บ๊ะ! เอางั้นเจียวหรือวะไอ้ซำหม้อ!” ลุงเพิ่มตาเหลือกแทบถลนร่วงออกมาตั้งบนกรอบแว่นสายตายาวอันละร้อยห้าสิบบาทของแก 

“เอางั้นสิลุง” ซำหม้อวางถ้วยกาแฟ “ฉันว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างไม่อย่างนั้นหมู่บ้านเราเป็นได้วอดวายป่นปี้เพราะไอ้นากุ้งนี่แหละ”

“คนที่เขาเลี้ยงได้ก็มีอยู่นาโว้ย” ลุงสุขคู่หูลุงเพิ่มท้วง

“ก็เหลือแต่พวกคนมีกะตังค์ลุงไม่เห็นหรือไร” ซำหม้อไม่ยอมอ่อนข้อ “พวกนั้นเขาสายป่านยาว กุ้งจะตายกี่ทีก็มีปัญญาปล่อยใหม่ ดูอย่างหัวแย้วปะไร โดนทีเดียวเผ่นไปปลูกข้าวบ้านเมีย ขายบ่อยังไม่พอปลดหนี้เลย”

“ดีนะที่หัวแย้วมันกลับตัวทัน หากขืนดันทุรังเลี้ยงต่อเกิดกุ้งตายอีกคงต้องปลูกข้าวใช้หนี้กันหัวโต” พูดเรื่องหัวแย้วลุงเพิ่มชักเออออ แกเองเป็นคนค้านหัวแย้วมันแต่เริ่มลงมือขุดบ่อ

หลายปีก่อนพวกชาวบ้านพากันตื่นเปลี่ยนนาข้าวเป็นบ่อกุ้ง  เลี้ยงแค่สามสี่เดือนได้เงินแสนพวกที่เหลือพากันเฮโลตาม  ชักน้ำเค็มเข้านาจนพวกทำนาปลูกข้าวต่อไม่ได้ ไม่รู้ทำอย่างไรพากันหันมาเลี้ยงกุ้ง พวกมีแต่ที่ไม่มีเงินทุนยอมไปกู้หนี้ยืมสิน ครั้นเลี้ยงไปแล้วเงินไม่พอค่าอาหารก็เอาที่วางร้านค้าแลกกับอาหารกุ้งราคาเงินเชื่อและดอกเบี้ย ทอดตาทั้งหมู่บ้านเห็นมีก็แต่ลุงเพิ่มนี่แลไม่ยอมขายที่ เช่าก็ไม่ให้ ทำเองก็ไม่ทำ พวกชาวบ้านพากันมองค้อนปะหลับปะเหลือกส่งเสียงกระซิบกระซาบ ‘มันท่าจะบ้า’

ยามนั้นไอ้พจน์ลูกชายหัวปีรุ่นราวคราวเดียวกับซำหม้อมันก็อยากรวยเหมือนคนอื่นเขาจึงพยายามรบเร้าพ่อขอที่สักสามไร่ห้าไร่ขุดบ่อเลี้ยงกุ้ง  ลุงเพิ่มยืนกระต่ายขาเดียวมิไยไอ้พจน์มันจะชักแม่น้ำทั้งแปดพันเก้าร้อยห้าสิบสายมาอ้อนวอน ลุงเพิ่มไม่ยอมให้ขุดแม้ครึ่งงาน ทะเลาะกันจนแทบลงมือลงตีนวันต่อมาไอ้พจน์หอบผ้าออกจากบ้านด้วยความน้อยใจพ่อ   

กาลเวลาเลื่อนเคลื่อนคล้อยพลอยพิสูจน์สัจธรรม ยามนี้มีแต่ลุงเพิ่มยังคงที่นาเท่าเดิม ไม่ต้องมองอื่นไกลลุงสุขคู่หูนี่เอง ขายที่ให้บริษัททำบ่อกุ้งได้เงินหลักล้าน ลุงเพิ่มเอามานั่งบ่นกระปอดกระแปด “ไม่รู้มันใช้อย่างไรฉิบหายหมด ดีนะเหลือที่บ้านไว้ไม่งั้นป่านฉะนี้มิต้องอาศัยชาวบ้านซุกหัวแล้วรึ” นั่นเป็นคำรำพึงของลุงเพิ่มยามลุงสุขไม่ได้นั่งถุนยาพ่นควันใส่หน้าอยู่เยี่ยงนี้

