newyear2007 นับหนึ่งมกราฯ ครั้งที่สองพันห้าร้อยห้าสิบสามสวัสดิ์ขอรับท่านเจ้าสำนัก

รื้อ Writer ร่วมสิบเล่มมานั่งพลิกดู เดินทางย้อนเวลาไปแวะเยือนเรื่องราวเก่า ๆ พลิกไปพลิกมาตั้งแต่ปกหน้ายันปกหลัง ปกหลังยันปกหน้า พินิจภาพวาดสีน้ำท่านเจ้าสำนักหอนบนปกฉบับกุมภาฯ ๒๕๓๕ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองประกายตา ริ้วรอยตีนกา เส้นหนวด เงาเครา เงาผม กระทั่งรอยหยักยับย่นบนผิวหนัง (ฝีมือสีน้ำของอุกฤษฉมังนัก ข้าพเจ้าเคยดั้นด้นไปหาเจ้าตัวด้วยอยากรู้เทคนิค คิดจะขอติดตามไปดูตอนทำงาน เห็นท่านอ้ำอึ้ง ก็รู้ว่ารบกวน จำยอมถอยทัพ ตอนนั้นยังเยาวเรศแรกรุ่น หากเป็นตอนนี้จะสวมวิญญาณเล่าปี กวนให้สุดฤทธิ์ ไม่มีเกรงอกเกรงใจกันเทียว หนักนักก็จะแปลงร่างเป็นสมาชิกพรรคกระยาจกไปด้อม ๆ มอง ๆ) พลิกดูด้านใน กวาดตาตั้งแต่รายชื่อทีมงาน ที่ปรึกษา สถานที่ตั้ง กองบรรณาธิการ พิสูจน์อักษร โรงพิมพ์ จัดจำหน่าย นั่งอ่านบทนำ จดหมายจากผู้อ่าน จนคอลัมน์ เรื่องสั้น บทกวีต่าง ๆ ข้างใน

เรื่องราวเวียนฉายเหมือนหยิบ Somewhere In Time เสียบเข้าเครื่องเล่น

สุข เศร้า คละเคล้าปะปนประสาอารมณ์ปุถุชน  บางท่านเคยเค้าว่ารุ่งโรจน์โชติช่วงเหนือโพยมบรรณภพกลับจากลับประดุจสายดาวตกฟาดฟ้า  หลายท่านยังดำรงครรลองชีวิต เติบโตบนเส้นทาง (แน่ล่ะ สูงวัยขึ้น) และอีกหลายต่อหลายท่านสูญหายไร้ร่องรอย  ได้เห็นอาจารย์เนาว์ครั้งเส้นผมยังดกดำหล่อเหลาไม่ทิ้งลายพระอภัยฯ ท่านเจ้าสำนักหอนครั้งไว้ผมลานบินเคราครึ้มเข้ม ท่านเจ้าสำนักหนอนครั้งรอบเอวยังสามสิบสอง (ผมทรงเดิม) ได้พบท่านเช็คเมื่อยังสร้างสรรค์ 'เจาะใจ' ท่านเวียง ครั้งยังไม่มีสมัญญา 'ดอน' นำหน้าชื่อเช่นปัจจุบัน  ชีวีชีวายังไม่เป็นบอสใหญ่

อ่านกวีนิพนธ์ชิ้นหนึ่งซึ่งมั่นว่าหากย้อนเวลาไปช่วง Writer เล่มนี้วางแผง ข้าพเจ้าต้องผ่านตา  แต่ไม่อาจจดจำนามผู้เขียน (เพราะอ่านจบก็ไม่รู้เรื่องเหมือนบทกวีชิ้นอื่น ๆ (หัวไม่ถึงน่ะขอรับ))

วันนี้มองอีกครั้งจากเวลาปัจจุบัน นามผู้เขียนเปล่งรัศมีแทบว่าจะลอยขึ้นเหนือหน้ากระดาษปรู๊ฟน้ำตาลไหม้  ช่องว่างระหว่างรู้จักกับไม่รู้จักกินเวลากว่าสิบปี เป็นเวลาของการเดินทางต่อเนื่องยาวนาน

ความรู้สึกชนิดหนึ่งก่อตัวเป็นเปลวไฟดวงน้อย เปลวไฟซึ่งใช้อุ่นซุปอักษรที่ข้าพเจ้านั่งปรุงหมั่นคนมาร่วมสี่ปี

วันที่ ๕ นี้ก็ครบสี่ปีเต็มแล้วขอรับ สี่ปีที่ย่างปลายนิ้วเข้ามาฝากกายใต้ชายคาสำนัก  กระดึ๊บตามร่องเท้าเล็ก ๆ ซึ่งท่านทิ้งรอยไว้  ครั้นจะเดินแถออกนอกทางก็เกรงเป็นอาหารนกกา ไม่ก็สะเปะสะปะสาละวันเดินวนกี่ปีก็ยังไม่ไปไหน  อย่ากระนั้นเลย ส่องกล้องเล็งท่านเจ้าสำนักไว้แล้วค่อย ๆ กระดึ๊บตามนี่แหละ

เหมือนเจ้าเด็กสวมแว่นดำที่ชอบขี่ซาเล้งในเรื่องหนูน้อยอาราเล่ปั่นตามรถสิบล้อเลยขอรับ

