่อเจ้าประคุณช่างคิดช่างวิเคราะห์ นั่งบ่นอยู่คนเดียวหน้าแล้วหน้าเล่า

    งานกระแสสำนึกเหมาะกับคนที่ชอบลุ่มลึกจมดิ่งแบบพวกที่ได้ไดฟ์วิ่งมาสเตอร์ แต่ข้าพเจ้าเป็นพวกสวมสน็อร์คเกิ้ลกระด๊อกกระแด๊กอยู่ผิวน้ำน่ะขะรับ

    ข้าพเจ้าอ่านงานท่านหนกจบนับเรื่องได้เทียวล่ะ (ไม่เป็นที่สงกานะขะรับ งานท่านยอดเยี่ยม) นั่งแกะแล้วตระหนัก ภาษาท่านปราณีต เห็นชัดว่ากว่าจะวางลงสักคำสักวรรค ผ่านทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า พลังตัวหนังสือแทบปะทุจากหน้ากระดาษ

    แต่เป็นเพราะไม่ใช่คอทางนี้ (งานท่านเจ้าสำนักเช่นกัลล์ อ่านจบนับเล่มได้ไม่เกินฝ่ามือนั่นแล) (วันก่อนบอกท่านจินนี่เองจ้าไปว่า ไม่เคยอ่านงานท่านเจ้าสำนัก..ดูท่านคงจะงง แต่ไม่ทันได้ขยาย)

    ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเแล้ว ยังรู้สึกวิเหวโหวไม่เห็นเงาหัวตัวอย่างไรพิกล ก็เพราะสะท้อนสังคมเครียด ๆ ก็ไม่ชอบ ประโลมโลกย์ก็ไม่เอา แต๋วแหว๋วยิ่งไม่อ่าน กำลังภายในก็ไม่เชิง (ท่านว่าอย่างข้าพเจ้าเนี่ยสังกัดแนวใดอ่าขะรับ?)

    เคารพท่านทั้งสอง (ท่านหนก, ท่านเจ้าสำนัก) ที่วิธีคิด วิถีชีวิต จึงได้วนเวียนอยู่ใกล้

    เออ..แน่ะทั่น!

    วันใดเกิดคิดถึงข้าพเจ้าขึ้นมา นึกเวทนาว่ามุดหัวอยู่ในกะลาแต่เดียวเปลี่ยวใจ ใคร่ส่งหนังสือมาให้เปิดหูเปิดตา ขอการ์ตูนสวย ๆ สักเล่มก็น่าจะพอ นะทั่นนะ

    ขึ้นกอทอมอวันวาน สหายสุดเลิฟล้วงเรื่องสั้นของมาโนช พรหมสิงห์ส่งให้ ผิดไปแล้ว..ผิดไปแล้ว..ข้าพเจ้าคงกระทำความผิดพลาดบางประการจึงทำให้สหายเข้าใจไปว่ารสนิยมอ่านข้าพเจ้าจะแก่กล้า อ่านงานหนัก ๆ เอาจริงเอาจังกับชีวิตปานนั้น รอไว้ละอ่อนน้อยสูงวัยอีกสักหน่อยก่อนเถอะนา

    หากปะความเข้าใจคลาดเคลื่อนอีกครา เมตตารบกวนหยิบยืมปลายนิ้วท่านชี้แจงสักหน่อยว่าเรื่องแนะนำหนังสือเห็นทีข้าพเจ้าไม่มีปัญญาเพราะอ่านมาน้อยเสียเหลือเกิน แลที่อ่านนั้นเล่าก็หนักไปทางการ์ตูน..

    การ์ตูนนะทั่นนะ..การ์ตูน..

    คารวะ

    ปล. ขอท่านได้หนังสือท่านหนกครึ่งราคาเต็มตะกร้า และได้ ท้าวศรีสุดาจันทร์ ติดมือกลับมา เจ้าประคู้ณณณณ

    ตอบลบ
  7. ค่ำคืนสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านดินที่เคารพ

    คิดถูกแล้วเจ้าค่ะที่เตรียมใจผิดหวังไว้ก่อน

    คำพรของท่าน เอ..หรือจะเป็นคำขอพรหว่า? ไม่สัมฤทธิ์ผลสักประการ! ข้าเจ้าได้หนังสือท่านหนกกลับมาสองเล่ม(สองเล่มนี้แลกมาด้วยการเดินกันขาขวิด)ในราคา ๒๐% ส่วนท้าวศรีสุดาจันทร์นั้น หมดแล้วหมดเลยเจ้าค่ะ ออกจากบูธมติชนไปเดินดูบูธอื่นเผื่อบางที่สำนักพิมพ์จะกระจายหนังสือบ้างก็ผิดหวัง

    เอาเป็นว่าว่างๆ ข้าเจ้าไปเดินสวนวันไหนจะลองถามดูให้เจ้าค่ะ(แล้วตกลงมันเล่มเดียวหรือสองเล่มละเจ้าคะยังไม่ตอบเลย?)

