"จำไม่ได้ว่าเคยอ่านหรือฟังมาจากไหน หากสิ้นยุคพระสมณโคดม ก็จะเป็นยุคว่าง จนกว่าจะเข้ายุคพระศรีอริยเมตไตร ในยุคว่างก่อนถึงยุคพระศรีอาริย์ท่านว่าสังคมมนุษย์จะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วยุคเริ่มต้นของพระศรีอาริย์จะคล้ายกับยุคเริ่มต้นเมื่อสมัยพุทธกาลหรือเปล่านะ สงสัยจริง นี่ข้าเจ้าชวนท่านคุยเรื่องไกลตัวไปหรือเปล่า?"

-สายลม-

เย็นแดดบ่ายสวัสดิ์ขอรับท่านสาย

ขนำน้อยอันข้าพเจ้าหลบมาปลูกเสียชายป่าชายดงนี้ หากมิมีท่านแพลมมาชวนจ้อแจ้เจรจาก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะสภาพเยี่ยงไร

คงเงียบเหงา วังเวง เป็นอาศรมฤาษีชีไพรที่ปฏิบัติวรรณฐานไปโดยวิเวก ผ่านวัตรปฎิบัติจารอักขระยามเช้า ตกเย็นปัดกวาดรอบอาศรม ย่ำค่ำจารฉันทลักษณ์อักษรแทนสวดทำวัตรเย็น วนเวียนชีพพิถีไปเช่นนี้วันแล้ววันเล่า

มีท่านนำจตุปัจจัยอันคือประเด็นสนทนามาบริจาคทาน พอที่ผู้เอกาปฎิบัติได้นำฝึกวิปัสนาวรรณฐาน นับเป็นบุญนัก ขอกุศลพึงบังเกิดแก่ท่าน จงจำเริญเมตตาบารมี เจ้านายเห็นเจ้านายรักเลื่อนขั้นปรับเงินเดือน สิ้นปีแถมโบนัสสิบสองเดือน  เพื่อนเห็นเพื่อนนิยมชมชื่นยืนล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ปล่อยให้เฝ้าห้องหอเพียงเดียว หนุ่ม ๆ เห็นพากันรุมเกี้ยวไม่ว่าจะลดเลี้ยวทางใด ขอพรจงบังเกิดแก่ทั่นทุกวันทุกคืนสืบไปเทอญ..สาธู้..

ต่อข้อปุจฉา 'ในยุคว่างก่อนถึงยุคพระศรีอาริย์ท่านว่าสังคมมนุษย์จะเป็นอย่างไรบ้าง?'

เห็นจะต้องวิเคราะห์กันก่อนว่า 'เชื่อตามนั้นหรือไม่?' 'คิดอย่างไรกับความเชื่อนั้น?'

ข้าพเจ้าเห็นลัทธิความเชื่อที่แตกต่างเป็นสีสันของสังคมมนุษย์ เป็นความงาม เป็นสิ่งน่าสนใจ (ตราบที่ความเชื่อนั้น ๆ ไม่ก้าวล่วง หมิ่นหยามความเชื่ออื่น)

ข้าพเจ้ายังไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกทะลุปรุโปร่ง แต่อนุมานเอาว่าความเชื่อเรื่องพุทธทำนายนี้มาจากเกร็ดแทรกในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคู่มือทางพุทธศาสนา(โดยเฉพาะฝ่ายเถรวาท)

เรื่องราวในนั้นมีข้อชวนสังเกตอยู่มากกล่าวอ้างเป็นพุทธวัจนะทั้งแย้งกับหลักพุทธบัญญัติ อย่างเช่นความเชื่อเรื่องเทวดา รวมทั้งการทำนายต่าง ๆ

พุทธองค์บัญญัติหลักปฎิบัติด้วยเห็นว่าหลักความเชื่อของพราหมณ์ (อันได้แก่การบูชาองค์เทพ พร่ำบทสวดภาวนา..) ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

ทำไมความเชื่อเรื่องเทพเทวดายังอยู่ในพระไตรปิฎก?

