๒๖

once5

สงโคมยักย้ายส่ายไหวนำหน้าฝีเท้าเนิบนุ่ม ใต้ฝ่าเท้าเป็นพื้นศิลาตะไคร่คลุม ทุกย่างก้าวจึงต้องระมัดระวังรักษาการทรงตัวยิ่งยวด  กลิ่นอับชื้นเฉียวจมูกอยู่ชั่วระยะ จนผ่านเลี้ยวที่สามจึงค่อยบรรเทา (อาจเป็นด้วยจมูกเริ่มชิน) อุโมงค์ก่ออิฐสูงพอดีพ้นศีรษะ กว้างเลยสองไหล่ไม่ถึงช่วงแขนหากสองคนเดินยังต้องตามกัน  ยิ่งเดินมาลึกเหมือนอากาศจะสูญจนสิ้น สองหูอึงอื้อคับพองคล้ายหม้อดินเมื่อเดือด ฝากำลังจะกระดอน  เร่งสาวเท้า  แสงโคมจากระดับเข่าเลื่อนไล้ไล่เงามืดไปบนผนังอิฐ  เลี้ยวซ้าย มุสิกตัวหนึ่งตื่นตกใจวิ่งผ่านหน้า ชะงักฝีเท้าแล้วค่อยก้าวต่อ เลี้ยวขวา แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้งจึงมาสุดทาง  โคมถูกยกขึ้นระดับสายตาก่อนแขวนไว้บนผนัง  ประตูไม้บานหนายืนสงบนิ่งซ่อนเงาตรงหน้า ยื่นมือเคาะสามครั้ง ทอดจังหวะเว้นไว้สามครั้งและเคาะอีกสามครั้ง  เสียงก้องกังวานสะท้อนทอดหายไปในอุโมงค์  

ยินเสียงสลักกระทบกัน  แสงอัจกลับกลิ่นกระวานกานพลูพวยพุ่งออกมาทันทีที่บานประตูเผย

นังพิศนางกำนัลวัยเลยกลางคน นมหลามแทบล้นพ้นขอบสไบยืนแย้มคราบฟันคล้ำเรียงซี่ยิ้ม  ผู้มาก้าวเท้าเข้าภายใน ไร้ถ้อยคำ กระทั่งสายตาใบหน้าก็หาเขยื้อน  นังพิศผลักบานประตูปิดปัง สีหน้ากระเง้ากระงอด

"ดูดู๋ เรารึอุตส่าห์มาคอย จะขอบใจสักคำ ยิ้มสักรอยหามี"

ผู้มาไม่โต้ตอบสาวเท้าตรงไปตามช่องทางเดิน  อัจกลับแขวนสลับสองฝั่งฟากผนังอิฐถือปูน  ก้าวขึ้นขั้นบันได วกหักศอกช่วงกลาง อีกสี่ห้าขั้นถึงโถงกว้างกระดานไม้เรียบลื่นสะท้อนเงาแสงเป็นมัน  อากาศโปร่งโล่งจมูก สูดหายใจลึก ก้าวตรงยังประตูไม้สักขอบสลักลาย ย่อตัวคุกเข่าชิดกายข้างขอบประตู  นังพิศกุลีกุจอจ้ำตามมานั่งลงตรงข้าม ขยับสไบเข้าที่ เม้มริมฝีปากยักย้ายปรายตาส่งค้อนค่อยยกมือเคาะประตู

"พระยามหาเสนาถึงแล้วเจ้าค่ะ"

