ศรี วิฆเนศวร สิทธิเษกเศิกสวรรค์ เทพวรรณรจนา เลิศวิทยาเรืองฤทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์มหิทธา ศิลปาจารย์บวรเดช เลิศวิเศษยศลือชา ขอจงมาอำนวยพร เทอญ
ประคองมาลัยดอกมะลิคลานเข่ามากราบขอพรสวัสดิ์ขอรับท่านเจ้าสำนัก
กล่าวอ้างคุณพระพิฆเนศเป็นที่ตั้งด้วยสำหรับผู้ก้าวเดินบนหนแห่งศิลปวิทยา คงหาเทพองค์ใดเสมอ
ผ่านมาสามปีแล้วขอรับ สามปีที่ข้าพเจ้ามุดศีรษะอยู่ในกะลา ปลีกตัวจากโลกภายนอก ประพฤติตนไม่ต่างฤาษีชีไพร มาตรแม้นยังไม่ถึงกับไร้เสื้อผ้านุ่งห่มพันกายแต่ก็เหลือแค่สองชุดพอผลัด เปลี่ยน เลิกบริโภคอาหารตามอยาก รับสามมื้อประทังท้อง ละเลิกของว่างสุราน้ำชากาแฟ อาศัยหลังคากะลาใบน้อยคุ้มศีรษะพอกันแดดฝน
ตัดงบประมาณค่าใช้จ่ายทั้งหมด เหลือเพียงค่าอาหาร ไม่มีหนังสืออ่าน ไม่ฟังเพลง ไม่ดูหนัง เพราะรู้ว่าจะต้องเดินทางไกล เดินตามร่องเท้าเล็ก ๆ ซึ่งท่านได้ทิ้งรอยไว้
ทุกบาททุกสตางค์จะต้องเป็นเสบียงเพื่อไปให้ไกลสุด
บั้นต้นออกเดินทางยังไม่อาจละวัตรเคยชิน ยังติดเฝ้าบอลไม่เลิกรา ท่านกรุณาทักว่า "จะเลือกเตะบอลหรือเตะอักษร" แน่ล่ะคำตอบชัดแจ่มในกระดองใจ ข้าพเจ้าเลือกเตะทีวีทิ้ง
ตอนนั้นยังพ่วงโน้ตบุ๊คร้องคาราโอเกะอยู่กับขนำพอได้แหกปากระบายเหงา แต่ก็ยวนกิเลสให้ซื้อเพลงใหม่ร่ำไป เป็นที่บั่นทอนเสบียงกรัง เครื่องเสียงจึงระเห็จตามทีวีอีกราย
ที่สุดนั่งฟังเสียงจิ้งหรีดกรีดปีก ตาก็แหงนดูฟ้าดูดาวแทนใบหน้าคุณนกกระเต็นซึ่งหลงรักเสียเป็นนักหนา
ขจัดทุกอย่างรอบกายเพื่อใจจะได้สาระวนอยู่กับแป้นคีย์โดยสิ้นกังวล
ย่ำปลายนิ้วเดินทางมาสามปี ด้วยจำนวนหลายแสนกิโลอักษร
บางครั้งก็เหนื่อยหอบสิ้นแรงขอรับ
หัวใจรอนราวตะเกียงเก่าต้องลมกรรโชกจะดับมิดับแหล่ เหมือนเรือไผ่น้อยชักใบตองล่องทะเลฝันคราสิ้นลมโบย ลอยต่องแต่งจะคว่ำมิคว่ำแหล่
ท่านเจ้าสำนักกรุณาส่งสายลมมา "ขอบคุณสำหรับจดหมายแสนไพเราะครับ เล่าดี ภาษาดี เมื่อไรจะออกหนังสือเสียทีละครับ?"