    เรื่องส่งหนังสือนั้นข้าเจ้ามิอาจหาญส่งหนังสือไปให้โดยพลการดอกเจ้าค่ะ ด้วยเข้าใจรสนิยมการอ่านของแต่ละคนไม่เหมือนกันเล่มที่ข้าเจ้าว่าดี หวังอยากให้อีกคนอ่าน อาจไม่ใช่แนวของเค้าก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เหมือนยื่นพลอยให้ไก่ ไก่ไหนเลยจะรู้ค่ามากกว่าข้าวเปลือกสักเม็ด หรืออย่างในกรณีเรา,ทั่น ข้าเจ้าหารู้ได้ว่าทั่นเคยอ่านหนังสือเรื่องไหนมาบ้าง ส่งไปให้พร่ำเพรื่อเกิดทั่นอ่านไปแล้วตั้งแต่ปีมะโว้ ก็เข้าทำนองเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน ผู้รับไม่ได้อะไรเลย นอกจากจะนั่งซาบซึ้งในน้ำจิตไมตรีด้วยดวงตาปริบๆ จริงไหม?

    เพราะไม่อาจหาญส่งหนังสือไปให้โดยพลการ เมื่อยามมีโอกาสไปซื้อหนังสือ(ซึ่งแน่นอนต้องเป็นหนังสือลดราคา^^)และมั่นใจว่ามีงบประมาณเพียงพอจึงได้เข้ามาถามท่านไงละเจ้าคะ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะจัดหาให้ท่านก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่หากมันหายากหาเย็นหรือ โอ..แม่จ้าว ไมค่าหนังสือมันแพงจั๋งซี่? ท่านก็นั่งกินแห้วไปเถอะ(ฮา)

    ถ้าอยากได้หนังสือเรื่องไหนและราคาไม่แพงนัก จะฝากให้หาก็บอกนะเจ้าคะไม่ต้องเกรงใจ ไว้ไปร้านหนังสือเมื่อไหร่จะดูให้ ส่วนค่าหนังสือนั่นข้าเจ้าจะทบๆไว้ ทั่นเป็นนักเขียนหญ๋ายยย..เมื่อไหร่จะส่งบิลไปเก็บย้อนหลังทุกบาททุกสตางค์แถมต้นทบดอก(ฮา)ระหว่างนี้ข้าเจ้าก็จะนั่งดีดลูกคิดรางแก้ว(ฮา รอบสอง)(ล้อเล่นเจ้าค่ะ เดี๋ยวท่านคิดเป็นจริงเป็นจังแล้วจะไม่กล้าสั่ง)

    ---

    หนังสือท่านหนกที่ได้มาสองเล่มเป็นเรื่อง'แผ่นดินอื่น'และ'(นิยายรัก)ฤดูร้อนและรอยเท้าบนผืนทราย'(เป็นต้นร่างนิยายน่ะเจ้าคะ ดีเหมือนกันจะได้รู้ว่าต้นร่างเขาเขียนกันยังไง) หากันขาขวิดแล้วจริงๆ กว่าจะได้สองเล่มนี้มา ความจริงข้าเจ้าอยากได้กวีนิพนธ์ของท่านหนกมากกว่ารู้สึกจะมีอยู่สองเล่ม แต่เอาไว้เที่ยวหน้า จะเอาขาไปขวิดกันอีกหน

    เรื่องรับอิทธิพลตามที่ท่านตั้งข้อสังเกตนั้นข้าเจ้าก็ไม่รู้ตัวดอกเจ้าค่ะ มันต้องอาศัยสายตาคนนอกมองอย่างที่ท่านมองนั่นแหละ ความจริงงานแนวนี้ข้าเจ้าก็ใช่จะอ่านมามากนัก หนังสือท่านหนกที่อ่านไปแล้วก็สองเล่มจริงๆ และก็ไม่ผิดหวังทั้งสองเล่ม และที่บอกจะขนของหนกนั้นก็เพราะเห็นว่าของทั่นมีอยู่ไม่กี่เล่ม แถมเป็นบทกวีเสียสองเล่ม(ซึ่งก็เข้าทาง) งานของท่านมีอยู่เพียงแค่นี้ ไม่มีเพิ่มไปมากกว่านี้อีกแล้ว จะเป็นไรไปหากจะหางานของใครคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อสร้างงานเขียนมาอ่านให้หมด

