paper_boat_by_kikariz-d32kp1r

ยอดเยาวมิตร

ฉันนั่งอยู่ตรงตะวันจูบอำลาขอบฟ้า สถานที่ซึ่งถูกเรียกว่าสนธยากาล ที่ตรงนี้เวลาหยุดเคลื่อนไหว เข็มนาฬิกาพักผ่อนหลังกรำงานมาชั่ววัน  สถานที่ซึ่งสายลมตะวันตกไล่ติดตามกองเกวียนแห่งวัยชราอย่างรีบเร่ง  ไกลออกไปตรงกลุ่มเมฆเรือง เหล่านกฟ้าบินเรียงตามจ่าฝูง ท้องฟ้าเรื่ออำพันตลอดปี  สถานที่แห่งนี้มีรอยเชื่อมต่อของตะเข็บเวลาซึ่งเต็มด้วยหลืบร่องให้ฉันใช้เดินทางเข้า-ออกไปที่โน่นนี่ตามแต่ใจชักพา

บ่อยครั้งฉันไปหาเธอ

ยอดปิยมิตร..ในห้องสี่เหลี่ยมลูกบาศก์แห่งความฝัน เต็มด้วยระไอหมอกหม่นมัว กลิ่นหอมอ่อนคล้ายโชยจากเรือนผมเพิ่งสระ ฉันพบเธอนั่งก้มหน้าอยู่กับแป้นพิมพ์ ขมวดคิ้วจ้องมองจอภาพฝ้าขาว นิ้วโป้งกระดกเคาะคีย์เบา ๆ คล้ายกระสับกระส่ายรอการมาถึงของถ้อยคำซึ่งพลาดตกรถไฟขบวนก่อนหน้า

ฉันยิ้มมอง

นึกขำที่เห็นเธอเพ่งสมาธิจดจ่อกับผู้คนในจอ ไม่สะกิดใจสักนิดว่าฉันเขยิบเข้าใกล้ ฉันยื่นหน้าเหนือไหล่เธอ มองตัวอักษรเคลื่อนไหวเป็นภาพชีวิตผู้คนที่เธอสร้างขึ้น ยิ้มมองด้วยความชื่นชม..ฉันชื่นชมเธอเสมอมา

นานเท่าไรแล้วที่เรือกระดาษลำน้อยล่องลอยในทะเลอักษร

เมื่อออกเดินทางฉันมีสหายร่วมลำเรือไม่มาก แต่ก็มากพอประโลมใจว่าการเดินทางจะไม่เงียบเหงา เวลานั้นครึกครื้นใช่น้อย  เราร้องรำทำเพลง เรากินเราดื่มท่ามแสงนวลแข ขณะคนหนึ่งประเลงพิณ อีกคนลุกขึ้นเอื้อนเอ่ยบทกวีเย้ยจันทร์ ผ่านคืนสู่ทิวาวาร เราช่วยกันชักใบเรือ ดันคานใบหันรับลม  เดินทางผจญท้องทะเลเวิ้งว้าง หมายไปยังจุดหมายซึ่งไม่มีเลยสักคนในกลุ่มเรารู้ว่าคือที่ใด รู้เพียงเราจะเดินทางไป ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทางโดยปล่อยให้ปลายทางเป็นภาระของสายลมแห่งโชคชะตา

ฉันยังจำคืนดึกที่เราโดนพายุกระหน่ำ คลื่นยักษ์ปั่นป่วนยกเรือเราโยกโยนจะคว่ำมิคว่ำแหล่  ยอดคลื่นสูงจนแหงนคอมองขวัญแขวน ทะมึนซัดทีโหนเหนี่ยวเรือไว้แทบไม่ทานแรง พวกเราเปียกปอนผมเผ้าลู่อุ้มน้ำทะเลปนฝน ส่งเสียงตะโกนแข่งคลื่นช่วยกันยื้อคันคานชักใบลงผ่อนแรงลม  ค่ำนั้นหลังคลื่นสงบ พวกเราสลบไสลไปทั้งเนื้อตัวชุ่มน้ำ

แสงอรุณฉานอยู่ตรงขอบฟ้า

เราพาเรือเทียบท่า ตระหนกหนักเมื่อพบว่าหลายคนสมัครใจขึ้นฝั่ง การเดินทางไปในเวิ้งทะเลว่างเปล่ามิมีสิ่งใดยวนใจอีกต่อไป  จากนั้นก็ทยอยหายไปทีละคนเมื่อเทียบท่าถัด  หายไปในกระแสสังคมและซอกหลืบระหว่างตึกสูงแทนฟันฝ่าพายุเปลี่ยวเยี่ยงนักผจญคลื่น

