NaNoWriMo ผ่านมาจวนครึ่งทางแล้วข้าพเจ้าเพิ่งได้ฤกษ์ได้ยามยกมานั่งคุยในเพิง  NaNoWriMo (National Novel Writing Month) เป็นการแข่งขันเขียนนิยายในเวลาหนึ่งเดือน  เริ่มแต่วันที่ 1 จวบ 30 พฤศจิกายน ขณะนี้เหล่าละอ่อนนักหัดเขียนฝรั่งกำลังก้มหน้าก้มตาปั่นต้นฉบับกันมือเป็นระวิง (ข้าพเจ้าติดตามเชียร์สาวน้อยนักหัดเขียนนางหนึ่ง แต่มาได้เพียงสัปดาห์เดียวเธอถอนตัวเสียแล้ว!)

สำหรับโลกปัจจุบันเราท่านอาจรับทราบด้วยความรู้สึกชาเฉย  ก็เพราะเราอยู่ในโลกของการแข่งขันที่แข่งกันตะบันแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ  จึงไม่เคยสะกิดตาสะกิดใจเลยว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างไม่สมควรนำมาประกวดประชันขันแข่ง

พูดถึงการแข่งขันให้สงสัยใจว่ามนุษย์อาจจะมีสัญชาตญาณแข่งมาแต่ครั้งก่อนปฏิสนธิ  ว่าที่นาย(หรือน.ส.)สเปอร์มตัวนั้นจะต้องวิ่งเร็วจี๊เสียยิ่งกว่าไมเคิล จอห์นสันตอนโด้ปสเตอร์ลอยด์ 

เขา(หรือหล่อน)คงจะจดจำความรู้สึกตื่นเต้นตอนนั้นได้ดี  เหลียวมองไปทางไหนล้วนมีแต่คู่แข่งหน้าตาขมึงทึง  ตัวข้างซ้ายมันคอยจะเบียด  ตัวขวาขยับเข้าขวาง  ข้างหน้าก็เกะกะเป็นกำลัง  ส่วนข้างหลังเฝ้ายื้อหาง 

และที่สำคัญเกมนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น  เอากันถึงตาย!  มีผู้ชนะหนึ่งเดียวเท่านั้นที่รอด! อืมม์..เร้าใจใช่ไหม? 

อารมณ์ยามนั้นคงต้องพุ่งกระฉูดถึงกับป้ำระหัสไว้ในจีนส์  แสดงอิทธิผลต่อจิตใจมนุษย์อย่างรุนแรงจนไม่อาจฝืนต้าน  เราจึงมีการแข่งขันกันเป็นที่สนุกสนาน แข่งทุกเรื่องตั้งแต่เกิดจนตาย  ตั้งแต่ปลายผมยันเล็บเท้า

แข่งกันอีลุงตุงนังสับสนปนเป 

เชื่อเถอะหากช่วยกันคิดตัวอย่างเรื่องที่มนุษย์ไม่ควรนำมาแข่งขัน  แต่ตะแบงแข่งกันอย่างครื้นคึกจะต้องได้มาไม่รู้กี่ร้อยพันกรณี

ศิลปะเรื่องหนึ่งล่ะ!

ศิลปะเป็นสุนทรียะผ่านทักษะฝึกฝนสื่อเสพด้วยหัวใจโดยอายตนะใน-นอก

ไม่มีทางใดเลยที่จะนำศิลปะมาจัดแรลลี่ ประกวดประชันขันแข่ง  ไม่น่าจะมีเลยที่ว่าศิลปะนี้ดีกว่านั้น งานชิ้นนี้ได้อันดับหนึ่งงานชิ้นนั้นตกรอบ  งานของคนนี้ดีกว่าคนนั้นหรือคนไหน ๆ

การยกย่องเชิดชูล้วนเป็นไปโดยผู้เสพตามแต่รสนิยมอันเป็นเอกเทศ  เมื่อนำเอกเทศมารวม ๆ กันเข้าเป็นพหุเทศตั้งชื่อว่าคณะกรรมการ  หลังจากนั้นท่านผู้รับการยกยอ(พิมพ์ไม่ผิดขอรับ ยกยอ)ว่าทรงคุณวุฒิก็นำสุ่มคุณวุฒิรุมกันครอบ..ครอบ..ครอบ..(ไม่ทราบเคยใช้สุ่มจับปลากันไหมขะรับ?หากไม่เคยให้ลองคิดภาพไอ้คล้าวกับน้องทองกวาวก็แล้วกัลล์) แล้วก็ได้ปลาตัวอย่างมาดังใจพิศวาส  โดยหารู้ตัวไม่ว่าการอันท่านได้กระทำไปนั้นกัดกร่อนวิญญาณศิลปะบริสุทธิ์ไปมากน้อยเท่าไร

ประดาผู้ชื่นชมแห่แหนกันกำซาบงานอันดับหนึ่ง  งานชิ้นอื่นแทบไม่ต่างจากถุงห่อกล้วยแขก ซ้ำยังไม่ลืมบอกลูก ๆ ว่า "ต้องให้ได้อย่างนี้นะลูก" ฝังชิปไว้เป็นที่สำเร็จไอ้แดงทำตาบ๊องแบ๊วบอกตัวเองว่าต่อไปมันจะส่งเข้าประกวดบ้าง!

