ขอเป็นคนหนุ่มวัยยี่สิบต้น ทรงผมเค้าหน้าคล้ายซิโก้กิตติศักดิ์อดีตศูนย์หน้าทีมชาติไทย สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เนื้อดีแผกเสื้อผ้าชาวลาวทั่วไป
ขอเรียนจบอนุปริญญาจากเวียงจันทน์กลับมาหวังเป็นครูที่บ้านเกิด แต่เงินเดือนไม่พอใช้จึงลาออกมาช่วยงานครอบครัว
พ่อของขอแล่นเรือขึ้นล่องลำโขงมาหลายสิบปี ขอบอกว่ารายได้จากเรือนี้ส่งลูก ๆ เรียนจนพี่สาวอีกคนจบพยาบาล พี่ชายฝาแฝดไม่ชอบเรียนหนังสืออยู่ช่วยงานพ่อจนตอนนี้รับหน้าที่ขับเรือแทนแต่ก็ยังต้องมีพ่อคอยควบคุม
ขอไม่ชอบชีวิตคนเรือซ้ำซากจำเจ อยากมีชีวิตที่ดีกว่าจึงจากบ้านไปเรียนหนังสือ..
เรือหางเคลื่อนออกจากฝั่ง ตีวงตั้งลำมุ่งฟากตรงข้าม แดดอุ่นยังอ้อยอิ่งอาบไล้ลำน้ำทอดทาบลำเรือที่จอดรายเรียง
พอเสียงเครื่องยนต์แผดขึ้น กราบเรือก็กรีดสายน้ำโขงออกเป็นระลอก ฟองคลื่นลูกย่อมไล่ลิ่วตามกันไปทางท้ายเรือแลเป็นทิว สายลมหนาวปะทะใบหน้า..หนาวจนต้องห่อตัว
ข้าพเจ้าเหลียวไปหันมาหมายจับภาพทิวทัศน์สองฝั่งไว้ในความทรงจำ เพราะเดินทางแบบเที่ยวเดียว ทุกภาพตรงหน้าเคลื่อนไปไม่อาจฉายย้อน เสียดายยังไม่ทันทักทายทำความรู้จักเชียงของข้าพเจ้าด่วนใจเร็วข้ามฟากเสียแต่วันแรกถึง
ขั้นตอนตรวจหนังสือเดินทางฝั่งลาวรวดเร็วไม่ด้อยฝั่งไทย กรอกแบบฟอร์มบนเคาน์เตอร์แล้วยึ่นให้เจ้าหน้าที่ รอเพียงครู่ข้าพเจ้าก็ออกเดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวไต่เนินขึ้นไปท่ารถสองแถว
จากฝั่งเชียงของมองเห็นท่าเรือช้าเพียงเยื้องท่าเรือข้ามฟาก คงเป็นด้วยขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง ป้องกันสับสนปนเปจึงแยกสองท่าออกจากกัน กระจายรายได้สู่กลุ่มรถสองแถวส่งนักท่องเที่ยวอีกชั้น
รถสองแถวแล่นขึ้นเนินผ่านตลาดแล้ววกลงฝั่งแม่น้ำ ประมาณสิบ-สิบห้านาทีก็ถึงท่าเรือช้า
เห็นเรือลำยาวจอดเรียงเป็นตับ
เดินไปก็นึกสงสัยใจ จะรู้อย่างไรลำไหนไปหลวงพระบาง? เลยลองถามคนที่ยืนเรียงอยู่บนคันขอบทางด้วยภาษาไทยชัดเจน
"ขอโทษครับ ลำไหนไปหลวงพระบางครับ?"
ผู้ฟังชี้มือ ตอบกลับชัดถ้อยชัดคำ "ลำโน้น" แถมด้วย "ซื้อตั๋วโพ้น" ชี้มือขึ้นไปที่อาคารบนเนิน
ข้าพเจ้าขึ้นไปดู สำรวจราคา พี่แพงเจ้าหน้าที่ขายตั๋วแจ้งว่าเรือหมายเลข 100 เพื่อความไม่ประมาทเห็นทีจะต้องสำรวจเรือให้แน่ก่อนจ่ายเงิน ข้าพเจ้าลงไปที่เรือ มองหาลำหมายเลข 100
เรือลำยาวร่วมสามสิบสี่สิบเมตรจอดเรียงซ้อนชิด ด้านหน้าเรียวแคบไม่มีประตู ใช้แผ่นไม้ทอดจากฝั่งยังข้างเรือ เด็กหนุ่มกำลังยกข้าวของขึ้นหลังคา ใบหน้าชุ่มเหงื่อ
"สะบายดี"
เสียงทักทายนี้ยินแต่แรกก้าวขึ้นท่ารถสองแถว เป็นเสียงลากสำเนียง 'ดี' แผ่วหาย อ่อนโยน แต่เสียงทักทายสะบายดีแรกบนแผ่นดินลาวที่ดังก้องในความทรงจำข้าพเจ้าคือเสียงของเด็กหนุ่มหน้าซื่อดูเอาจริงเอาจังท่าทางขี้เกรงใจคนนี้
ข้าพเจ้าบอกสะบายดีตอบแต่สำเนียงแปร่ง หางเสียงยังคงกระด้างไม่อาจเลียนอย่าง
"เรือไปหลวงพระบางใช่มั้ยครับ?"