จนเหลือลำพัง ฉันตัดสินใจไม่แวะท่า ไม่กลับเข้าฝั่งอีกต่อไป

เรือกระดาษลอยคว้างไปในทะเลคราม นานครั้งมีนกนางนวลละยอดคลื่นบินมาวนส่งเสียงร้องทัก ฉันป้องมือเงยมองฝ่าแผดแดดจัดจ้าของเที่ยงวัน  ริมฝีปากแห้งผาก พยายามยันกายแต่สิ้นแรงขยับเขยื้อน  เสียงร้องแผ่วหาย เจ้านางนวลบินจากไป เหลือแต่เสียงคลื่นกระทบขอบเรือ เสียงเพลงเสียงท่วงทำนองบทกวีดังแว่วอยู่ในร่องคลื่น  พวกเพื่อนบางเบาโปร่งใสจ้องมองฉันด้วยแววตาฉงน บางคนถึงกับถามว่าจะไปต่อทำไม  เท่าที่พบนับว่ามากพอแล้ว ไยไม่กลับเข้าฝั่ง กลับคืนสู่ชีวิตจริง  เรือลำนี้เสากระโดงนี้ ผ้าใบเปื่อยยุ่ยนี้ไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างเป็นแค่ภาพฝัน

ยอดปิยมิตร

ฉันกะพริบตาให้แน่ใจว่าที่เห็นนั้นภาพลวง  พยายามขยับลุกแต่ไร้แรง เบ็ดใช้จับปลาพอได้ประทังท้องแต่ละมื้อว่างเปล่าตั้งแต่เช้าวาน  หลายครั้งฉันทบทวน ฉันกำลังทำอะไร  มาทำอะไรอยู่ในทะเลเวิ้งว้างนี่  ไยไม่กลับไปหาที่นอนอุ่น ๆ ห้องหับมิดชิดสามารถนั่งลงนิ่ง ๆ โดยไม่โยกโคลง  แสงแดดอ่อนในสวนยามบ่ายกับกาแฟสักแก้ว  หลับติดต่อเนื่องตลอดคืนไม่ต้องระแวงกับเสียงคลื่น

ฉันพยุงกายควานเปะปะหาคานใบ ออกแรงเหนี่ยวคิดปรับทิศทางกลับคืนฝั่ง

แต่แล้วมีเมฆพร้อมลมอ่อน ๆ พัดผ่านมา เป็นเมฆอักษรกลุ่มเล็ก ๆ ขาวสะอาดตา แทนปรับใบเรือกลับเข้าฝั่ง ฉันหันตามเมฆกลุ่มนั้นไป

เรือกระดาษรับลมแล่นฉิวบนยอดคลื่น  เรี่ยวแรงกลับคืนทั้งยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง แลเห็นหมู่เมฆสดใสนำไปไกลลิบ  มีละอองหมอกลอยต่ำเรี่ยผิวน้ำอยู่ตรงหน้า ฉันติดตามฝ่าเข้าไป  อากาศรอบข้างเย็นจัดมองเห็นแค่ยื่นปลายนิ้ว  เหมือนพลัดหลงเข้าในตะเข็บเวลา  ฉันมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมลูกบาศก์เต็มด้วยระไอหมอกหม่นมัว  กลิ่นหอมอ่อนคล้ายเรือนผมหญิงสาวเพิ่งสระ เห็นเธอนั่งก้มหน้าอยู่กับแป้นพิมพ์

ฉันรอรีชั่วครู่แล้วกลับออกมา

เรือแล่นพ้นออกจากกลุ่มหมอก แสงสีอำพันอาบขอบฟ้า  หมู่เมฆสดใสยังล่องลอยนำทางอยู่ตรงหน้า        

ถึงเวลานี้แม้มีฉันเพียงผู้เดียว  เรือกระดาษลำน้อยยังคงเดินทาง ฉันไปหาเธอบ่อยเท่าใจต้องการ  และกลับออกมาโดยทิ้งไว้เพียงแผ่วลมหายใจมิต่างวูบลมปลายปีกนางนวล  ไม่เคยคิดรบกวนขัดทำลายจังหวะอักษรของเธอ  เพื่อฉันจะได้มีหมู่เมฆสดใสไว้นำทาง  และนั่งยิ้มมองด้วยความชื่นชม..ชื่นชมเสมอมา ●

@ จดหมายจากดาวสีน้ำเงิน : พบพาน ใช่ผ่านเลย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น