"ให้เข้ามา" น้ำเสียงชราแห้งแหบ ทว่า..ทรงอำนาจ

นังพิศผลักบานประตูเผยห่างออกจากกัน  ผู้มายืดกายในท่านั่งสองมือเท้าเข่าข้ามธรณีประตูคลานเข้ากระทำการคารวะ  หญิงชราผิวกายซีดขาวอาบแสงอัจกลับเกิดร่องเงาร้อยพันเหลื่อมรอยยับย่น  ยี่พู่ดิ้นทองสะท้อนวาววับแวว  กลิ่นหอมอ่อนของพฤกษานานาพรรณอบอวล ไม่ใช่กลิ่นชื่นของไม้สดแต่เป็นกลิ่นแห้งของไม้เหี่ยวที่น้ำหล่อเลี้ยงชีวิตระเหยหายสิ้น  กระนั้นยังคงกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง เป็นกลิ่นหอมทอดยาวผ่านกาลเวลาจนกว่ากลีบใบกร่อนร่อนโรยไปตามธรรม

"หลานสไบทองของฉันคงเต็มเนื้อสาวแล้วกระมัง?" วางจีบพลูลงบนตลับเชี่ยนหมากทองคำ หยิบภูษาซับมุมปาก

"ขอรับ" พระยามหาเสนาก้มตอบสายตามองพื้นตำหนักขัดมัน

"ทางพ่อแม่เขาว่ากระไร?"

"เมื่อแรกแม่ครูอิดออดบอกว่าหลานยังเด็กนักน่าจะรอเวลาอีกสักปีสองปี"

"เยี่ยงนั้นหรือ?"

"ขอรับ..พ่อครูแย้งว่าแล้วแต่พระมาตามหายิกาเจ้าจะเห็นสมควร แม่ครูจึงนิ่งไป"

"บาปกรรม..บาปกรรม" หญิงชราส่ายหน้ารำพึง "พรากลูกนกลูกกาจากอกแม่ ฉันคงอายุสั้นลงอีกไม่น้อย" กล่าวถามว่า "พระยาท่านพบหลานสไบทองแล้วกระมัง?"

"ขอรับ"

"รูปโฉมโนมพรรณเป็นอย่างไรบ้าง?"

"งามขอรับ" พระยามหาเสนากล่าวตอบ "งามราวเทพอัปสรจุติมา ดวงตาสีอ่อนจางชวนมองไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไป เรือนกายหอมรินน่าอัศจรรย์ สมแล้วกำเนิดมาในราชนิกูล"

หญิงชราเยื้องยิ้มวงตาลึกวาวประกาย ได้เวลาแล้วสินะ ใบหน้าสั่นงกก้มลงกล่าว

"พระยาท่านเร่งนำคนไปรับตัวนางมาให้เร็ววัน อย่าได้เกินเดือน"

"แต่ทางนี้.." พระยามหาเสนาอ้ำอึ้ง

"เหตุการณ์ทางนี้ใกล้สุกงอม พระเฑียรนำกองทะลวงฟันเข้าวัง  แค่รอเพลาเหมาะพระไชยคงลงมือยึดอำนาจ"

"แต่หากพระไชยทำไม่สำเร็จ?"

"เกรงไปไย" นางเท้าแขนยันกายกล่าวน้ำเสียงขึง "ต่อให้พระไชยตระบัดสัตย์ซัดทอดมาที่ท่านก็ไม่มีหลักฐาน  อีกช่วงเวลาวุ่นวายท่านหาได้อยู่ในพระนคร อ้างเหตุออกไปราชการต่างเมือง ปล่อยให้คนทางนี้ฆ่าฟันกัน" ยกกระโถนทองขึ้นรับน้ำหมาก "จอมพรานขมังไพรนอนรอเสือติดจั่นมิพักเปลืองแรงออกล่า..ที่สำคัญ" ก้มลงกล่าวเสียงสั่น "พาคนไปให้พอ นำหลานสไบทองมาโดยสวัสดีอย่าให้มีริ้วรอยขีดข่วนเป็นอันขาด! เร่งไป"

"ขอรับ" พระยามหาเสนากระทำการคารวะ เดินเข่าใกล้ถึงประตูก็ยินเสียงแหบพร่าจากด้านหลัง

