ฮัลโหลพี่ท่าน

เวลานี้ ณ ฟากฟ้าทางฝั่งทะเลสาบสงขลาแห่งสยามประเทศรัตนโกสินทร์ศกสองร้อยกว่า ๆ รัชกาลปัจจุบัน

ศิษย์น้องของท่านนั่งอยู่ในบ้านที่หากจะเทียบกับบ้านอื่นละแวกนี้เห็นทีจะต้องเสียมรรยาทเรียกคฤหาสน์ สองชั้นกว้างใหญ่สไตล์บ้านหลังละสามสี่ล้านที่สร้างขายในหมู่บ้านย่านวงแหวนรอบนอก ตรงข้ามเป็นบ้านไม้หลังเก่าที่ท่านผู้รจนาแผ่นดินอื่นใช้ชีวิตช่วงวัยเยาว์

พี่จิ๋มเพิ่งออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้เอง หลังแนะนำ

"บนชั้นเป็นหนังสือของกนกพงศ์ ข้างล่างเป็นของสำนักพิมพ์ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนมากขนไปกรุงเทพฯ พี่เก็บไว้ที่นี่บางส่วน"

ข้าพเจ้าหันมองโต๊ะผ้าคลุมสีเข้มลายปาเต๊ะ  'แผ่นดินอื่น' วางตะแคงอยู่เบื้องหน้ารูปถ่ายท่านหนก ซ้ายมือบนชั้นนอกจากหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คยังมีแฟ้มเอกสารเห็นแล้วอยากดึงออกมาพลิกอ่าน แต่ความขลังของยอดนักเขียนสยามก็ยั้งมืออยู่ไม่สุขของข้าพเจ้าไว้ได้แต่บังอาจใจ 

"บ้านที่คีรีวงละครับ?" ข้าพเจ้าถาม

"คืนเจ้าของไปแล้วค่ะ"

เข้าใจโดยไม่ต้องถามต่อ ความผูกพันของท่านหนกกับผืนป่าเขาหลวงและผู้คนในหมู่บ้านคงเหลือแต่ 'บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร' เป็นธรรมดาหากจะรักษาไว้ต้องมีค่าใช้จ่าย ต้องมีคนคอยดูแลรักษา เป็นภาระที่ว่างเปล่า อีกเมื่อไรเล่ากระทรวงวัฒนธรรมจะเข้ามาสนใจเรื่องราวอันเป็นประวัติอักษรศาสตร์ของชาติไม่ปล่อยให้กาลเวลาทำหน้าที่ไปอย่างไม่เลือกหน้าอินทร์พรหมเยี่ยงนี้

"ตามสบายนะคะ อย่าลืม..เป็นบ้านตัวเอง" พี่จิ๋มบอกก่อนออกไปธุระ

ข้าพเจ้าไหว้ขอบคุณ วางเป้หลัง อัญเชิญเจ้าไมเคิลคล้าวออกมาจารสาส์นถึงพี่ท่าน นั่งเขียนอยู่ต่อหน้าท่านผู้ล่วงมาก่อนกาล ข้างหมอนและเสื่อที่ท่านเคยใช้

ยังมีบทสนทนากับพี่เจนที่ช่วยเคลื่อนย้ายเจ้าเต่าน้อยออกเสียจากมุมคิดคับแคบอันเป็นผลจากฟังแต่รายงานว่าคนไทยอ่านหนังสือเพียงปีละไม่กี่บรรทัด

"ตะวันออกอ่านหนังสือไม่เหมือนตะวันตก เราไม่ได้นับกันเป็นจำนวนบรรทัด" พี่เจนกล่าว พร้อมขยายความเข้าลึกในรายละเอียดที่หากเล่าพี่ท่านฟังแล้วแทบโดดจับรถทัวร์ลงมาฟังด้วยกัน

แหย่แต่พอเป็นกระสายเรียกน้ำย่อย

มีจังหวะเวลาเมื่อไรจะส่งลายอักษรมอซอมาน้อมคารวะในกาลต่อไป 

คารวะ

1 ความคิดเห็น: