เธอผู้พลัดพามากับสายลม
ฉันเฝ้าดุ่มเดินเลาะริมหาด คราตะวันยอแสงประกายคลื่นสีทองซับรอยทรายระยิบระยับ กวาดตามองหาอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่เป็นสัญญาณจากแดนไกล เห็นดวงดาวที่ตกจากฟากฟ้าเมื่อคืนถูกคลื่นซัดเกยฝั่ง คล้ายบอกว่ายังมีความหวัง คงมีสักวันที่ฉันจะได้รับข่าวคราวจากดวงดาวไกลโพ้น
วันแล้ววันเล่าฉันขีดเขียนตัวอักษรลอยไปกับขวดแก้ว หวังให้ไปถึงใครสักคน
โลกสีหม่นของฉันมีเพียงความเงียบงัน จริงอยู่สรรพเสียงรอบข้างยังก้องกังวาน ฉันสดับเสียงธารน้ำไหล เสียงคลื่นกระทบฝั่ง เสียงเสียดสีของก้านกิ่งไม้ และเสียงหยอกเย้าของเหล่าสกุณา แต่ภาษาของฉันเล่า มีผู้ใดรับฟัง บางครั้งเราหาได้ต้องการคนรอบข้างมากมาย ขอเพียงรู้แน่ว่ามีใครสักคนคอยฟังเสียงของเราอยู่อย่างตั้งใจ นั่นคงเป็นความอบอุ่น ไม่ต่างกองเพลิงน้อยให้แสงในราตรีที่มิดมิดและหนาวเหน็บ
แต่ที่ฉันได้รับมีเพียงเสียงของความว่างเปล่า วันแล้ววันเล่า ฉันส่งตัวอักษรออกไปทั้งรู้ว่าไร้หวัง
บนโลกเงียบเหงาเปล่าร้าง ฉันยังคงย่ำเท้าไปบนหาดทรายไร้ที่สิ้นสุด ข้างหนึ่งเป็นท้องทะเลสีทองจรดขอบฟ้า เห็นนกนางนวลโผลงจิกปลายคลื่น อีกข้างเป็นพุ่มไม้เตี้ยสลับทิวมะพร้าวทอดยาวไปกับแนวหาด ฉันก้มหน้าดุ่มเดิน จารึกฝีเท้าแผ่วเบาไว้กับรอยทรายเพียงเพื่ออีกอึกใจก็จะถูกคลื่นลบเลือนหาย ใช้เวลาอยู่เช่นนี้วันแล้ววันเล่า
แล้ววันหนึ่งปาฏิหาริย์ก็ปรากฏ
ปีติยินดีนั้นเกินกล่าว การได้รับจดหมายเป็นเหมือนสายฝนโปรยปรายบนผืนดินแห้งผาก มิพักกังวลเลยว่าฝนเม็ดนั้นหล่นเพื่อดินก้อนไหนหรือไม้ต้นใด ความชุ่มชื่นที่ได้รับล้วนควรค่าต่อปีติยินดี
บนดวงดาวสีดิน บนแนวทรายไร้ขอบเขตและที่สิ้นสุด ฉันยังคงดั้นด้นต่อไป แม้เส้นทางเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง ยินเพียงเสียงนกนางนวลจากที่ไกล ฉันยังคงก้าวเท้าไป เพราะยามนี้ตระหนักแล้วว่ามิได้ดุ่มเดินเพียงลำพัง
ณ ดวงดาวสีน้ำเงินไกลโพ้นยังมีใครอีกคนเฝ้ามองอยู่
ยินดีที่ได้รู้จักกัน
ผู้เถ้าจากดวงดาวสีดิน
กลางร้อน ๒๕๕๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น