"แจ้งข่าวพระไชย มีเรือสินค้าโปรตุเกสผ่านปากน้ำเข้ามา อีกวันสองวันคงถึงอโยธยา"

พระยามหาเสนาหันรับคำ "ขอรับ" กระทำการคารวะอีกครั้งแล้วเอื้อมมือเคาะบานประตู

ซี่ฟันคล้ำคราบน้ำหมากฉีกยิ้มแต่แล้วต้องหุบในทันใดเพราะผู้มาฉวยโคมได้หันออกเดินมิร่ำลา  นังพิศปากขมุบขมิบมองเงาหลังลับหายไปในหลืบอุโมงค์

๒๗

วันถัด พิราบขาวบินเกาะขอบหน้าต่างตำหนัก พระเฑียรรวบปีกมันไว้

๒๘

กำแพงเมืองบริเวณหน้าป้อมเพชรเป็นจุดที่แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำป่าสัก สายน้ำใหญ่ทั้งสามบรรจบกัน เป็นที่ชุมนุมของเรือสินค้าจากชาติตะวันตกและสำเภาชาวจีน  สองฝั่งลำน้ำทั้งฟากป้อมเพชรซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่และฝั่งตรงข้ามคือท่าวัดพนัญเชิงเต็มด้วยเรือหลากชนิดจอดเรียงขนัด  มีเรือขนถ่ายสินค้าพายสวนกันอยู่ขวักไขว่ไปมา  สินค้าทั้งหมดจะถูกลำเลียงขึ้นท่า จัดทำบัญชีโดยเจ้าหน้าที่พระคลังมหาสมบัติของราชสำนักก่อนจำหน่ายไปยังตลาดต่าง ๆ ทั่วพระนคร          

คลื่นน้ำกระเพื่อมระลอกอยู่ไหว ๆ ฝูงนางนวลบินล้อมเสากระโดงสำเภาใหญ่จอดทอดสมอกลางลำน้ำ บ้างโฉบผิวน้ำกระเซ็นคาบปลาดิ้นเร่าติดจงอยปากขึ้นมา  ลมตะวันตกพัดแรง ผืนธงสีเขียวแดงปลิวไสวอยู่ยอดกระโดงเรือ

สะพานท่าน้ำสำหรับจอดเรือลำเลียงสินค้าใช้ลำตาลทั้งต้นเป็นเสา ปูไม้กระดานกว้างทอดยาวเข้าในลำน้ำ  เรือกรรเชียงลำหนึ่งตัดลำน้ำตรงยังสะพาน  พระยายมราชผู้สำเร็จราชการพาร่างอุ้ยอ้ายมายืนรอรับโดยมีพระยาจักรีสหายคู่คิดยืนข้าง  ทหารองครักษ์คอยกันให้พวกกุลีที่กำลังขนถ่ายสินค้าเลี่ยงห่างออกไป

ในเรือกรรเชียงมีชายผิวขาวสวมหมวกปีกกว้างสามคน ล้วนแต่งกายอย่างชาวตะวันตก  ผู้สำเร็จราชการยิ้มมองเรือใกล้เข้ามาสายตาเลิ่กลั่กเหลือบมองรอบข้าง เอียงคอกระซิบสหายคู่คิด

"ท่านคิดว่ามันจะโผล่มาหรือไม่?"