ใช่หรือไม่-เป็นกุศโลบายเพื่อเข้าถึงวิธีคิด วิถีชีวิตแบบไทย ๆ

เป็นวิธีการเดียวกับพุทธที่เข้าไปผสมกลมกลืนกับลัทธิเต๋า ก๋งจื้อในจีน ทางฝ่ายโน้นก็เกิดเรื่องราวความเชื่อและคัมภีร์ต่าง ๆ อันมีความเชื่อดั้งเดิมเป็นฐาน

ขอเพียงเรารู้แยกแยะอันใดคือแก่น อันใดคือกระพี้ ไม่สับสนปนเป เราก็จะได้หลักธรรมพิศุจธิ์น้อมนำมาใช้กับชีวิต

ลองตั้งข้อสังเกต

ขณะหลักการของพุทธที่บอกว่าเป็นทางพ้นทุกข์แท้นั้นแทบสูญหายไปจากอินเดียจนผู้นับถือพุทธจากต่างถิ่นต้องนำกลับไป (ดูจากสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้าของพาโนรามา) แต่ความเชื่ออย่างพราหมณ์ยังคงฝังแน่นในอินเดียตลอดมา..

ทำไม?

เป็นไปได้ไหมว่ามนุษย์ยังคงคิดค้น ดัดแปลง ความเชื่อต่าง ๆ เพื่อหาหนทาง หาคำตอบไปสู่ชีวิตที่ดีเฉพาะตัวที่เหมาะสมกับสภาพสังคมขณะนั้นอยู่ตลอดเวลา หากความเชื่อใดได้รับการยอมรับจากหมู่มากหรือผู้มีอำนาจ ความเชื่อนั้นก็จะขยายไปในวงกว้าง ความเชื่อที่ไม่ได้รับความสนใจขาดการสืบทอดก็สูญหายไป  

สมัยพุทธกาล ชมพูทวีปมีนักคิดบัญญัติหลักการชีวิตที่ดีงามขึ้นมากมาย บ้างคงอยู่(อย่างลัทธิเชน) บ้างสูญหาย

กระทั่งประจุบันสมัย ขณะชนชาวพุทธคิดว่าหลักที่ตนยึดคือคำตอบสุดท้ายอันนำพาชีวิตพ้นทุกข์  ยังมีหลักคิดอย่างกฤษณมูรติที่บอกให้สืบค้นในใจตน วางทุกอย่างลงเสียไม่เว้นกระทั่งศาสนา

ทุกหลักคิดล้วนแสวงหาทางออก ตอบคำถามเฉพาะตน คลายฉงนอันมีต่อชีวิตและโลก

มนุษย์ยังคงคิด, ดัดแปลงและสืบค้นต่อไป เพื่อขยายจิตฝ่ายธรรมให้แผ่กว้างยังแดนสุขาวดีที่ปลายฝัน ขณะจิตฝ่ายอธรรมยังคงเติบโตตาม หาได้ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย

มีความเชื่อมากมายกำลังสูญหายและยังมีความเชื่ออีกมากหลายกำลังเกิดใหม่

ความเชื่อนั้น ๆ ดำรงคงอยู่เคียงคู่กันไปกับความเชื่ออื่น ๆ อีกร้อยพันรูปแบบ  ขณะบัวแก้วแห่งธรรมส่องประกายแผ่กว้างนำสุขสงบประโลมใจเงามืดแห่งอธรรมก็ครอบงำคลี่คลุม ร้อนลุ่มโกลาหลไปทั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นยุคว่างหรือยุคพระศรีอาริย์

มนุษย์คงเป็นเช่นนี้

ท่านว่าไหม?

คารวะ

7 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ15 มกราคม 2552 เวลา 13:26

    ท่านมาแล้ว.. เพิ่งบอกว่าจะรอไปหยกๆ

    สงสัยอยู่หน่อยตรงที่
    หากเป็นยุคว่าง หมายถึงว่ายุคนั้นมนุษย์ไม่มีศาสนาหรือความเชื่อที่เป็นแก่นสารมาน้อมนำและยึดเหนี่ยวจิตใจ แล้วมนุษย์จะเอา บัวแก้วแห่งธรรมจากไหนเล่ามาส่องประกายประโลมใจให้สงบสุข

    ขนาดมีศาสนามีเครื่องมือบำราบจิตใจไม่ให้ใฝ่อกุศลมนุษย์ยังร้อนรุ่มทุรนทุรายได้ถึงขนาดนี้ ข้าเจ้ากำลังคิดถึงในแง่ที่ว่า'แล้วถ้าไม่มี'???