เจ้าเรือน้อยได้แรงลมตึงใบล่องทะเลอักษรเวิ้งว้างต่อไป
ข้าพเจ้าเดินทางเปะปะมาไกล กวาดตามองไม่เห็นฝั่ง เสบียงกรังก็ร่อยหลอจนเหลือแต่ก้อนเกลือ ที่มีอยู่เพียงความมั่นใจว่าท่านเจ้าสำนักคงมองไม่ผิด ลายอักขระที่ขีดเขียนไปโดยพร่องเดียงสานั้นจะต้องมีอะไรสักอย่าง ขอเพียงฝึกฝนให้มากพอ ฝึกจนกว่าความชำนัญเปล่งประกายดุจหินสีผ่านเจียระไน
ล่วงปีที่สาม อาศัยเพียงความมั่นใจจากวาจาท่านผู้ผ่านอักขระรจนาการ ยังคงดั้นด้นมา ดั้นด้นจนอ่อนแรงล้า
จนเริ่มลังเล
ทั้งความจริงที่พบก็ชวนสะดุ้งใจ เขียนหนังสือนั้นฝึกฝนกันได้ เมื่อฝึกถึงจุดหนึ่งใคร ๆ ก็เขียนได้ แต่ยังต้องมีอะไรบางอย่างขีดกั้น 'เขียนได้' กับ 'เขียนดี' ออกจากกัน สิ่งนั้นคืออะไร? ทำอย่างไรจึงจะข้ามเส้นคั่นบาง ๆ ที่คล้ายขุนเขายะเยือกนี้ไปให้ได้? คำถามมากมายประดังราวพายุซัดเรือน้อยแทบล่มแทบจม
และแล้วก็ได้แรงลมโชยมาอีกหอบ
ครั้งนั้นมีคำถามอันเนื่องด้วยนิยมชมชื่นรสถ้อยสองลายอักขระที่แวะเวียนส่ง สาส์นทักทายท่าน หนึ่งนั้นชักใบล่องลมอยู่ในบรรณพิภพเป็นที่เรียบร้อย อีกหนึ่งยังต่องแต่งจะล่มมิล่มแหล่
ท่านก็ส่งแรงลมอุ่นมาแผ่วเบา "..ทั้งสองคนนี้ใช้ภาษาดีทั้งคู่ ช้าหรือเร็วก็คงเป็นนักเขียนเต็มตัวเสียทีนะครับ"
เจ้าเรือซำเหมาน้อยล่องลอยตามแรงลมไปอีกครา
ท่านเจ้าสำนักขอรับ..ยามค่ำคืนที่มีแต่ท้องฟ้าและแสงดาว เหลียวไหนเห็นแต่ความเวิ้งว้างดำมืดไม่รู้ทิศรู้ทางนั้นเปล่าเปลี่ยวนัก ดาวเหนือทอสว่างคล้ายบอกว่า 'ติดตามข้ามา..แล้วเจ้าจะไม่หลงทาง' ทะเลเต็มด้วยน้ำแต่ไม่อาจประทังท้อง เสียงคลื่นยามค่ำคืนคอยปลอบประโลม "ฝั่งหาใช่จุดหมายปลายทาง การเดินทางจึงคือที่ซึ่งจิตวิญญาณนักเดินทางสถิต" เงาจันทร์สะท้อนผิวน้ำ เจ้าเรือน้อยสิ้นแรง กระเพื่อมไปตามระลอกคลื่นในแผ่วลมค่ำคืนเปลี่ยวเหงา
และแล้ว..
เช้าวันหนึ่ง..เรือไม้ไผ่โกโลโกโสก็จอดเทียบท่า 'จุดประกายวรรณกรรม' ตัวอักษรที่มันดั้นด้นบรรทุกมาจะถูกลำเลียงขึ้นท่าเป็นครั้งแรก
หาใช่ปรีดาปราโมทย์ มิใช่ลิงโลดยินดี
เสียงกระซิบยังแจ่มชัด '..การเดินทางจึงคือที่ซึ่งจิตวิญญาณนักเดินทางสถิต' คำท่านยังดังก้อง "งานเขียนยังคงเดินหน้า"
เติมน้ำท่าชั่วครู่แล้วเจ้าเรือน้อยจะออกเดินทางต่อ เดินทางติดตามสำเภาลำใหญ่ที่เห็นอยู่ไกลลิบตรงขอบฟ้า..