"ไม่แน่" พระยาจักรีกวาดตามอง สะพานท่าน้ำเต็มด้วยกุลีแบกสินค้า พ่อค้าแม่ค้าที่นำเรือเล็กมาเทียบ "หากพระไชยแฝงกายอยู่นอกกำแพงพระนครจริง  ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่สุดแล้ว"

"แผนล่อเสือออกจากถ้ำของท่าน ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อเยี่ยงนี้" เรือกรรเชียงใกล้เข้ามา กัปตันเรือชาวโปรตุเกสโบกมือทักทาย  พระยาผู้สำเร็จราชการโบกไม้โบกมือตอบ "ดูจะเสี่ยงไปสักหน่อยนา"

"กองทหารล้อมสถานที่นี้ไว้แน่นหนา หากมาจริง พระไชยไม่มีทางรอด" พระยาจักรีกล่าว

กุลีผู้หนึ่งแบกลังสินค้าตรงยังพระยาทั้งสอง  ทหารองครักษ์ยันผลักไปอีกทาง กุลีผู้นั้นเสียหลักซวนเซ ครั้นประคองลังสินค้าได้หันกลับมาทิศทางเดิม  ทหารองครักษ์ชักดาบออกขวาง  กุลีผู้นั้นทุ่มลังสินค้าใส่แล้วเตะซ้ำ ทหารองครักษ์หงายหลังตกจากสะพาน  กุลีอีกสองคนทุ่มลังสินค้าใส่ทหารองครักษ์แล้วแย่งดาบ โจนหาผู้สำเร็จราชการ

พระยาผู้สำเร็จราชการลนลานตะโกนเสียงสั่น

"จับมันไว้! จับมันไว้ให้ได้!"

ทหารที่ซุ่มอยู่บริเวณท่าน้ำกรูออกมาบนสะพาน  ผู้คนแตกตื่นวิ่งหนีอลหม่าน  พวกองครักษ์กันสองพระยาไว้  กุลีทั้งสามควงดาบฟาดฟันทหารองครักษ์ร่วงหล่นจากสะพานทีละคนสองคนจนประชิดตัวพระยาผู้สำเร็จราชการ  พระยาเจ้าเนื้อเหงื่อกาฬโซมกายลมหายใจติดขัดเมื่อสบประกายตาเปี่ยมพลังอำนาจ เผลอร้องอุทาน

"พระไชย!"

จอมขัตติยาหนุ่มในคราบกุลีท่าเรือขณะสะบัดดาบฉวัดเฉวียน ดวงตาเแดงก่ำจ้องมายังร่างพระยาผู้สำเร็จราชการ ดาบที่เคยแต่กำราบอริราชศัตรูบัดนี้ต้องหันคมทำร้ายเลือดไทยด้วยกันเพราะคนผู้นี้  จอมทัพหนุ่มเร่งกระแสดาบมุ่งยังทรราชปล้นแผ่นดินหมายสยบมันไว้ให้เร็วสุด  พลันเสียงปืนดังสนั่น กระสุนแหวกอากาศผ่านหน้า เสียงหวีดอึงสะท้านแก้วหู พระไชยชะงักร่างเหลียวมองต้นเสียง

กัปตันเรือชาวโปรตุเกสกำลังบรรจุกระสุนขณะอีกคนประทับปืนเตรียมยิง

พระไชยยืนเป็นเป้านิ่ง

กุลีผู้หนึ่งซัดมีดสั้นสุดแรง ใบมีดหมุนคว้าง แล้วพุ่งปักไหล่ลูกเรือชาวโปรตุเกส ปืนกระเด็นตกน้ำ  กุลีผู้นั้นพุ่งตัวจากสะพานในทันที  ยินเสียงกัปตันตะโกนสั่ง พลแจวเบี่ยงหัวเรือหันกลับเรือใหญ่

ชั่วขณะพระไชยชะงัก  พวกทหารองครักษ์ก็กรูเข้ารายล้อม แต่ต้องถอยร่นไม่อาจต้านดาบของคนทั้งสาม  พระยาผู้สำเร็จราชการตะโกนปากสั่นคอสั่น

"จับมันไห้ได้! ไม่ว่าเป็นตาย จับให้ได้!"

พระไชยสะบัดดาบฟันแขนองครักษ์ผู้หนึ่ง ดาบมันร่วงหลุดจากมือ ใช้สันดาบฟาดต้นคอ องครักษ์ผู้นั้นล้มลง พระไชยตวาด

"พอ!" น้ำเสียงเปี่ยมพลังอำนาจประดุจสีหราชคำราม "อย่าให้เลือดไทยต้องนองไปกว่านี้!"