“เออ..แล้วเอ็งคิดจะทำอย่างไร?” ลุงเพิ่มพับหนังสือพิมพ์ชายหางตาแม่หนูดารานุ่งน้อยห่มน้อยบนปกอย่างอาลัยอาวรณ์ 

“ไปหาอ.บ.ต.ช้างให้เขานำเรื่องเข้าอำเภอ จากนั้นเสนอเข้าจังหวัดเข้ากระทรวงต่างประเทศ” ซำหม้อบอก

“ได้ยินมาว่าจะเป็นมรดกโลกต้องเป็นโบราณสถานอภิมหาอมตะอลังการมิใช่รึวะไอ้ซำหม้อ?” ลุงสุขสงกา

ซำหม้อขยับก้นนั่งให้เข้าที่ แอ่นเอวยืดอกประสานมือโน้มตัวไปข้างหน้านาบข้อศอกลงบนโต๊ะช้า ๆ แบบภาพสโลว์โมชั่น เฒ่าคู่หูทั้งสองหันสบตา ลุงเพิ่มยินยอมละสายตาจากน้องหนูบิกินี่ ลุงสุขซืดควันยาใช้สองนิ้วคีบตอมวนพรากปากพ่นควันโขมง  ซำหม้อปั้นขรึมจิตนาการว่ากำลังนั่งอยู่หน้ากล้องทีวีก่อนจะเอื้อนเอ่ย

“ไม่รู้สิลุง”

สองเฒ่าถอนใจเฮือก

“อย่างไรก็เถอะ ฉันเชื่อว่าวิถีชีวิตคือมรดกของมนุษยชาติ ชีวิตความเป็นอยู่ของเรานี่แหละเป็นสิ่งควรรักษาสืบต่อให้ลูกหลาน หากองค์กรยูเนสโก้ยังไม่มีมรดกวิถีชีวิตเราก็ควรชงเรื่องให้กระทรวงต่างประเทศผลักดันให้มีจงได้”

ซำหม้อกล่าวจบเหลือบมององค์ประชุมทั้งสองทีละท่าน

สองเฒ่าใบหน้าเกรียมกร้านแดด วัยแท้น่าจะยังไม่เจ็ดสิบแปดสิบ ด้วยความที่ตลอดชีวิตอยู่แต่กลางแจ้งคลุกโคลนขลักตมไม่เว้นวัน ผิวหนังดำด้านพาลเหี่ยวย่นยับเยินกว่าวัยไปหลายสิบปี

ยามนั้นชาวบ้านกำลังเห่อเลี้ยงกุ้ง วัน ๆ สุมหัวคุยกันแต่เรื่องกุ้ง บ่อนั้นจับได้กี่ตัน บ่อนี้ขายได้กี่ล้านกี่แสน ลุงเพิ่มกลายเป็นส่วนเกินของวงสนทนาด้วยถ้อยวาจาของแกดูจะอกุศลกับอาชญาเกษตรกรรมประเภทนี้เสียนักหนา ขวางคนเขาหนักเข้ากุ้งบ่อใครเกิดตาย เช้าขึ้นมาสภากาแฟก็จะสรุปว่าต้องเป็นเพราะลุงเพิ่ม แกจึงค่อย ๆ ปลีกตัวออกมา จากย้ายโต๊ะกลายเป็นแยกร้าน จากร้านชะลอหน้าโรงงาน ระเห็จมานั่งร้านป้านอมปากซอยแทน สหายที่แกพอจะแลกถ้อยเสวนาด้วยเห็นจะมีก็แต่ลุงสุขเนื่องเพราะลุงสุขแม้จัดเข้ากลุ่มคนไม่รังเกียจบ่อกุ้ง แต่ไม่ถึงลงทุนเปิดบ่อยอมเป็นหนี้ค่าอาหารจ่ายดอกหน้าเลือดให้พวกนายทุนค้าอาหารเหมือนคนอื่น ๆ