คลานเข่านำพวงมาลัยดอกมะลิมากราบขอโอวาทขอรับ
น้อมคารวะ
ธุลีดิน
2009-03-23 06:45:50
winbookclub
คำตอบ
ตอบเมื่อ: 2009-03-23 11:03:06
ผมชักไม่แน่ใจว่าคุณเป็นนักเขียนหรือว่านักบวชเสียแล้วซี! เหมือนมือกระบี่ที่ฝึกฝนเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะเป็นยอดฝีมือ
ผมเห็นว่าการทำงานเขียนหนังสือเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง ผู้สร้างงานควรที่จะสนุกและมีความสุขกับมัน ไม่สมควรที่จะฝืนหรือทรมานในการทำงาน และไม่น่าจะใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง ไม่เชื่อดูประวัติศาสตร์วงการหนังสือ จำนวนนักเขียนที่ใช้ชีวิตเฮฮามีมากกว่าพระนักเขียนหลายเท่า! แม้แต่นักเขียนที่เก็บตัวในป่าราวกับฤาษีอย่างคุณกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ก็เป็นคนที่เฮฮามาก
ยินดีด้วยครับที่มีโอกาสขึ้นเทียบท่า เชื่อว่าคุณยังไปได้ครับ และขอให้กำลังใจทั้งคุณและนักเขียนคนอื่นๆ ที่กำลังพยายามอย่างเต็มที่อยู่ในเวลานี้ ฝึกฝนจริงจัง แต่อย่าซีเรียสจนเกินไปนะครับ เกร็งเกินไปแล้วจะชักกระบี่ไม่คล่องนะครับ
บ่ายวันจันทร์สวัสดิ์เจ้าค่ะ
ตอบลบไม่แน่ใจว่าเป็นการเล่นคำ? ตั้งใจ? หรือมีเหตุผลใดหรือเปล่า
เห็นท่านใช้ตัวนี้หลายครั้งแล้ว 'โกโลโกโส' ไม่ว่าจะคุยกับสหายในบอร์ด คุยกับข้าเจ้า คุยกับท่านเจ้าสำนัก
ข้าเจ้าเคยได้ยินแต่ 'โกโรโกโส'
ตามพจนานุกรมก็มีความหมายเฉพาะคำนี้
เห็นครั้งแรกนึกว่าท่านพิมพ์ผิดเลยปล่อยผ่าน เห็นครั้งที่สองคิดว่าท่านคงต้องการเล่นคำ เลยไม่ใส่ใจ เห็นครั้งที่สามชักเริ่มสงสัย(หากท่านไม่ใช้คำผิดก็แสดงว่าต้องมีเหตุผลบางอย่าง)จึงอยากถามไถ่ มีเหตุผลอันใดวานบอก
สุขสันต์ทุกวันขีดเขียนเจ้าค่ะ
แฮ่ ลืม!
ตอบลบต้องการคำตอบ
'สะดึ๊กปรึ๊กกก' แปลว่าอะไร?
กลอนเรียกเป็น 'บั้ง' หรือ?
เพิ่งทราบว่าท่านพี่ ได้เทียบท่า จุดประกายฯ
ตอบลบขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ :)
...
ขอบคุณท่านสายลม สำหรับจดหมายขอรับ
วันนี้หมดแรง ว่าจะเขียนตอบท่านเสียหน่อย ๕๕๕
จากน้องสาม
แฮ่..เขียนผิด!
ตอบลบขอบคุณขอรับ..ขอบคุณ..