พวกทหารองครักษ์ยินน้ำเสียงถึงสะดุ้ง  ครั้นเห็นใบหน้าชัดเจน มือไม้พลันแข็งทื่อแทบไม่อาจขยับก้าว ปากร้องลืมตัว

"พระไชย"

เสียงอุทาน 'พระไชย' ถูกส่งต่อจนระงม พวกทหารกำดาบนิ่งไม่กล้าขยับกาย พระยาจักรีขณะร้อนรนพลันฉุกคิดตะโกนออกไป

"พระไชยขบถแล้ว เร่งจับตัวไว้!"

พวกทหารลังเลยังไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว เกรงอำนาจผู้สำเร็จราชก็เกรง แต่กิตติศัพท์นักรบหาญกล้า จอมทัพเกรียงไกรสยบเจ็ดหัวเมืองฝ่ายเหนือของพระไชยใครเล่ากล้าประดาบ! 

พระยาจักรีตวาดซ้ำ "มันผู้ใดใจขลาด ไม่กำจัดเสี้ยนหนามแผ่นดินมีโทษฐานขบถ!"

พวกทหารมองหน้ากันไปมา ค่อย ๆ เขยิบหา พระไชยจ้องมองเลือดไทยเบื้องหน้าประกายตาแดงก่ำเต้นริก ดาบในมือสั่นสะท้าน ขุนพิเรนทร์กับเจ้าศรียืนอารักขาข้างกายกระชับดาบเตรียมแลกชีวิต

"วางดาบ!"

มีเสียงตะโกนจากด้านหลัง เป็นเสียงสตรี พวกทหารหันขวับไปมอง สตรีแน่งน้อยในชุดนักรบสะพายดาบคู่ยืนเท้าสะเอว มีชายฉกรรจ์ร่วมร้อยถืออาวุธยืนกระจายปีกออกสองข้างเว้นระยะห่างเทียมกันแทบไม่พลาดสักกระเบียด  พวกทหารจำนวนมากกว่ากลับอัดกันอยู่บนสะพานถูกคนจำนวนน้อยยืนล้อม เสียงสดใสตวาดอีกว่า

"มันผู้ใดวางดาบ เราจะไว้ชีวิต!"

กล่าวจบก้าวเท้ายังพวกทหารไม่สะทกสะท้าน  พระยาจักรีเห็นนางระยะใกล้เบิกตาลุกโพลง "พระสุริโยทัย!"

เสียงขานนาม 'พระสุริโยทัย' ระงมไปในหมู่ทหาร พากันวางดาบลงกับพื้น แหวกทางให้นางผ่าน  พระยายมราชเหงื่อกาฬท่วมตัวเข่าอ่อนทรุดกายลงส่งเสียงร่ำไห้  เจ้านางน้อยราชวงศ์พระร่วงก้าวตรงยังเบื้องหน้าพระไชย ยอบกายราบกราบลงกับพื้นอย่างสตรีชาววังพึงกระทำ  พวกทหารที่ยืนตะลึงจึงได้คุกเข่าถวายบังคมจอมขัตติยาหนุ่มผู้หวนมาทวงคืนเศวตรฉัตรมหานคราอโยธยา

ขุนพิเรนทร์อ้าปากค้างคิดไม่ถึงได้พบน้องนางร่วมราชวงศ์ในสถานการณ์เยี่ยงนี้  ส่วนเจ้าศรียิ้มน้อยยิ้มใหญ่เผลอจะคลานเข้าไปหาแต่ต้องชะงักไว้  พระไชยเม้มริมฝีปากเขม้นมอง นึกเอ็นดูเจ้านางน้องสะใภ้ผู้นี้นัก กายหญิงแท้ใจสิหาญกล้าไม่แพ้อกสามศอก กล่าวถามไปว่า

"สถานการณ์หมิ่นเหม่อันตราย เจ้ามาได้อย่างไร จิตราวดีอนุญาตให้มารึ?"