"ใช่"
เราทำความรู้จักกัน ข้าพเจ้าจองที่นั่งตัวหน้าบอกฝากย่ามไว้กับขอแล้วขึ้นไปซื้อตั๋ว หามื้อเช้ารองท้อง
เดินย้อนขึ้นเนินหวังมองหาแผงหรือร้านอาหารที่ชาวบ้านกินตามปกติ ไม่ใช่ร้านที่เปิดสำหรับนักท่องเที่ยว พบร้านก๊วยเตี๋ยวหัวมุมถนน มีลูกค้านั่งเต็มสองโต๊ะ ส่วนแม่ค้ากำลังหั่นหมูหั่นเครื่องใน ข้าพเจ้าหันรีหันขวางไม่รู้จะกินอะไรหรือสั่งว่าอย่างไร
แม่ค้าใจดีช่วยอธิบายแต่ก็ดูเหมือนสมองขี้แพ้ป.4 จะสับสนปนเปจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร ที่ความจำพอจะแยกแยะก็คือเขาไม่เรียกก๊วยเตี๋ยวแต่เรียก 'เฝอ' มีเส้นเล็ก เส้นหมี่ หากเป็นเส้นกลมอ้วนขาวแบบอุด้งเรียก 'ข้าวเปียก' เป็นอันมื้อแรกในลาวคือเฝอเส้นหมี่ แนมด้วยผักสด(สดจริง ๆ)จิ้มเต้าหู้ยี้
กลับมาอีกทีมีฝรั่งนักท่องเที่ยวเต็มลำแล้ว เรือยังคงจอดนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะออกตามกำหนดเวลา ดูเหมือนยังมีข้าวของที่ขอจะต้องทยอยยกขึ้นเรือไม่หมดไม่สิ้น หันมองในเรือพวกฝรั่งนั่งประจำที่กันสลอน แต่แล้วยังมีอีกกลุ่มคล้ายทัวร์บัสคันเดียวกันโผล่มา เหมือนคลื่นใหญ่ซัดเข้าเรืออีกระลอก ทั้งคนตัวใหญ่ ๆ เป้หลังขนาดยักษ์ยึกยักก้าวขาเรียงหนึ่งบนไม้กระดานลงเรือ แน่นจนไม่มีที่ยืนที่วางเป้
ข้าพเจ้าลุกไปยื่นมือช่วยประคองฝรั่งข้ามแผ่นไม้ บอกให้ระวังหัว พวกที่เข้ามาแล้วยืนอัดกันอยู่ด้านหน้าเรือ สภาพโกลาหล หน้าไปไม่ได้ หลังก็จะอัดเข้ามา พ่อของขอตะโกนให้ข้าพเจ้าช่วยบอกฝรั่งเดินเข้าภายใน ขอขึ้นขนย้ายเป้บนหลังคาขณะจอยพี่ชายจัดคนจัดของอยู่ด้านหลัง ข้าพเจ้าส่งเป้ขึ้นหลังคา ปากก็คอยบอกให้คนตัวใหญ่กลุ่มนี้เดินไปหาที่นั่งข้างหลัง (ทั้งยังงง ๆ ว่ายัดเข้าไปได้อย่างไร)
ไม่น่าเชื่อ..
ทุกคนมีที่นั่ง
พี่แพงเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจรายชื่อ-จำนวนคน ก่อนขึ้นเรือยังไม่ลืมหันมาอวยพรข้าพเจ้า เป็นอันได้เวลาขอปลดเชือกผลักเรือถอยออกจากท่า มีจอยเป็นสารถี ผู้พ่อนั่งอยู่ข้าง
ครั้นเรือตั้งลำแล่นล่อง เสียงคลื่นน้ำปะทะลำเรือซ่านซ่า ข้าพเจ้าลุกมองหาเปยลาวหวังแกล้มสายลมเย็น
ขอยืนประจำเคาน์เตอร์เครื่องดื่มหน้าห้องเครื่อง มีชั้นวางของขบเคี้ยวบนผนัง ถังเก็บความเย็นสีส้มแช่เครื่องดื่มเต็มอัตรา
"ลดให้พี่เป็นพิเศษ" ขอบอกตอนยื่นเงินทอน ข้าพเจ้าอ่านพบกิตติศัพท์เรื่องของในเรือนั้นแพงจนกินแทบไม่ลง หวังอยู่ว่าอัตราลดพิเศษจะช่วยให้ข้าพเจ้าดื่มได้มากกว่าที่เกรงสักเล็กน้อย
"ขอขับเรือด้วยเปล่า?" ข้าพเจ้าถาม ขอส่ายหน้า
"จอยเป็นคนขับ เขาขับมาเกือบสิบปีแล้ว"
"โห..สิบปี ยังต้องมีพ่อคอยนั่งคุม!"
