หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์คับแคบไปถนัด คนล้นจนนั่งบนช่องทางเดิน แสงสว่างบนเวทีระบายเงาบรรยากาศในโถงประชุมราง ๆ ทุกคนนิ่งฟังเสียงแหบพร่าสะท้อนน้ำเนื้อความทุกข์ทนต่อสู้ไม่ยอมถอยของชายบนเวที เขาโอบกีตาร์พริ้มตาเอื้อนบทกวีแห่งป่าไพรบรรสานเสียงเครื่องดนตรีมิต่างธารน้ำไหลในระงมร้องของหมู่นกน้อย ปอยผมถูกปล่อยฟ่องฟูคล้ายมิได้เอาใจใส่ ริ้วยับย่นบนใบหน้าบอกเล่าร่องรอยการเดินทางของกองคาราวานดนตรีจากใจเมืองสู่หุบห้วยเพิงภูแล้ววกกลับสู่ม่านเมือง
"หญ้ายังคงเอนไหว หัวใจยังไหวเอน เบนตามทิศทางยามเมื่อลมพัดมา ผืนดินมีปีฟ้ามีเดือนดารา ลมพัดมา ฉันพบเธอ ไหวเอน.."
ชายหนุ่มยืนกอดอกหลังเก้าอี้แถวสุดท้ายตรงช่องประตู เขาโยกตัวเบา ๆ ส่งเสียงคลอตาม
น้ำเสียงแหบแห้งเปี่ยมพลังดังก้องโถงชวนขนลุก คนร้องบนเวทีขยับริมฝีปากแผ่วเบา พลังเสียงกรีดอณูอารมณ์รับรู้ของผู้ฟัง เนื้อเพลง น้ำเสียง คนร้องหลอมรวมเป็นเปลวไฟลุกโพลง เปลวไฟที่ส่องสว่างนำทางให้มวลชนได้เดินไปสู่ประตูแห่งอิสระเสรีและเท่าเทียมกันในสังคม ชายหนุ่มเผลอลูบแขนตัวเอง รอยสากบนท่อนแขนมิต่างผืนนาหลังเผาซังข้าว เขายกแขนพาดไหล่สหาย ยังคงร้องคลอ
"หญ้าเมื่อยามหลับใหล ลู่เฉยใบเรียงระเนน ความหนาวเย็น น้ำค้างพรมน้ำตา เหมือนเจ้าไร้ใจ ไร้ลม ไร้มารยา ยามนิทราเหนือเวลาเหนือกาล.."
เหลือบมองสหายรักร่วมน้ำใจ วาวตาสีสนิมจ้องมองเขาอยู่ ชายหนุ่มเผยอยิ้มเหยียดริมฝีปากโยกหัวเบา ๆ เสียงเพลงยังฮึมในลำคอ
"ชอบขนาดนี้สหายน่าจะสมัครร่วมฝ่ายขวัญกำลังใจ"
ชายหนุ่มส่ายหน้าทั้งปากยังฮัมเพลง เหลียวมองทางเวที เสียงแหบมิต่างระแหงดินยามแล้งครวญบทกวีใบหญ้าสะท้อนก้องโถง โดยไม่เจตนาภาพทรงจำหวนกลับมาในรำลึก เขายิ้มขื่นหันมองสหาย
"น้ำเสียงสหายพันตายังเต็มด้วยจิตวิญญาณของความทุกข์ยากไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ"
สหายรักของเขาพยักหน้า ชายหนุ่มถอนใจ "สหายยังจำสหายฟืนได้ใช่มั้ย?" ส่งเสียงลอดไรฟัน "ใช่! ต้องได้สิ ใครจะลืมล่ะ สหายที่เคยอยู่ข้างกันไม่ว่าในเสียงระเบิด ห่ากระสุนหรือเสียงกรีดสายกีตาร์"
"เขาเล่นกีตาร์เก่งเสียด้วย หากยอมย้ายไปอยู่ฝ่ายขวัญกำลังใจป่านนี้ก็คง.."
"ไม่หรอก"
ชายหนุ่มขัด อีกฝ่ายขบฟันเลิกคิ้วมองมา ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก เป็นอย่างนี้ทุกทีคิดถึงสหายฟืนสหายร่วมอุดมการณ์จนลมหายใจสุดท้าย
"เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้" เขาตบบนพานท้ายเบา ๆ อากาแขวนไหล่ขยับไหว "เพื่อเสรีภาพที่ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและชีวิต มือของเราไม่เหมาะกับสายกีตาร์หรอก"
"แต่พวกเขาไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเหมือนเรา" สหายหนุ่มกล่าวดวงตาจ้องมองคนบนเวที
"น้ำเสียงนั่น บทเพลงนั้นไม่ใช่รึที่ช่วยให้เรามีแรงยกปืน กัดฟันทนพิษบาดแผล นั่งยิ้มมองดาวฝันถึงวันเวลาแห่งชัยชนะ หากไม่มีพวกเขาเราจะเอาเรี่ยวแรงใจมาจากไหนกัน สักวันหนึ่งเหอะ เมื่อประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เราจะวางปืนแล้วฝึกเล่นกีตาร์" ชายหนุ่มเพ่งมองคนบนเวทีดวงตาเป็นประกาย
"สหายไม่สงสัยบ้างเหรอ ใครบางคนอาจใช้อุดมการณ์เป็นเหยื่อล่อเรา"
ชายหนุ่มไม่ได้ฟัง เขาจดจ่ออยู่กับเสียงเพลง
"ลมพัดซู่เจ้าลู่ลมมิทวนทาน ลมพัดผ่านเจ้าเล่นลมสำราญอารมณ์ อยู่ด้วยแรงอ่อนไหว ด้วยหัวใจชื่นชม ลมและหญ้า หญ้าและลม เสรี.."
ขยับปากร้องตามทุกถ้อยวลีของบทเพลง เตลิดฝันถึงวันเวลาที่การสู้รบจบสิ้น อยุติธรรม เอารัดเอาเปรียบ ชนชั้นในสังคมถูกทำลาย วันที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีคนรวยไม่มีคนจน ไม่มีไพร่ไม่มีเจ้า มีแต่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ เขาลูบลำอากาแผ่วเบา เนื้อเหล็กเรียบลื่นเยียบเย็น ไ่ม่ยอมพลาดท่อนสุดท้าย
"คืนวันผันเปลี่ยนมาชั่วนาตาปี ลมหวิวหวี่พัดลีลาไหวเอน"
เสียงไวโอลินทิ้งท่วงทำนองอ้อยสร้อย คอนเสิร์ตจบลงแล้ว เสียงปรบมือดังก้องโถง นักดนตรีกลับเข้าหลังเวที ผู้ชมลุกยืนปรบมืออีกเนิ่นนานจนนักดนตรีต้องออกมาคำนับซ้ำ ชายหนุ่มปรบมือพลอยยิ้มยินดีกับความสำเร็จของคอนเสิร์ตครั้งนี้
"ครั้งหน้ามาอีกนะ" หันบอกกับสหายรัก
สหายของเขาใช้ผ้าขาวม้าเช็ดใบหน้าหันมายิ้มพยัก เลื่อนมือกระชับสายสะพายอากาบนไหล่ ม่านประตูใหญ่ถูกแหวกออก เสียงคุยสับสนอลหม่านดังลั่นโถง ผู้คนทยอยลุกจากที่นั่งเดินออกประตู เดินทะลุผ่านร่างคนทั้งสอง ●
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น