เจ้างามในร่างนักรบเหลือบเนตรมองห่อริมฝีปากกรอกตาครุ่นคิดก่อนเอ่ยวาจา "ทูลแล้วอย่าลงทัณฑ์นะมังคะ"

พระไชยแย้มสรวล "เอาเถอะ เจ้าบอกมา"

"หม่อมฉันทิ้งหนังสือแจ้งพี่จิตราวดีแล้วแฝงมากับพวกตะพุ่นมังคะ"

พระไชยสดับแล้วนิ่งอึ้ง  เจ้านางน้อยหัวใจเร่าระรัวเกรงโทษทัณฑ์ ยินเสียงพระไชยหัวร่อ

"เล็ดลอดหูตาพระเฑียรมาได้นับว่าเจ้ามีความสามารถ"

"ถูกจับได้ที่พระบางมังคะ" พระสุริโยทัยเสียงอ่อย "พระเฑียรเห็นว่ามาครึ่งทางแล้วเลยปล่อยให้มาด้วย"

"ก็แล้วนี่พระเฑียรไปไหนเสีย?"

ยินคำนี้เจ้าขุนทัพคู่พระทัยถลึงตาคอยฟัง ใจนั้นใคร่ซักเสียแต่แรกปะ แต่ก็เกรงไม่สมควร  นึกอยากฝากคมดาบสั่งสอนพระเฑียรสักหลายแผล  นำพานางน้องมาในขณะที่ความเป็นตายแค่พลิกฝ่ามือ ไม่พอยังปล่อยให้คุมกองทะลวงฟันมาแลกชีวิต  คิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจไยพระเฑียรทำเยี่ยงนี้ เจ้าขุนทัพนั่งถลึงตาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกอยากกระทืบอนุชาผู้เป็นนาย เจ้านางน้อยตอบคำ

"พระเฑียรถูกเฝ้าดูตลอดเวลา ไม่มีใครสนใจตะพุ่นเกี่ยวหญ้า หม่อมฉันจึงอาสานำกองทะลวงฟันออกมา"

พระไชยพยักพักตร์ "ขอบใจเจ้ามาก" เจ้านางน้อยรับคำก้มพักตร์อมยิ้มแก้มเรื่อ  จอมขัตติยากวาดตามองผู้คนทั้งนั้นแล้วหันบอกกับขุนพิเรนทร์

"ลุกขึ้นเถิดเพื่อนตายของข้า"

ขุนพิเรนทร์ขยับลุกคนทั้งหมดจึงกระทำตาม

"จริงสิ" พระไชยมองหา "กุลีผู้นั้นเล่า?"

"ทางโน้นพะยะค่ะ" ขุนพิเรนทร์ทูล

กุลีผู้นั้นตะเกียกตะกายปีนกลับขึ้นสะพาน งมได้ปืนของชาวโปรตุเกสติดมือมา กระเซิงผมเปียกยาวลู่ปรกใบหน้า เดินมาหยุดมองพวกทหารด้วยความฉงน

พระไชยส่งดาบในมือให้ขุนทัพคู่พระทัย หันกล่าวกับกุลีผู้นั้น "เจ้าช่วยชีวิตเราไว้" 

"เจ้ากล้าหาญมากที่คิดเล่นงานไอ้พระยาพุงพลุ้ยนั่น" กุลีผู้นั้นกล่าว "ลูกเมียข้าตายสิ้นเพราะโรคระบาด มันไม่เคยคิดช่วยเหลือเหลียวแล  ข้าอยากจะฆ่ามันวันละร้อยหน หากไม่เพราะเจ้าลงมือตัดหน้า มีดสั้นของข้าก็ต้องดื่มเลือดมัน"