    ส่วนหนังสือของคุณวินทร์ข้าเจ้าอ่านไปกี่เรื่องกันน้า คิดก่อน อืมม์..
    ๑.สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน(เล่มแรกในชีวิต)
    ๒.สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง
    ๓.ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
    ๔.อาเพศกำสรวล(อ่านบางเรื่องในเล่ม)
    ๕.น้ำแข็งยูนิต ตราควายบิน(อันนี้ก็บางเรื่อง)
    ๖.พุ่มรัก เล่ม ๑-๒
    ๗.ฝนตกขึ้นฟ้า
    ๘.บางกะโพ้ง
    ๙.รอยเท้าเล็กๆ
    ๑๐.ความฝันโง่ๆ

    โห! พอไล่ดูก็ถึงสิบเล่มเหมือนกันแฮะ ตอนแรกนึกว่าแค่สี่ห้าเล่ม แต่งานเขียนของคุณวินทร์บางทีข้าเจ้าก็อ่านไม่เข้าใจนะทั่น(อันนี้ไม่ได้จุดประเด็นแค่บอกให้รู้ว่าอ่านมาหลายเล่มอย่างนี้ ใช่จะเข้าใจหมดทุกเล่ม ฮา)


    แต่นี่แน่ะทั่น!

    ว่าก็ว่าเถอะ ปลายอาทิตย์ที่ผ่านมาท่านลืมอะไรไปรึเปล่า?

    ไหนบอกจะไม่เบี้ยวแล้วไง? นิสัย!

    :)

    ด้วยความเคารพอย่างสูง
    ดาวราย

    ตอบลบ
  8. ครึ้มฝนเมื่อมัธยมวันสวัสดิ์ขะรับท่านดาวมีรายที่เคารพอย่างสูง(กว่า)

    นับเป็นความเศร้าเสียใจ ผิดหวังอลังการชวนร่ำไห้กระซิกกระซิก

    ค่ำวานด้วยความร้อนใจใคร่รู้ผล ข้าพเจ้าแวะเวียนเปิดปากกะตูขนำ ซ้ำ ๆ ยังกะไอ้ขวัญเฝ้าคอยแม่เรียมคืนท้องทุ่งบางกะปิ ใจสิเต้นส่ำราวเณรแก้วย่ำเพลเภรี ปากพร่ำภาวนา(ไม่มีพุทโธ เพราะท่านไปเทศน์โปรดญาติโยมอยู่ในคุก รายรับบริจาควันละเจ็ดพัน) เป็นว่าภาวนาเฉย ๆ ขอให้ได้หนังสือมาทีเถิด เจ้าประคู้ณณณณ

    การคบหาสมาคมกับเหล่าผู้บำเพ็ญอักขระตบะนั้น มักก่ออานิสงส์ต่อลมหายใจอักษรอยู่เนือง ๆ

    วันก่อนนั่งฟังสหายที่เคารพแลกถ้อยปุจฉา-วิสัชนาว่าด้วยการปกครองสมัยอยุธยาที่เปลี่ยนจากกระจายอำนาจเป็นรวมศูนย์ พลันเกิดข้องขึงใจขึ้นว่าจะมีบ้างหรือไม่อักขราจารย์ท่านใดจะเคยแก้ต่างให้ท้าวศรีสุดาจันทร์แม่หยัวที่พงศาวดารกล่าวหาเสียราวเป็นนางยักษิณีโดยไม่มีโอกาสเบิกความ

    เคยแว่วเสียงนี้จาก 'ศิลปวัฒนธรรม' ซึ่งก็นานเหลือเกินแล้ว แล้วในรูปของนวนิยายเล่า จะเคยมีหรือไม่?