ปล่อยไก่ไปหลายตัว ยังมีคำ 'ระเห็จ' ข้าพเจ้าพิมพ์เป็นระเห็ด ไม่แน่ใจคิดตรวจตัวสะกดแต่ก็ลืม
คำไม่แน่ใจยังพอทำเนา แต่กับคำที่จำผิดเขียนผิดโดยมิกังวลสงสัยนี่สิ หากมิได้อักขรากัลยาณมิตรเยี่ยงท่านคอยเคาะกะโหลก เห็นทีข้าพเจ้าคงผิดไปจนชีวาวาย..ขอบคุณขอรับ..ขอบคุณ..
สะดี๊กปรึ๊กเหรอ...?
คงเป็นภาษาเขมร..เอ่..หรือปกากะญอ (หว่า)
ปะคำที่ดูไม่เข้าเค้านัก รบกวนยกประโยชน์ให้ลูกลิงในหัวใจบ้างเถอะนะตะละแม่ เขียนเล่นพอสำเริงใจน่ะขะรับ ส่วน บั้งกลอน นั่นก็อิหรอบเดียวกัน (คราวหน้าอาจเปลี่ยนเป็น 'บ้อง')
คารวะ
ขอบคุณสหายพี่สาม ท่านเองเหนือชั้นอยู่แล้วขะรับ รอแต่จังหวะเหมาะสมเท่านั้น
อาร์...เรียบร้อยแล้ว
ตอบลบข้าเจ้านึกว่าท่านจะคางเหลืองต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มเสียอีก เห็นกลับมาเรียบร้อยดีแบบนี้ค่อยเบาใจหน่อย คราวหน้าคราวหลังก็ระวังๆ หน่อยนะทั่นอย่าปล่อยให้ข้าศึกบุกทะลวงได้ง่ายๆ เสียเชิงแย่ :)
ก็คำสะดึ๊กปรึ๊กนั่นทั่นชมข้าเจ้าไม่ใช่หรือ? ประมาณว่า 'ดีสะดึ๊กปรึ๊ก' ข้าเจ้าก็อยากรู้สิท่านชมว่าอะไร เกิดทั่นชมผสมเหน็บจะได้รู้ทัน(ไม่ใช่ดีแต่หน้าระรื่นยิ้มรับคำชมเผลอโดนคำชมผสมหลอกด่าเข้าให้ หมดกัลล์)
กลอนเขาไม่ได้เรียก'บั้ง'ไม่ได้เรียก'บ้อง'แล้วจริงๆ เขาเรียกว่าอะไรละเจ้าคะ? เห็นบางคนเรียก'บท' ข้าเจ้าว่าบทนี่มันใช้เรียกในจำนวนสี่วรรคอยู่แล้ว หรือจะเรียกหนึ่งเรื่อง? หรือหนึ่งชิ้น? หรือ ???
ในสำนักกำลังครึกครื้นงานนัดหนอนกันเชียว พลอยให้นึกถึงวันที่ ๑ ที่จะถึงนี่ด้วย พอจะบอกได้ไหมเจ้าคะมีใครไปให้กำลังใจทั่นบ้างยัง?
ปกติตามทำเนียมปฏิบัติของข้าเจ้า งานสัปดาห์หนังสือข้าเจ้าจะไปครั้งละหนึ่งวัน(หากไปหลายวันได้กลับมาต้มหนังสือซดน้ำประทังชีวิตแน่) และทุกปีจะไปกับสหายสุดรักทั่นหนึ่ง ครั้งนี้ยังไม่ได้นัดวันกันแน่นอน แต่ที่คุยกันคร่าวๆ คิดว่าจะไปกันวันที่ ๖ เพราะข้าเจ้าทำงานเสาร์-อาทิตย์ส่วนพ่อเจ้าประคุณทำงานจันทร์-ศุกร์ และเผอิญวันที่ ๖ เป็นวันหยุดนักขฤกษ์(ไม่แน่ใจว่าวันจักรีป่าว?)