ขอพยักหน้า "ขับเรือยากเกาะแก่งเยอะ"
"ไม่เป็นไร ขายของรวยกว่า" ข้าพเจ้าหยอก "ยังคิดกลับไปสอนหนังสืออีกมั้ย?"
"คิด" ขอตอบ "ผมชอบสอนหนังสือ จะอยู่ช่วยพ่อสักพักแล้วไปสอนอีก..แต่..เฮ้อ.."
"ชอบสอนหนังสือก็ไม่เห็นต้องเข้าในระบบนี่.." ข้าพเจ้ายกเปยลาวจิบ ๆ พบว่ารสคล้ายเบียร์สดเลยซดรวดเดียวเหลือก้นกระป๋อง "เรือลำนี้สร้างชีวิตเรามานะ เราน่าจะรักมัน ดูแลมันให้ดี ใช้เวลาว่างสอนหนังสือเด็ก ๆ ก็ได้" ข้าพเจ้าเล่าเรื่องครูสังคม ทองมีให้ขอฟัง พยายามบอกให้เห็นว่าจิตวิญญาณของผู้สอนนั้นยิ่งใหญ่กว่าจะเอาไปขังไว้ในระบบที่ทั้งคับแคบทั้งรายได้แทบไม่พอเลี้ยงชีพ ขณะเราทำงานรองรับค่าครองชีพ เราสามารถสอนด้วยแผนการสอนของเราเอง นานวันเข้าผลของมันจะพิสูจน์ตัวเอง ทั้งทางสังคมและจิตใจ
มองจากท่าที สำหรับเวลานี้ไม่คิดว่าขอจะเข้าใจความเชื่อแบบนี้ เพียงหวังหว่านเมล็ดพืชลงไปรอเวลาให้ดินฉ่ำน้ำดี อาจมีวันเติบดอกออกใบภายหน้า
"รายได้ต่อเที่ยวไม่น้อยนา..ทำให้ดีมีแต่รวย" คำนวนดูแล้วรายได้จากเรือร่วมแสนบาทต่อเที่ยว ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุผลที่จะทิ้งงานนี้ไป
"ได้ไม่มากหรอกพี่" ขอบอก ข้าพเจ้ายังงง ๆ ลองเอาราคาตั๋วของตัวเองคูณจำนวนคนแล้วทำไมยังบอกไม่มาก
"เกือบสามเดือนถึงจะได้เที่ยวสักที" ขอพูดต่อ
"สามเดือน!" ข้าพเจ้าผงะ
"ไปถึงปากเบงแล้วต้องตีเรือเปล่ากลับ"
"อ้าว.." ข้าพเจ้าอุทาน "ไม่ได้ไปถึงหลวงพระบางหรอกเรอะ!" สมองระดับเปยลาวหนึ่งกระป๋องเร่งตัดตัวเลขเหลือครึ่งหนึ่งทันที
"ต้องเปลี่ยนเรือ" ขอพูดภาษาไทยสำเนียงลาว
"ทำไมไม่รับนักท่องเที่ยวจากปากเบงกลับห้วยทรายล่ะ?"
"เขามีเรืออื่น" ข้าพเจ้าคล้ายจะเข้าใจ ดูเหมือนมีการกระจายรายได้กันให้ทั่วถึง
"งั้นตอนว่างทำอะไรล่ะ?"
"รับงานบริษัททัวร์"
"มีทุกวันมั้ย?"
"ไม่แน่"
ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าอึ้ง ขอเปยลาวอีกกระป๋องบอกขอว่าไม่ต้องคิดราคาพิเศษคิดตามปกตินั่นแหละ ขอไม่ยอม ข้าพเจ้ายินยอมรับเปยลาวมานั่งแกล้มสายลมเย็นยลทิวทัศน์บนฝั่งน้ำ
เช้าวันถัดมาที่ปากเบงขอตะโกนเรียกข้าพเจ้าตั้งแต่เพิ่งก้าวไปที่ท่า สองคนพี่ชายกำลังช่วยกันดันเรือออก ข้าพเจ้ามาทันได้อำลา เราจับมือกันแน่น สายตาคนหนุ่มที่ยังคงเสาะค้นหาความหมายชีวิตจ้องข้าพเจ้านิ่งแทนถ้อยคำร้อยพัน
"ทำอย่างที่ใจต้องการ อย่าทิ้งเรือล่ะ" ข้าพเจ้าบอก
จอยคอยผลักเรือลำข้าง ขอส่งไม้ค่ำถ่อลงน้ำดันเรือถอยออกไปเรื่อย ๆ ยังคงมองมาบนฝั่งไม่วางตา ข้าพเจ้าโบกมือยิ้มอำลา ?
OOO
Technorati Tags: หลวงพระบาง