    อีกทั้งเรื่องราวในช่วงนี้ พงศาวดารกล่าวไว้กระไร? ข้าพเจ้าคงต้องเสาะต่อไป

    ขอบพระคุณท่านเหลือคณนา ความเมตตาตะละครั้งผู้น้อยจารไว้ในห้วงใจไม่มีเลือน ชีวิตในกะลานั้นมือสั้นเท้ากุด การจักเร่งรุดตามโลก หรือหยิบฉวยเรื่องราวทางโลกตามใจนั้นไม่มีเลย ได้อาศัยเมตตาท่านต่างมือแขนนับเป็นบุญหนัก แล้วจักตอบแทนด้วยดอกทบต้นทุกบาททุกสตางค์ (ไม่มีตกหล่น)

    ฟังว่าท่านได้ 'ต้นร่างนิยาย' ของท่านหนกก็ให้หูผึ่งตาโบ๋ อ่านจบแล้วรบกวนบอกเล่าเก้าสิบสักหน่อยนะขะรับ

    สดับคติเรื่องหนังสือก็วางใจ นับว่าวิธีคิดของท่านหนักวุฒิภาวะเอาแรง การเติบโตทางความคิดทางโลกย์นั้นคนเราคงอาศัยเหตุสองประการ ไม่ด้วยเจริญวัย ก็เจริญทัศนะ อนุมานได้ว่าท่านอาจมีทั้งสองอย่าง..นับถือ..นับถือ..

    เออแน่ะทั่น!

    ว่าก็ว่าเถอะ ปลายสัปดาห์ทั้งศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่าน ข้าพเจ้าย้ำใจตนจะต้องเขียนอะไรสักอย่าง หาได้หย่อนวิริยะเลยเป็นความสัตย์ แต่ตัวหนังสือที่ได้กลับไม่น่าพึงใจเลยแม้เสี้ยววรรค (พยายามเขียนเรื่องสั้นโต้ 'เพียงรัก' ของทั่นนั่นแล) ความรู้สึกขัดแย้งระหว่างรักษาวัตรกับละอายใจที่จะสำแดงความมักง่ายโพสท์แบบขอไปทีต่อสู้ราวพวกปาณฑพเกาลพกระทำสงคราม ณ ทุ่งกุรุเกษตรครั้งมหาภารตยุทธ์
    ท่านคงทราบดีว่าฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ สุดสัปดาห์ที่ผ่านจึงมิเห็นหัวผู้น้อยโผล่สักตัวอักษร

    ขอบพระคุณที่ทักไถ่ถาม นั่นเป็นกำลังแรงใจอย่างมิอาจสรรบรรยาย เมื่อคืนสู่อักษรวัตรแล้วฉะนี้ คาดว่าสุดสัปดาห์คงเป็นไปตามปกติ

    พระอาจารย์สตีวี่คิงก์กล่าวไว้ว่า "เราไม่ได้เขียนให้ใครที่ไหนอ่านเลย เราแค่สื่อสารกับคนเดียว คนที่อ่านงานของเราอย่างตั้งใจ"

    เสียงทักทวงท่านเป็นคล้ายฝ่าบาทาที่ประทานมาเต็มหลัง ถ่ายพลังส่งกะลาอักษรอัปลักษณ์กระเด็นไปแสนไกล..เผลออีกคราใดก็ขอประทานอีกสักที..แบบว่าคงติด..นิสัย!

    คารวะ

    ตอบลบ
  9. หวัดดีท่านดินที่เคารพอย่างสูงสุด(อย่างสูงสุดแล้วนา ไม่มีสูงไปมากกว่านี้อีกแล้ว ไม่ต้องมากว่งมากว่าอีกนา)

    รู้สึกผิดมากมายมหาศาลที่ปล่อยให้ท่านรอคอยประหนึ่งไอ้ขวัญรอแม่เรียมคืนนา วันนั้นข้าเจ้ากลับมาถึงห้องตั้งแต่ยังไม่ทันห้าโมงด้วยซ้ำ แต่อาการเห่อกำเริบเลยนอนแกร่วอ่านเรื่องสั้นของท่านหนกเสียเพลินรมณ์ ถ้ารู้ท่านรอข้าเจ้าคงแจ๋นมาแจ้งข่าวเสียนานแล้ว มิปล่อยให้ท่านต้องรอนานเลย

    ต้นร่างนิยายนั้นอ่านจบแล้วเจ้าค่ะ เพิ่งปิดหน้าสุดท้ายไปเมื่อครู่นี่เองด้วยความรวดเร็วทันใจ

    แต่นี่แน่ะทั่น!

    จะให้ข้าเจ้าเล่าให้ฟังจริงๆ หรือ? คงไม่ดีม๊างงง ท่านอ่านเองน่าจะได้อะไรมากกว่านา เคยบอกท่านไปแล้วจำไม่ได้หรือ? ข้าเจ้าไม่ถนัดอ่านแบบวิเคราะห์แจกแจงรายละเอียด สนใจจะอ่านเองไหมล่ะ ข้าเจ้าจะได้ร่อนฝากสายลมไปให้ สนมั้ย? สนมั้ย? ... สนมั้ย? สนมั้ย?