หากทั่นมีสหายไปให้กำลังใจหลายทั่นแล้วข้าเจ้าก็ค่อยเบาใจขอปลีกตัวไม่ไปในวันที่ ๑ แต่จะไปตามกำหนดการเดิมคือวันที่ ๖(ขอทั่นโปรดอย่าได้มองว่าเป็นความ'ใจดำ' ที่ข้าเจ้าไม่ได้ไปร่วมยินดีกับทั่นในครั้งนี้ ทั้งที่ท่านเดินทางมาไกลและมีน้ำใจชักชวนให้ไปปะหน้าตากันสักครา ขอเรียนทั่นตามตรงว่าข้าเจ้าไม่ใคร่ถนัดร่วมสังสรรค์กับผู้คนมากหน้าหลายตา)
แต่หากไม่มีใครไปให้กำลังใจท่านมากนัก(ก็เข้าใจว่าเป็นวันทำงานของผู้คนทั้งหลายอ่ะนะ)ข้าเจ้าก็ยินดีไปพบเจอ และจะได้บอกเลิกนัดเพื่อนแต่เนิ่นๆ หากเป็นในกรณีนี้ขอทั่นโปรดวางใจเรื่องที่จะทำให้ข้าเจ้าผิดใจกับเพื่อนนั้นไม่มีแน่นอน เพราะเราไปงานหนังสือด้วยกันทุกครั้งที่มี หากเที่ยวนี้ไม่ได้ไปด้วยกันเที่ยวหน้าก็ยังไปด้วยกันได้
---
เห็นทีจะได้ฤกษ์งามยามดีเข้าวัตรปฏิบัติเหมือนเช่นเคยกระทำแล้วเจ้าคะ หลังจากที่ทำตัวเลื่อนเปื้อนเปล่าปลี้มาหลายเพลา หาได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้เวลาสลายหายไปโดยไร้ความหมาย ข้าเจ้าร่ำๆ คิดถึงเวลาที่นั่งก้มหน้าก้มตาพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดประจงสร้างสรรค์ทำนองชีวิตของตัวละครต่างๆให้โลดแล่นไปตามวิถีทางจินตนาการ
ยามคุยกับท่านเสร็จในแต่ละครั้งก็บอกว่าจะแต่งนิยายต่อ แต่หาได้แต่งต่อจริงจังนักเปิดขึ้นมานั่งดูแล้วก็ปิด หยิบอย่างอื่นขึ้นมาเขียนยุกๆยิกๆ ไปตามประสา ได้ความมั่งไม่ได้ความมั่งก็หาได้ใส่ใจ หลายครั้งที่ถามตัวเองว่า'เมื่อไหร่เราจะเขียนนิยายให้จบเสียที?' กลับไม่มีคำตอบจากสวรรค์
เพราะแท้จริงสวรรค์หาได้ลิขิตชีวิตใครเราต่างหากลิขิตชีวิตเราเอง เพราะฉะนั้น นั่งลงหน้าแป้นคีย์แล้วรวบรวมลมปราณซะ!!!
วันนี้เปิดขึ้นมานั่งป๊อกๆ ได้สักหน้ากระดาษมั้งก็ถึงเวลาออกกำลังกาย จะทำเป็นไม่สนใจนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ต่อก็ดูเหมือนจะละเลยเรื่องสำคัญอันไม่สมควรเลยยอมผละออกมาเสีย บางทีการทำให้เลือดลมเดินคล่องสมองปลอดโปร่งอาจทำให้คิดอะไรดีๆกว่าที่เป็นอยู่
หวังว่าคืนนี้จะเป็นอย่างนั้น
ขอท่านอิ่มสุขในงานเขียน
คารวะ
ปล๑.เมื่อเริ่มวัตรปฏิบัติก็เป็นอันว่า เจอกันปลายสัปดาห์เจ้าค่ะ
ปล๒.อีกคำหนึ่งที่เห็นว่าผิด(ไม่แน่ใจตั้งใจเขียนป่าว?)