นาย(นาง,น.ส.)ศิลปินผู้รับเชิดชูเกียรติเป็นที่กล่าวขวัญ  กลายเป็นปูชณียบุคคลในดวงใจของละอ่อนผู้กำลังก้าวย่างไปบนเส้นทางสายศิลปะ สื่อรุมสะกรำสัมภาษณ์  อัตตาชักพอกพูนไม่อาจกระเทาะกลับไปสร้างงานอันกลั่นกรำจากจิตวิญญาณเหมือนก่อน

แม้ตัวท่านผู้ทรงคุณวุฒิเอง ชักจมูกเชิด "อืมม์ผู้คนเชื่อถือรสนิยมเราแฮะ ไม่เบา..ไม่เบา..หุ หุ" จากนั้นก็เริ่มชี้ซ้ายชี้ขวาขีดทิศกำหนดทางให้แวดวงอันตนสวมหัวโขนนั่น

เราอยู่ในสังคมสับสนปนเป  คละเคล้าจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร  ความบริสุทธิ์จึงถูกหลงลืม  แม้แต่การศึกษาเรียนรู้ ครั้นนำเข้าระบบกลายเป็นการแข่งขัน ความรู้บริสุทธิ์ถูกสวมมงกุฏอันดับ ใบประกาศ ปริญญา เหรียญทอง ที่ทุกคนต้องยื้อต้องแย่งให้ได้มา จิตวิญญาณเดิมแท้ในการแสวงหาความรู้ถูกเบี่ยงเบน ถูกทำลายไปสิ้น

เรานำธุรกิจ การศึกษา วิถีชีวิต ประเพณี-วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ การแพทย์  การเกษตร อุตสาหกรรม และอีกร้อยแปดพันเก้ามาคลุกเคล้าจนทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน เห็นวิถีชีวิต ประเพณี-วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติเป็นธุรกิจ  เห็นการเกษตรเป็นอุตสาหกรรม ใช้วิธีปฏิบัติสับกันไปมาจนไม่เคยหยุดคิดว่าวิธีใดเหมาะกับอะไร?  ยามจะคัดสรรสิ่งดี ๆ ที่ควรได้รับการพัฒนาเสริมส่งสักทีคิดอะไรไม่ออก  จะไปตระเวณค้นหารึก็เสียเวลา (ขี้เกียจว่างั้นเถอะ!) อย่ากระนั้นเลย  จัดประกวดเลยดีกว่าประเดี๋ยวก็มากันมืดฟ้ามัวดิน (เป็นเสียอย่างนั้น)

ก็แล้วจะให้ทำเช่นไร?

การแข่งขันมีมาแต่ก่อนคำ 'โบราณ' จะถือกำเนิด  เป็นระบบที่คิดค้นโดยธรรมชาติเพื่อรักษาสืบทอดสายพันธุ์ที่ดี ที่แข็งแรงไว้  หากไม่มีการแข่งขันผลอาจถึงขั้นสูญพันธุ์      

เช่นนั้น 'การแข่งขัน' โดยตัวของมันเองหาได้เป็นพิษภัย

อิทธิพลครอบงำที่ผิดพลาดต่างหากเป็นมลพิษกัดกร่อนทำลายจิตวิญญาณเดิมแท้

การแข่งขันยังต้องดำรงคงอยู่กับมนุษยชาติไปตลอดกาลนาน  ขอเพียงเข้าร่วมโดยแจ้งชัดในวัตถุประสงค์  ไม่ถูกผลครอบงำจิตใจ  เท่านี้การแข่งขันก็บรรลุเป้าหมายแท้จริง

โอ..นี่ข้าพเจ้าพล่ามอ้อมโลกไปไซบีเรีย ย้อนเอธิโอเปีย ดินเดีย กว่าจะกลับมาสยามประเทศเล่นเอาหอบแฮ่ก!

กลับมา NaNoWriMo การแข่งขันเขียนนิยายภายในหนึ่งเดือน

เมื่อเข้าใจแจ่มชัดต่อเป้าหมาย วัตถุประสงค์การแข่งขันเสียก่อนแล้ว  การแข่งขันก็จะไม่ส่งกรดแข่งคลอลิคกัดกล่อนจิตวิญญาณ  การแข่งเขียนนิยายจึงนับว่าชวนเร้าใจเอาการอยู่

เพียงผู้เข้าร่วมตระหนักว่าเป้าหมายของการแข่งคือปริมาณตัวอักษรที่จะต้องเร่งปั่นให้วิ่งไปถึงบรรทัดสุดท้ายคำท้ายสุดอันเป็นเสมือนเส้นชัยภายในกำหนดเวลา  หาได้หมายไปถึงอักษรเหล่านั้นต้องแบกเนื้อหาระดับสุดยอด พล็อตที่เฉียบคม คารม สำนวนที่รัดรึงใจผู้อ่านไปด้วย  และแน่ล่ะนิยายที่ได้มาคือดีที่สุดในข้อจำกัดนั้น

