มิตรต่างดาวของฉัน
แปลกใจที่เธอจดจำคืนวันที่คล้ายระยะเวลาห่างระหว่างเรา
บางครั้งมิตรภาพเหมือนมีเส้นใยบาง ๆ ของวันเวลาคอยขีดคั่น เป็นขีดคั่นเพื่อเชื่อมต่อหรือแยกจากกันขึ้นกับเราใช้วันเวลานั้นเยี่ยงไร
ช่องว่างเวลาที่บรรจุไว้ด้วยตัวเลขพวกนั้นเธออาจดูคล้ายความว่างเปล่า ด้วยสัญญาณขาดห้วงของการสื่อสารระหว่างกัน การสื่อสารที่ทำให้ไกลคล้ายใกล้แค่วงแขนและสามารถทำให้ใกล้ก็เหมือนไกลสุดขอบดาราจักร
ยอดเยาวมิตรแห่งฉัน
ที่ดวงดาวของฉันกลับมิมีเรื่องเช่นนี้เลย
ที่นี่การสื่อสารมิต่างก้อนกรวดเม็ดทราย การดำรงคงอยู่ของมันไม่ด้อยคุณหรือเลอค่าไปกว่าสิ่งอื่น ๆ
เราอาจไม่ส่งภาษาพูดจาสื่อความรู้สึกนึกคิดแก่กัน แต่เรายังอยู่เคียงข้างกัน เหมือนเนินเขาที่ยืนสงบนิ่งอยู่ด้วยกัน ประดุจต้นหญ้าที่โยกไหวอยู่ในสายลม ทุกต้นยืนอยู่ข้างกันแต่หาได้ส่งเสียงเจรจา บางครั้งการสื่อสารเป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบา หลายคราเพียงแค่รู้ว่ายังยืนเคียงข้างกันทำหน้าที่ตนไปด้วยกัน ดุจเสาวิหารที่ยังคงรองรับเพดานและหลังคาไม่เคยห่างจากกัน เท่านั้นเราก็รับรู้ถึงมิตรภาพที่มีให้กัน
สำหรับที่นี่การสื่อสารใช่เพียงภาษาที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาใช้
การสื่อสารของเราเก่าแก่กว่านั้น มีมาก่อนการเยือนของเผ่าพันธุ์ บางครั้งเราใช้สายตา หลายคราเราใช้สัมผัส อีกบางหนเราแค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ทั้งหมดล้วนเป็นสารที่สื่อถึงกัน มิตรภาพของที่นี่จึงไม่เคยถูกขีดคั่นด้วยจำนวนวันเวลา เป็นมิตรภาพที่สื่อถึงกันด้วยความอ่อนโยน นอบน้อมถ่อมตน ถ้อยทีถ้อยอาศัย และต่างทำหน้าที่ของตน ขณะสายน้ำเรื่อยไหลหล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ หมู่ไม้ก็แผ่กิ่งก้านใบให้แมลงน้อยใหญ่ รับสัมผัสลูบไล้ของสายลมมานำพาละอองเกสรออกเดินทาง ขณะเดียวกัน ก้อนหินดินทรายก็เอื้ออ้อมอกให้แมกไม้ได้พึ่งพาอาศัยซับสายใยแห่งแสงตะวัน
เราล้วนสัมผัสสื่อสารพลังชีวิตของกันและกัน สำหรับที่นี่ทั้งหมดล้วนมีชีวิต มีวิญญาณ สื่อสารกันตลอดเวลา
เราส่งต่อมิตรไมตรีถึงกันด้วยสิ่งเรากระทำ มิใช่ใช้เพียงวาจาที่สรรกล่าว
ใช่จะหมายให้เธอยอมรับหรือทำความเข้าใจความเป็นไปบนโลกที่ฉันอาศัยเลย เพียงอยากบอกเธอว่า..สำหรับฉัน มิตรผู้ห่างไกลด้วยระยะเวลา 43 วันของเธอ มิเคยไกลไปจากเธอเลย แม้ไร้ถ้อยวาจาแต่ขอให้ทราบว่าทุกตัวอักษรของฉันเดินทางไปหาเธออยู่เสมอ
แล้วจะรอคอยการมาเยือนของความสุขเล็ก ๆ จากเธอ
คำนึงหา
กรกฎาฯ มัธยม
จดหมายจากดาวสีน้ำเงิน : ธรรมดาสามัญ
ตอบลบเพื่อนต่างดาวของฉัน
ฉันเข้าใจมิตรภาพบนดาวของเธอแล้ว ทั้งหมดนั้นล้วนยืนอยู่บนพื้นฐานของความธรรมดาสามัญ ที่คนบนดาวของฉันหลงลืมไปเสียสิ้น ที่นี่เราวิ่งไขว่คว้าความเจริญ สู่ความก้าวหน้าทุกรูปแบบ จนอนุชนรุ่นหลังไม่รู้จักคุณค่าพื้นฐานของชีวิต คุณค่าที่รวมองค์ประกอบหลายๆ อย่างไว้ด้วยกัน องค์ประกอบที่คนบนดาวของฉันเห็นว่ามันไร้ความหมาย และไม่คู่ควรที่จะให้ความสนใจ