"เจ้าชื่ออะไร?" พระไชยถาม

"ข้าชื่อเสน่ห์ อยู่ท้ายวัดพนัญเชิง เจ้าเล่าชื่อไร รู้จักกันไว้จะได้คบหาเป็นสหาย"

"พระองค์คือพระไชย" ขุนพิเรนทร์กล่าว "อุปราชผู้ครองพระพิษณุโลกสองแคว"

กุลีผู้นั้นไม่เชื่อหูตนเอง ลูบน้ำบนใบหน้าเหลียวมองผู้คนรอบข้างเห็นทุกคนนิ่งสงบอยู่ หันกลับมองคนตรงหน้า แล้วพนมมือย่อตัวสู่พื้น พลันเห็นปืนในมือรีบวางลง

"ยังมีพระยาสีหราชเดโชรักษาการณ์ในพระนครจะทำประการใดดีพะยะค่ะพระองค์" ขุนพิเรนทร์ทูลถาม

"เราจะเข้าพระนครโดยเปิดเผย"

"กองทหารล้อมวังเล่าพะยะค่ะ?"

"เลือดไทยจะต้องไม่อาบดาบไทยอีก เพื่อนตายของข้าจงวางใจ"

ขบวนเสลี่ยงพระยายมราชผู้สำเร็จราชการเคลื่อนกลับเข้าพระนครดุจเดียวกับขามา มีกององครักษ์คุ้มกันแน่นหนาทั้งหน้าหลัง  บนเสลี่ยงพระยายมราชนั่งร่ำไห้ไม่อับอายผู้คน ส่วนพระยาจักรีนั่งตาลอยกายแข็งทื่อคล้ายสิ้นลมหายใจไปแล้ว  ลุเขตวังหลวง พระยาสีหราชเดโชออกมาต้อนรับ ถูกจับตัวในทันที

หนึ่งเดือนต่อมาจึงสำเร็จโทษพระยายมราชและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมด

ปลายศักราช ๘๘๕ มะเมียศก (พ.ศ.๒๐๗๗) ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ พระไชยปราบดาภิเษก เสด็จผ่านพิภพมไหศวรรยาธิปัติเถลิงถวัลยราชสมบัติกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา เฉลิมพระนามสมเด็จพระไชยราชาธิราช

๒๙

ทั่วท้องพระโรงก้องเสียงแตรสังข์บัณเฑาะ  หมู่เสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตหมอบนิ่งสะกดกลั้นลมหายใจ เหลือบมองเงาหลังตัวแทนราชวงศ์ละโว้-อโยธยาคุกเข่าเทิดพระขรรค์แทบบาทองค์กษัตริย์เหนือราชอาสน์ 

น้ำเสียงกังวานใสดุจระฆังเงินถวายบังคมทูล "พระขรรค์นี้ได้มาจากท้องทะเลสาบแห่งหนึ่งในเขตกัมพุชประเทศ ส่วนสัดงดงามปานเทวาอารักษ์สรรสร้าง ควรคู่พระหัตถ์มหาราชนักรบผู้อยู่เหนือมหาราชาทั้งปวง" 

พระขรรค์หุ้มทองคำสลักลายกนกประดับอัญมณีสะท้อนประกายวาววับ

"ที่แท้เป็นสตรี" พระไชยเจ้าเท้าแขนขวาลงเหนือเข่า "ส่งมาให้เรา"

ตรัสแล้วโน้มองค์ ตัวแทนราชวงศ์ละโว้-อโยธยาขยับกายสองมือส่งพระขรรค์ขึ้น

"เงยหน้าสิ"  

ตัวแทนราชวงศ์ละโว้-อโยธยาเลื่อนวงพักตร์  ดวงตาสีน้ำผึ้งค่อยช้อยมองสบเนตรองค์กษัตราธิราชเจ้า 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น