NaNoWriMo ก็นับว่ามีคุณูปการต่อเหล่านักหัดเขียนในการสร้างบรรยากาศคึกคัก น่าตื่นใจและจบนิยายตน  

เคยใช่ไหมขอรับ? เคยคิดหวังว่าในชีวิตอยากเขียนนิยายสักเรื่อง  แต่ไม่มีโอกาสเริ่มสักที  เวลาไม่พอ พล็อตไม่ดี ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน? อย่างไร? วันเวลาผ่านพ้นไปจนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ลงมือเขียน

แนวคิดอย่าง NaNoWriMo นี่ล่ะขอรับที่จะเปิดประตูให้เราเข้าไปสู่โลกแห่งความตั้งใจที่ครั้งหนึ่งเคยใคร่กระทำ(ไม่อยากเรียกความฝันเลย ฟังโรแมนซ์ลอย ๆ อย่างไรชอบกล เรากำลังคุยเรื่องลงมือทำจริง ๆ)

NaNoWriMo จะทำให้เราละทิ้งอุปสรรครุงรังที่แบกไว้สักหนึ่งเดือน  เพื่อเพ่งสมาธิจิตลงไปที่ตัวอักษร พล็อตไม่ดี ไม่รู้เริ่มอย่างไร? จะไม่มีความหมายอีกต่อไป เมื่อเป้าหมายหาใช่นิยายดีที่สุด แต่เป็นนิยายความยาว ๑๕๐ ถึง ๑๗๕ หน้า หนึ่งเรื่อง!

หนึ่งเรื่องเท่านั้น! 

จากนั้นปัดกวาดอุปสรรคอื่น ๆ ที่ดึงเวลาไปจากตัวอักษร ไม่ว่าเป็นทีวี โทรศัพท์ ดูหนัง ช้อปปิ้ง เที่ยวต่างจังหวัด นัดกิ๊ก อะไรต่อมิอะไรรอบตัว เหลือไว้แต่อาหาร ออกกำลังกาย หลับนอน และนิยาย (ส่วนเรียนหรือทำงานนั่นคงไม่ต้องเอ่ยถึง  ขืนตัดจากชีวิตล่ะอดแน่!) 

เมื่อเลิกกังวลกับพล็อตเจ๊ง ๆ เนื้อหาซับซ้อน วิธีเดินเรื่องแพรวพราว ชื่อตัวละครเท่ ๆ หรือโวหารเหนือชั้นเสียทั้งสิ้น  เพียงตะลุยพาตัวอักษรไปสู่เป้าหมาย  เท่านี้เหล่าอักษรจิ้มลิ้มพริ้มเพราที่ไม่เคยร้อยเรียงกันเป็นเรื่องยาวก็คงร่อนฉิวราวว่าวติดลมบน

โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีโครงการอย่าง NaNoWriMo ขึ้นในสยามไซเบอร์  เราเพียงมองหาช่วงเวลาที่เหมาะสมของเราเอง  แล้วใช้แนวคิดเดียวกันลงมือออกเดินทางผจญภัยไปในโลกอักษรละลานตา  เดินทางไปให้เร็วที่สุด  เร็วจนความลังเล เบื่อหน่าย เขียนไม่ออก อยากทำอย่างอื่น ฯลฯ ไล่ตามไม่ทัน!

หนึ่งเดือนเป็นเวลาที่ไม่เร็วไม่นานเลย

แต่หากเป็นหนึ่งเดือนที่ได้นิยายของตัวเองมาหนึ่งเรื่อง  เป็นหนึ่งเดือนที่ได้กระทำในสิ่งเคยหวังตั้งใจมานมนาน  จะเป็นหนึ่งเดือนน่าจดจำ  และนิยายหนึ่งเรื่องนั้นจะให้คำตอบมากมายซึ่งเราเฝ้าถามครั้งยังไม่ได้ลงมือเขียน

ข้าพเจ้าเคยพบว่ารสชาติของความรู้สึกอยากเขียนเรื่องของตัวเองสักเรื่องกับมีเรื่องของตัวเองสักเรื่องนั้นต่างกันเช่นไร? เหมือนไปดูหนังที่ชอบอกชอบใจกลับมานั่งเล่าเรื่องราวให้ฟังน่ะขอรับ  คงต้องขยักตอนจบไว้แล้วบอกว่า

"ท่านต้องไปดูเอง!"

ก ร ะ ท่ อ ม ธุ ลี ดิ น 

ปล. ทราบว่าสหายที่เคารพรักกำลังปั่นนิยายค้างไว้ให้จบ ข้าพเจ้าขอส่งแรงใจให้ท่านฟันฝ่าอุปสรรคกระทั่งลุบรรทัดสุดท้ายดังหวังตั้งใจ  บทความนี้ผู้น้อยน้อมกำนัลแด่ท่านขอรับ สหายพี่สาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น