    หากยังตัดสินใจไม่ได้เอาคำโปรยปกหลังไปช่วยตัดสินใจซะหน่อยเป็นไร

    'ต้นร่างนวนิยายสองเรื่อง ของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เป็นกรณีศึกษาในประเด็นความคิด การคลี่คลายบางประการในการสร้างงานเขียน จากชุดภาษาที่หนักแน่น "แผ่นดินอื่น" สู่ "(นิยายรัก) ฤดูร้อน" ที่ใช้ชุดภาษาเรียบง่าย งดงามแบบกวีที่ยังเติมความคิดสอดใส่อย่างเหมาะเจาะ สวยงาม

    งานชิ้นนี้จึงเป็นกรณีศึกษาในการพินิจงานและพัฒนากาารของนักเขียนหนุ่มคนนี้อย่างมีนัยสำคัญ'

    ไง? ตัดสินใจได้ยัง? แต่หากอ่านคำโปรยก็แล้วยังไม่ทำให้ท่านนึกอยากอ่านเอง (ก็เข้าใจนะว่า เอาเวลาที่อ่านหนังสือเล่มนึงไปอ่านการ์ตูนได้ตั้งหลายเล่มแน่ะ) ข้าเจ้าก็จะยอมกระดิกหางอึ่งให้ดูอีกรอบก็ได้ แต่ท่านรู้อะไรไหม ข้าเจ้ากระดิกหางทีนึงมันก็กุดไปนิดนึงจนตอนนี้ไม่มีอะไรจะให้กระดิกอยู่แล้ว ไม่คิดจะสงสารกันมั่งเหรอ?(เอาไปอ่านเองเถอะนะ ได้โปรด...!)


    ด้วยความเคารพ

    ปล๑.แวะเข้าไปซ่อม'ห้องพัก'ให้ด้วยนะท่าน ช่วงนี้ฝนตกทุกวันเลย

    ปล๒.เรื่องสั้นโต้ 'เพียงรัก' นั่น เขียนเสร็จแล้วอย่าลืมเอามาลงให้อ่านกันนะ ไม่ลงในสำนักเอามาแปะไว้ฝาขนำก็ได้ ข้าเจ้าอยากอ่าน

    ปล๓.เคยเจอประโยคคล้ายแบบนี้ที่ใหนสักที่เมื่อนานมาแล้วทำนองว่า 'หากต้องการสื่อสารโดยผ่านงานเขียน ควรเลือกเขียนเพื่อสื่อสารกับคนเพียงคนเดียว' รูปประโยคอาจไม่ถูกต้องเป๊ะ แต่ความหมายนี้ฝังในหัวข้าเจ้าอยู่เสมอ

    ปล๔.สหายหนอน 'ท่านสันลมจอย' ไปทิ้งคำถามไว้ในกระทู้ 'กล่อมกลอน : เช้านี้' ข้าเจ้าเพิ่งผ่านไปเจอ

    "ธุลีดาว เป็นอะไรกับ ธุลีดิน
    สังสัยจัง"

    เห็นทีคงต้องจัดงานแถลงข่าว ประกาศความสัมพันธ์กันซะแล้ว ท่านว่าไง?

    :)

    คารวะ

    ตอบลบ
  10. โห..ท่านนันยาง ไม่ใคร่ได้เจอกัน(นาน) นี่ท่านกลายเป็นนักเขียนดังไปแล้วหรือ(ปลื้มใจจังเลย)...ว่าแต่ขอลายเซ็นให้รองแตะหน่อยได้ไหมท่าน..อิอิ

    ตอบลบ
  11. สวัสดีค่ะ ท่านธุลีดิน

    ^^
    ยินดีด้วยกับการข้ามเขตแดนแห่งการทดลองมาได้

    รางวัลชมเชย
    ที่ได้เชยชม
    คงจะเก็บไว้เป็นกำลังใจ (เนอะ)

    เคยไปลองเข้า (บล็อกของท่าน) ที่ไหนสักแห่ง
    แต่... ^^
    เคยตามมาดูแถวๆ นี้ ก็ยิ่งงงหนัก
    เพราะว่า ไม่มี blogspot เป็นของตัวเอง

    แต่วันนี้ ต้องทำ blogspot จนสำเร็จเพราะอยากบอก...
    ^^ ยินดีด้วยนะคะ

    คารวะ

    ภัทรรานี

    ตอบลบ