    ...ก็คงจะต้องมีแต่เงามืดแห่งอธรรมเท่านั้นที่แผ่ครอบงำคลี่คลุม

    คารวะ

    ตอบลบ
  2. โอ่..ทั่น

    ขออย่าได้เหมาหมายเอาธรรมผูกขาดเป็นของศาสนาไปเสียถ่ายเดียวสิขะรับ

    ยังมีมนุษย์อีกมากที่เขาไม่มีศาสนายังดำรงอยู่อย่างสุขสงบ แลท่านก็คงเคยสดับ มนุษย์ฆ่าฟันกันในนามศาสนา (สงครามครูเสดอาทิ)

    ก่อนมีศาสนาเล่ามนุษย์อยู่กันอย่างไร? ใช่สุขสงบรบราฆ่าฟันคละเคล้าอย่างที่เห็นนี่หรือไม่?

    ในทางกลับ ต่อให้ยามนั้นเงามืดอธรรมคลี่คลุมไปทั่ว ก็จะมีแสงแห่งธรรมฉายฉานในระดับใกล้เคียงคอยผลัดลุกผลัดถอย อยู่อีกด้าน ถ่วงดุลกันเสมอ..

    เห็นภาพยัง?

    วงกลมของเต๋า..

    อยู่ในใจเรานี่เองขอรับ..บางครั้งสุขสงบ บางคราร้อนลุ่มโกรธเคืองกระวนกระวาย ยิ่งมองหาที่ยึดเหนี่ยวก็จะยิ่งวุ่นวาย

    เฮอร์มาน เฮสเสเขียนไว้ใน 'สิทธารถะ' 'จงมองสายน้ำ แล้วสายน้ำจะบอกเจ้า'

    แถวสถานพำนักท่านมีแม่น้ำลำคลองสะอาด ๆ เปล่าขะรับ ลองเดินไปนั่งลง สูดหายใจลึก(ไม่ต้องปาก้อนหินลงน้ำจ๋อมนะ)แล้วลองสดับว่าสายน้ำบอกอะไรท่าน?

    หากไม่มี(หรือหาที่ใส ๆ ไม่ได้)ลองเปิดก๊อกน้ำแล้วนั่งมองก็ได้ขอรับ (ได้ผลอย่างไรรบกวนบอกด้วย)

    คารวะ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ15 มกราคม 2552 เวลา 22:29

    เอาล่ะ ข้าเจ้าเข้าใจแล้ว

    สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจในโลกนี้มิได้มีเพียงศาสนาพุทธ แต่ยังมีศาสนาและลัทธิความเชื่ออื่นอีกมากมายก่ายกองที่ทำหน้าที่เป็นจอมทัพถ่วงดุลอธรรมทั้งหลาย

    และแม้จะมีศาสนาหลายศาสนาให้มนุษย์ได้เลือกยึดเหนี่ยว แต่ก็ยังมีมนุษย์อีกมากมายในโลกที่ไม่มีศาสนา!

    ทำไมข้าเจ้าถึงลืมข้อนี้ไปได้นะ ?

    คนกลุ่มนี้ไม่มีศาสนาแต่เขาก็ดำรงตนอยู่ได้(บางทีอาจความสุขมากกว่ากลุ่มคนมีศาสนาเสียอีกแน่ะ)(อย่างไอสไตน์ก็เคยกล่าวว่าตนเป็นคนไม่มีศาสนา)(หากจำไม่ผิดนะ)

    นั่นน่ะสินะ แม้ไม่มีศาสนา ก็ไม่ได้หมายความว่าโลกนี้จะไม่มีคุณธรรมความดี

    ทุกอย่างย่อมมีคู่ของมัน

    หากโลกนี้มีความชั่ว ความดีจะหายไปไหนเสีย มันย่อมติดตามเนื้อคู่ของมันไปทุกหนแห่ง เหมือนพระอาทิตย์มีพระจันทร์ กลางวันมีกลางคืน...(ลิเกไปไหมหว่า?)

    ดีชั่วเกิดมาพร้อมโลก มันอยู่ในจิตใจมนุษย์ทุกตัวคน มันจะมีชื่อก่อนหน้านี้ว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่มนุษย์เพิ่งมาตั้งชื่อมันใหม่ว่า 'ความดี' 'ความชั่ว' หรือ 'ธรรม' 'อธรรม' และเอาศาสนามาตีกรอบ แต่จะมีศาสนาหรือไม่มันก็ยังดำรงอยู่ตามวิถีของมันดังที่เป็นมา

    ข้าเจ้าเข้าใจถูกไหมนี่??

    นี่สินะ ประโยชน์ของการแลกเปลี่ยนมุมมอง ทำให้เห็นในมุมที่เรามองข้าม

    .......