สองเฒ่าจับคู่เปิดสภากาแฟขนาดย่อมแนมยาเส้นกันสักพักก็ได้สมาชิกใหม่หลังจากกุ้งของซำหม้อตายเกลี้ยงบ่อ

สายตาซำหม้อส่ายมองลุงสุข เฒ่าสุขผงะ 'ซำหม้อมันเริ่มพูดไม่รู้เรื่องเข้าทุกที ยูเนสก้งยูเนสโก้อะไรของมัน' แล้วก็ถอนใจโล่งอกเมื่อครรลองจักษุเบนไปทางคู่หู แต่โล่งไม่ทันไรสายตาซำหม้อพลันวกกลับ ลุงสุขมืออ่อนไม้อ่อนด้วยยังคิดไม่ออกว่าจะแสดงวิสัยทัศน์อย่างไรให้ประทับใจองค์ประชุม ได้แต่เสนอญัตติส่งเดช

"เป็นมรดกโลกแล้วดีอย่างไร?"

"อา..นั่นล่ะประเด็นเทียวลุง" ซำหม้อเอนหลังพิงพนัก "หลังจากโคกบัวบกจดทะเบียนเป็นมรดกโลกก็จะมีนักท่องเที่ยวแห่กันมามืดฟ้ามัวทุ่ง โดยเฉพาะพวกฝาหรั่งฮอลันดา เงินทองจะไหลมาเทมาเวียนเข้ากระเป๋าชาวโคกบัวบกไม่ขาดสาย ไอ้ที่วัน ๆ เอาแต่รอแพเรียกไปจับกุ้งคัดกุ้งแลกค่าแรงร้อยสองร้อย จะได้กลับไปออกเล ปลูกข้าว ขึ้นตาล"

"นักท่องเที่ยวเขาจะมาดูอะไรวะ? บ้านเรามีแต่ทุ่งนากับบ่อกุ้งร้าง" ลุงเพิ่มตั้งข้อสังเกต

"ตาลก็ยอดด้วน" ลุงสุขเสริมพลางพยักหน้าหงึก

"วิถีชีวิตสิลุง" ซำหม้อตอบ สองเฒ่าสบตาด้วยความฉงน เห็นก็แต่ฝาหรั่งอาบแดดเที่ยวทะเล ที่ไหนจะมาดูคนปลูกข้าวขึ้นตาล ซำหม้อแถลงต่อไปว่า "วิถีชีวิตที่พวกเขาทำสูญหาย พวกเขาคิดถึงวันเวลาเก่า ๆ ช่วงเวลาที่บรรพบุรุษของพวกเขาเพิ่งหักร้างถางพงอพยพตั้งหลักแหล่ง สังคมที่ยังเปี่ยมน้ำจิตน้ำใจ ผลัดช่วยเหลือกันไม่เกี่ยงแรง สิ่งที่เรามีกลายเป็นอดีตไม่หวนคืนไปแล้วสำหรับพวกเขา หากเราทำลายมันเสียเราก็ไม่ต่างอะไรกับคนพวกนั้นที่นับวันไม่เหลือเหง้า"

"ก็ไหนเอ็งเคยบอกธุรกิจท่องเที่ยวทำลายโลก" ลุงเพิ่มเติมข้อสังเกต

"เออใช่!" ลุงสุขรับลูกทันควัน

ซำหม้อชักอึกอักรู้สึกเหมือนพบบรรยากาศสภาเผด็จการ สองเฒ่าดูจะรวมหัวกันยึดขั้วรัฐบาลเหนียวแน่น เรื่องต่อต้านการท่องเที่ยวเล่าก็เคยโต้คอเป็นเอ็นเมื่อครั้งกระโน้น แต่นั่นมันนานกาเลคิดไม่ถึงทั้งคู่จะยังจำได้  ซำหม้อเอื้อมถ้วยกาแฟขึ้นแนบขอบปากช้า ๆ กาแฟก้นถ้วยไหลลงคอเย็นชืด ซดอึกเดียวก็หมดแต่ยังเรียบเรียงคำพูดไม่เสร็จขบแก้วคาปากเหลือบตามอง สองเฒ่านั่งจ้องเขม็ง จำอ้อยสร้อยถอนถ้วยกาแฟพรากขอบปาก