เหนื่อยลิ้นห้อย ยิ่งปั่นยิ่งถูกทิ้งห่าง เผลอแผล็บงานนิยายท่านออกวางแผง เผลออีกแผล็บรวมความเรียง อีกแผล็บเรื่องสั้น ขณะข้าพเจ้านั่งเง็งกับเรื่องหัดเขียนไม่รู้ตอนต่อจะเอาไง นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ใช่ ยึกยักอยู่อย่างนั้นเดี๋ยววันเดี๋ยวเดือน นิยายท่านลงมติชนฯ อีกแระ

ใช่จะไม่เจียมตัวเป็นเต่าน้อยริวัดฝีเท้าซีต้าร์ดอกนะขอรับ เพียงมั่นหมายไว้ว่าเมื่อยอดพยัคฆ์ย่างก้าวหนึ่ง เจ้าเต่าก็สมควรออกหนึ่งก้าว แน่ล่ะระยะฝีเท้าไม่มีวันเทียมทัน แต่อย่างน้อยก็สมควรฝึกก้าวเดิน 

ฝึกมาจวนครบสี่ปีก็ยังทำไม่สำเร็จ  ย่างเข้าปีที่ห้า พอจับเค้าว่าท่านเจ้าสำนักจะต้องมีเล่มใหม่ลงงานหนังสือฯ ต้นปีและท้ายปีเป็นประจำ เยี่ยงนั้นเจ้าเต่าก็จะขอกำหนดฝีเท้าติดตาม เขียนนิยายให้ได้ต้นปีหนึ่งเรื่อง ปลายปีหนึ่งเรื่อง จะเป็นเรื่องสั้นยาวซังกาบ๊วยอย่างไรไม่เป็นไร แค่นิยายฝึกเขียน เขียนไปเขียนไปต้องเขียนเก่งสักวัน (ล่ะนา)

เป็นแผนของปีนี้ขอรับ กำหนดแผนแล้ววางลง จากนั้นจะขอเพลินเขียนไม่กดดัน ไม่บีบคั้น เพื่อผ่านวันเวลาชีวิตโดยอักษรสวัสดิ์ดังตั้งใจ

วันสิ้นปีข้าพเจ้าไม่ออกไปฉลองปีใหม่ ไม่เคาท์ดาวน์ เพื่อตื่นเช้าเขียนหนังสือตามกิจวัตร เพื่อกำหนดให้ใจรู้ว่าเรื่องอะไรสำคัญกับชีวิต  หนทางนั้นทอดยาวไกล  ข้าพเจ้ามิได้คิดเดินหาจุดหมายใด เพียงรื่นรมย์ไประหว่างทาง อีกทั้งตระหนักแล้วว่าผู้ล่วงหน้าที่เราพบเห็น รู้จักอยู่ในวันนี้ท่านเดินทางมาแล้วยาวไกลเพียงไร  แค่สี่ปีจะนับว่ายาวนานอันใด..(กวีไร้กิตติศัพท์เจ้าของกวีนิพนธ์ที่ข้าพเจ้าอ่านไม่รู้เรื่องในวันนั้นคือเฮียหมี่ของน้อง ๆ ในวันนี้)

พลิกถึงรองปกหลัง ๑๐ อันดับหนังสือขายดีประจำเดือนมกราคม (ปี ๒๕๓๕) ๑ ติโต : พระราชนิพนธ์แปลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ๒ เวลา : ชาติ กอบจิตติ ๓ โทษฐานที่รู้จักกัน : อุดม แต้พานิช ๔ ขอให้รักเรานั้นนิรันดร : ประภัสสร เสวิกุล

เลยถึงปกหลังด้านใน เป็นปก Writer เล่มเก่าขายลดราคา ภาพ Portrait หลากนักเขียนฝีมือสีน้ำของอุกฤษที่ล้วนน่าเก็บรักษา

ปิดหนังสือวางลง

Writer ไม่อยู่บนแผงอีกแล้ว เช่นเดียวกับท่านบอกอหนวดจิ้งหรีด อดีตเป็นเหมือนเรื่องล้อปัจจุบัน คล้ายมี คล้ายไม่มี  ชีวิตนั้นเปราะบางถูกทำลายโดยง่ายแค่ลมเป่าใบไม้ก็ปลิดร่วง  ตัวหนังสือคงไม่ต่าง สลายไปกับสันดาปของเนื้อกระดาษ หลุดลอยไปในห้วงอวากาศที่ถูกลืม  มีแต่ชีวิตที่เข้มแข็งหนักแน่นเอาจริงจังจึงสามารถยืนหยัด  มีแต่ตัวหนังสือที่กร้าวกรำจึงสามารถผ่านพิสูจน์ของกาลเวลา  ข้าพเจ้ายังติดตามเรียนรู้ เรียนรู้ผ่าน winbookclub.com ย่างเข้าปีที่ ๕   

ขออากาศดี ๆ อาหารปลอดสารพิษ อารมณ์ชวนหัว ออกกำลังพอเหมาะพักผ่อนพองามจงดลบันดาลให้ท่านเจ้าสำนักและครอบครัวสุขภาพแข็งแรงมีความสุขทั่วหน้า ข้าพเจ้าพกพวงมาลัยมะลิคลานเข่ามากราบขอพรปีใหม่ขอรับ

น้อมคารวะ
ธุลีดิน 


@ คุยกับวินทร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น