    คลองใกล้ที่พักนะมีเจ้าค่ะ นั่งรถเมล์ฟรี 10 นาทีก็ถึง คลองแสนแสบ!! เอ้า..ถ้ารถติดแถมให้อีก 10 นาที

    แต่ท่านก็บอกอยู่อ่ะนะ ว่าคลองสะอาด แสนแสบคงช่วยอะไรไม่ได้ ต้องเปลี่ยนมาเป็นวิธีที่สอง เปิดก๊อกน้ำแล้วนั่งมอง ได้ผลยังไงคงไม่ต้องปฏิบัติก็รู้แล้ว ---สิ้นเดือนบิลค่าน้ำบานเลยนะสิ ท่านก็

    คารวะ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ17 มกราคม 2552 เวลา 13:06

    หวัดดีค่ะท่านดิน

    มาอ่านความเห็นของตัวเองเมื่อคืนก่อน ชักรู้สึกแปลกๆ

    "ดีชั่วเกิดมาพร้อมโลก มันอยู่ในจิตใจมนุษย์ทุกตัวคน มันจะมีชื่อก่อนหน้านี้ว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่มนุษย์เพิ่งมาตั้งชื่อมันใหม่ว่า 'ความดี' 'ความชั่ว' หรือ 'ธรรม' 'อธรรม' และเอาศาสนามาตีกรอบ แต่จะมีศาสนาหรือไม่มันก็ยังดำรงอยู่ตามวิถีของมันดังที่เป็นมา"

    เหมือนไม่ศรัทธาต่อสถาบันศาสนายังไงไม่รู้ ความจริงข้าเจ้ามิได้หมายถึงอย่างงี้นะ เอาเป็นว่าตรง"เอาศาสนามาตีกรอบ"น่ะขอแก้ใหม่เป็น

    "ใช้หลักศาสนามาจัดการให้'ดี,ชั่ว'นั้น ดำเนินไปในทิศทางที่เหมาะสม เพื่อให้มนุษย์ดำรงอยู่ได้อย่างศานติสุข"

    เอาล่ะ ขอชะแว้บไปทำงานต่อ งานรอเป็นพะเนินเทินทึกเลยเจ้าค่ะ

    สุขสันต์วันเสาร์
    พระพาย

    ตอบลบ
  5. ขออนุญาตเรียนถามเรื่องส่วนตัวสักหน่อยเถิดขะรับ
    ท่านทำงานเฉพาะเสาร์-อาทิตย์จริงหรือ?

    หากเป็นอย่างนั้นน่าจะดีนะขอรับ

    หากสามารถใช้เวลาช่วงจันทร์ถึงศุกร์ทำงานเขียน เหมือนทำงานเขียนเต็มเวลาใช้ช่วงสุดสัปดาห์จัดการค่าครองชีพ ใช้ชีวิตเยี่ยงนักเขียน อา..นั่นเป็นความฝันของหลาย ๆ คนเทียวนะทั่น

    คารวะ

    เจ้ากล่องนี่เรียกให้ข้าพเจ้าคลิกสองครั้งอีกแระ..ท่านเจอเปล่า?

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ17 มกราคม 2552 เวลา 22:55

    ดึกสงัดสวัสดีเจ้าค่ะ

    ท่านดินล่ะก็ ที่บอกไปนี่ท่านไม่เชื่อเลยรึ แหล่วกัลล์
    ที่เคยบอกเรื่องงานน่ะ ไม่มีมุขเจ้าค่ะ

    รายได้ไม่มากไม่มาย แค่พอซื้อมาม่ากินไปจนถึงสิ้นเดือนแบบไม่อดตาย

    ส่วนเวลาในจันทร์ถึงศุกร์นั้นข้าเจ้าเผาผลาญให้หมดไปโดยการนั่งเอ้อระเหยลอยชายนาทีแล้วนาทีเล่า ไม่ก็อ่านหนังสือ ไม่ก็นอน(พอกลางคืนก็นั่งถ่างตาเป็นนกฮูก) เขียนโน่นนี่อีกนิดหน่อย ไร้สาระไปวันๆ

    จากที่ดูๆ นี่ยังห่างไกล'ชีวิตเยี่ยงนักเขียน'นะ ท่านว่าไหม?

    คารวะ

    เจ้ากล่องนั่นเรียกให้เบิ้ลคลิกตั้งแต่ครั้งแรกแล้วเจ้าค่ะ ถือเป็นเรื่องปกติ นานๆ ทีจะให้คลิกแค่ครั้งเดียว(อันเนี้ยะแสดงว่าไม่ปกติ)

    ตอบลบ