สิ่งที่เราทอดทิ้งคือความเรียบง่ายของการดำรงอยู่
อย่างที่เธอเห็นฉันจดจำวันเวลา เพราะเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่วัดค่าได้ เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องได้ ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงจากการรุดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของดาวดวงนี้ มันทำให้ผู้คนที่นี่จิตใจหยาบกระด้างขึ้น เหมือนที่เธออาจสัมผัสได้ในจดหมายบางฉบับของฉัน
ฉันดีใจที่รู้ว่าดาวของเธอยังคงโคจรไปเรียบเรื่อยตามวิถีทางของมัน ไม่บ้าคลั่งอย่างที่ดาวของฉันได้ประสบมา
เพราะนั่นหมายความว่าสรรพชีวิตยังคงสอดประสานกันเหนียวแน่นและลงตัว ทุกอย่างล้วนเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันด้วยมิตรไมตรีดีงาม ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร ไม่มีสิ่งใดเหนือค่ากว่าสิ่งใด มันคือความเท่าเทียมที่ทรงคุณค่ายิ่ง เพราะสรรพชีวิตทั้งหลายมิได้ดำรงตนอยู่เพียงเพื่อตนเอง หากดำรงอยู่เพื่อเกื้อกูลทุกสรรพชีวิตที่รายล้อม
ถ้าเพียงแค่เราไม่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่สวนรวมให้มากเข้าไว้ ความสงบสุขแห่งชีวิตจะไปไหนเสีย
แต่บนดาวของฉันมิได้เป็นเช่นนั้น
ที่นี่มนุษย์สำคัญกว่าทุกสิ่ง เรากระทำย่ำยีกับสิ่งอื่นได้โดยชอบธรรม ธรรมชาติ ป่าไม้ ขุนเขา ก้อนกรวด เม็ดทราย จะไม่มีค่าอะไรเลย เมื่อเทียบกับมนุษย์แม้เพียงชีวิตเดียว
และเหนือกว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ด้วยกัน
การมีชีวิตอยู่เหนือกว่ามนุษย์ทุกตัวตน นั่นคือเกียรติยศสูงสุดของการมีชีวิตอยู่ หลายคนของที่นี่จึงไล่ล่าเกียรติยศนั้น แม้ต้องเหยียบย่ำใครบ้างก็ไม่มีใครสนใจ มีคำกล่าวหนึ่งที่ฉันพอจะนึกออกขณะนี้
‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’
มันหมายความว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้อ่อนแอย่อมถูกผู้แข็งแกร่งกว่ากลืนกิน
พวกเราจึงมีชีวิตอยู่แบบปัจเจก เราจะมีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ต่อเมื่อเรามั่นใจว่าจะได้ผลประโยชน์จากผู้นั้นเท่านั้น
...นี่แหละชีวิตบนดาวของฉัน...
ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้คิดเกี่ยวกับการสื่อสารด้วยพลังชีวิตของกันและกัน ฉันจะระลึกไว้เสมอว่าบนพื้นฐานของธรรมดาสามัญทุกสรรพชีวิตทรงคุณค่าเท่าเทียม และนอกจากมนุษย์ที่เอาแต่ชิงดีชิงเด่นด้วยกันแล้ว ทุกอย่างรอบตัวล้วนมีชีวิต มีวิญญาณ ไว้ให้เราสื่อถ้อยสดับสารแม้มิพักกล่าววาจา แต่สัมผัสได้ถึงหัวใจว่าเรามิได้ดำรงอยู่เพียงเปลี่ยวดาย ยังมีหลากหลายชีวิตรายล้อมเกื้อกูลเราอยู่ในที่ทางของตนเอง
ฉันจะมองสิ่งรอบตัวด้วยความนึกคิดใหม่
ระลึกถึง
กรกฎาฯ ๒๕๕๒
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบหวัดดีท่านท่ดิลล์ที่เคารพ
ตอบลบตั้งแต่คิดเขียนนิยาย ข้าพเจ้าพยายามไม่เข้าเน็ตบ่อยนัก เพราะการท่องเน็ตตะละทีเปลืองเวลาอย่างร้ายกาจ ข้าพเจ้าจึงใช้มันเฉพาะหาข้อมูล หรือยามว่างอารมณ์โปร่ง ไม่มีสิ่งใดให้ครุ่นคิดกระทำ ก็โผล่มาดูความเป็นไปของโลกไซเบอร์เสียครั้ง