"นั่นก็ใช่" ซำหม้อยิ้มเจื่อนพยายามปะติดปะต่อความคิด "พัฒนาการท่องเที่ยวแบบไม่ควบคุมไม่มีทิศทาง มุ่งแต่หาเงินถ่ายเดียวนั้นทำลายสภาพแวดล้อมป่นปี้ ที่ท่องเที่ยวดี ๆ เขาจะคุมจำนวนไม่ให้นักท่องเที่ยวทะลักเข้ามา ล้นจากกำหนดต้องลงชื่อจองไว้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวตลอดปี ชาวบ้านมีรายได้ประจำสังคมมีความมั่นคง วิถีชีวิตพื้นถิ่นไม่ถูกทำลายเพราะความโลภของคน นายทุนหน้าไหนก็ไม่กล้าเข้าไปจับจองกว้านซื้อเพราะไม่คุ้ม"

"ข้าจะไปมีอะไรให้เขาดูวะไอ้ซำหม้อ?" ลุงเพิ่มถามอย่างจริงจัง "นาก็ถูกน้ำเค็มเข้าปลูกข้าวไม่ได้มาหลายปีแล้ว"

"วัวของลุงไง" ซำหม้อตอบ "ฝูงวัวของลุงน่ะไม่ธรรมดานะ ยี่สิบสามสิบตัวฝาหรั่งมาเจอเข้าเขาเรียกลุงว่าคาวบอยเทียวแหละ"

"เลี้ยงวัวเนี่ยนะ!?" ลุงสุขลั่นร้อง  ชักเต็มทนมีอย่างที่ไหนงานที่พวกไอ้ย้อยไอ้แมนมันยังไม่ยอมทำจะมีคนมาสนใจ แม่วัวท้องแก่ตกลูกจำต้องขายทิ้งเพราะไอ้ลูกชายทั้งสองของแกคร้านจะดูแลพวกมันหลบไปทำงานเสียในเมือง      

"อย่าทำเป็นเล่นไปนาลุง" ซำหม้อรินน้ำชาเติมให้สมาชิกสภาทั้งสอง "ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พอปลดเกษียณเขายังออกไปเลี้ยงวัวที่บ้านนอกเลย"

"งั้นเชียวหรือวะ?" ลุงเพิ่มตาโต

"เออ ๆ ๆ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ผ่านสภา" ลุงสุขพูด "เอ็งจะไปหาอ.บ.ต.ช้างเมื่อไรกันล่ะ?" 

"เอ่อ..เดี๋ยวก่อนลุง" ซำหม้อขยับก้น "รัฐบาลกำลังวุ่นทำเนียบก็ยังไม่มีจะอยู่ รอให้เรื่องซา ๆ ก่อน" กระถดเก้าอี้ "กาแฟก็หมดแล้ว เห็นทีได้เวลาปิดประชุมสมัยสามัญ ฉันจะไปตลาดหน้าโรงงานหากับข้าวหน่อย"

ซำหม้อล้วงกระเป๋าควานเหรียญสิบวางบนโต๊ะคว้าหมวกสวมหัวลุกเดินไปฉวยจักรยาน

ซำหม้อลับหลังแล้วลุงเพิ่มยังนั่งตาลอยเห็นภาพนักท่องเที่ยวพากันเกาะคอกวัวของแก บ้างกำลังให้หญ้าวัว บ้างกำลังลูบคลำเหมือนไม่เคยพบวัวมาก่อนในชีวิต เด็ก ๆ หัวเราะชอบใจได้ขี่หลังลูกวัว ไอ้พจน์พี่นังศรีไพรกลับมาช่วยแกเลี้ยงวัวกำลังส่งภาษามือกับฝาหรั่ง เสียงตาสุขสหายรักล่องลอยมาในภาพฝัน

"หากรัฐมนตรีต่างประเทศคนนั้นยังอยู่ก็ดีสินะ..โคกบัวบกจะต้องได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกแน่ ๆ"

ลุงเพิ่มผงกหัวหงึก ๆ

OOO

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น