สาระวน-->สาละวน
ลืมอีกแระ!
ตอบลบถึงท่านสาม
ไม่เป็นไรเจ้าค่ะสำหรับจดหมายไม่ต้องตอบก็ได้ ข้าเจ้าแค่นึกสนุก :)
อิ่มเที่ยงสวัสดิ์ขอรับท่านสาย
ตอบลบวันที่ ๑ นั่นขออย่าได้นำมาใส่ใจเลยขะรับ อย่างที่เรียนท่านเจ้าสำนัก เจ้าเรือไผ่น้อยแวะท่าชั่วครู่ก็จะเดินทางต่อ ไม่มีหมายใดมากไปกว่านั้น
ข้าพเจ้าผ่านช่วงเวลาสังสรรค์มาเนิ่นแล้ว รสชาติวิสาสะไม่มีผลยวนความสนใจใคร่รู้อีกเลย เว้นแต่จะได้พบปะพูดคุยกับท่านผู้คร่ำชีวิต รับรู้วิธีคิด มุมมองท่าน
ทั้งการปลีกวิเวก ใช้ชีวิตโดยเดียวมานาน ทำให้พร่องทักษะอยู่ร่วมรวมเหล่า ข้าพเจ้าเงอะงะหันซ้ายหันขวาทำอะไรไม่ถูก เดินในห้างยังพาลเมาผู้คนยังกับซดขวดเขียวเข้าไปครึ่งโหล
ความยินดีและกำลังใจนั้นข้าพเจ้าได้รับจากท่านทุกครั้งที่แวะขนำอยู่แล้ว มิพักเสาะหาจากการอื่นใดอีกเลย
ใคร่เรียนให้ท่านเบาใจ วันนั้นพี่ท่านอานันท์คงไปนั่งลุ้นเป็นเพื่อน ท่านมีงานเฝ้าบูธหนังสือทุกวันอยู่แล้ว (วันนั้นอาจต้องลา)
ทราบผลอย่างไรแล้วจะโผล่แจ้งท่านและเหล่าสหายหนอนที่บอร์ดขะรับ
คารวะ
ป.ล. ขอบคุณสำหรับสาละวนขอรับ (เขียนผิดมานาน แต่เที่ยวนี้ผิดเพราะนิสัยซุกซนชอบเล่นกับตัวอักษรของข้าพเจ้าเองโดยแท้ จำได้ตอนนั้นแกล้งเขียนให้เป็น 'สาระ' เพื่อเอาความ ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นจำผิดจนได้) ขอบคุณขอรับ..ขอบคุณ..
ส่วนลักษณะนามของ 'กลอน' นั้น ข้าพเจ้าก็จนด้วยเกล้า สงสัยดังท่านเอ่ยมานั่นแล จึงได้เลี่ยงเป็น 'บั้ง' บ้าง 'บ้อง' บ้าง เห็นทีต้องจุดธูปเรียกตำราเดินได้ทั่นคั่นเสียแล้วขะร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
สหายพี่สามนั้นน่ากราบนัก หัวใจท่านคล้ายเจ้าเบบ หมูน้อยหัวใจเทวดา เห็นโลกหลากหลายด้านและทุกด้านเป็นด้วน เอ้ย! ด้านสวยงาม
สหายพี่สามให้บทเรียนข้าพเจ้าไว้มากมาย ทุกครั้งไม่เคยเอ่ยวาจายกตน มีแต่อ่อนน้อมถ่อมตัว ถ่อมจนน่าเหยียบ!
การที่ท่านกรุณาทักถามอาจสะกิดให้หยุดคิดก็เป็นได้ ส่วนจะคิดอย่างไรนั้นผู้ถามหาได้นำพา เพียงหวังให้หยุดคิดเป็นพอ
สหายพี่สามเองอาจไม่ได้คิดเช่นนี้ แต่นั่นล่ะคือบทเรียนที่ข้าพเจ้าได้รับจากท่านเสมอมา