เคยตั้งใจไว้ว่าจะคุยกับท่านแบบยาวๆในวันทำงานเสาร์-อาทิตย์ เพราะช่วงเวลางานข้าพเจ้ามักมีเวลาว่างเรื่อยๆ อยู่แล้ว ถ้าไม่ท่องเน็ตฯ ก็อ่านหนังสือ (แต่โดยมากมักทำอย่างแรก) คุยกับท่านในสองวันนั้นจึงถือว่าเหมาะสม
ส่วนวันอื่นๆ อาจโผล่หัวมาให้เห็นบ้างเมื่อคิดถึงกัน คุยกันพอหอมปากหอมคอแล้วเซย์กู๊ดบาย มุดหัวลงรูกลับไปนั่งจุ้มปุ๊กทำอะไรต่อมิอะไรไปตามประสาให้พอได้ลั้ลลาไปอีกวัน
แต่โชคร้ายจังที่เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาเน็ตที่ทำงานมันกลับไปเยี่ยมบ้านเก่า ปล่อยให้ข้าพเจ้านั่งหง่าวหาวแล้วหาวอีก
หาหนังสือมาอ่านได้เล่มถูกใจ แต่อ่านจบไปบทนึงก็เลื้อยไปบนโต๊ะทีนึง(เป็นอาการตัวอ่อนของคนอยากนอนน่ะเจ้าค่ะ) กว่าจะอ่านจบทั้งเล่มข้าพเจ้าก็ตัวยืดตัวยาวราวกับงูเหลือม
ก็งี้แหละนะ เรื่องราวที่ไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นได้เสมอ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าเน็ตที่ทำงานจะกลับมาใช้ได้รึยัง โทรแจ้งให้เจ้านายทราบ จะแวะมาดูให้ก็แวะมาไม่ได้ เพราะโดนหวัดรับประทานทั้งพี่ทั้งน้อง อันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นหวัดอินเทรนที่เขากำลังฮิตกันรึเปล่า ก็เลยต้องเก็บตัวดูอาการไม่ยอมเข้ามาเพราะเกรงจะเอาเชื้อมาแพร่
เจ้านายข้าพเจ้าก็น่ารักงี้แหละ
คิดแล้วก็ตลก เมื่อไม่กี่วันก่อนยังแวะซื้อผ้าปิดปากปิดจมูกมาให้ แนะนำการป้องกันซะดิบดี ผ่านไปสองสามวันพี่ก็โดนหวัดกินไปเรียบร้อย
ส่วนลูกน้องนะเหรอ ยังแข็งแรงซู่ซ่ากันทุกคน
////
นิยายเรื่องใหม่ที่คิดเขียนเดินหน้าไปด้วยดีเจ้าค่ะ ข้าพเจ้าดำเนินเรื่องไปเป็นสเต็ปๆ ขึ้นบทนำ เข้าบทที่หนึ่ง บทที่สอง บทที่สามไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับเรื่องก่อนที่สลับฉากไปมาให้ยุ่งเหยิง สับสนอลหม่านกันจนขนาดคนเขียนเองกลับไปอ่านก็แทบจะเป็นลมล้มตึง เห็นดวงดาวทั้งดาราจักรลอยอยู่บนหัวติ้วๆ
กว่าจะเสียบคำว่า 'บทนำ' 'บทที่หนึ่ง' ... เข้าไปได้ก็ต้องรอให้จบเรื่อง
อย่างที่ท่านว่า นิยายเรื่องหนึ่งให้เราเรียนรู้อะไรได้มากมาย
แม้จะยังไม่ผ่านขั้นอนุบาลของเคล็ดวิชาการเขียน แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่แปรรูปเป็นเสบียงตุนไว้ให้เราได้หยิบมาใช้ยามติดขัด หรือเป็นเครื่องไม้เครื่องมืออำนวยความสะดวกให้เราเดินหน้าคล่องขึ้นแม้เล็กน้อยก็ยังดี
นิยายที่เขียนอยู่กำลังเข้าบทที่สองเจ้าค่ะ ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนสัก 20-25 บท บทละ 10-15 หน้า แต่พักไว้สองวันแล้ว เพราะต้องตรวจสอบศัพท์ในเรื่องเก่า เพื่อนมันอ่านจบแล้วคอมเม้นต์มา เรื่องเนื้อหาไม่มีอะไรมากมาย แต่เป็นเรื่องคำศัพท์ทีดูจะอาการหนัก เพราะเรามักใช้ด้วยความคุ้ยเคย จะอ่านทวนกี่รอบๆ จึงไม่รู้ว่าเป็นคำผิด อย่างเช่น
ปะทะ ข้าพเจ้ามักเขียนว่า ประทะ
แผ่หลา ก็จะใช้ แผ่หรา
ทิวทัศน์ ก็เขียนเป็น ทิวทรรศน์
ออฟฟิศ ก็มักเขียน ออฟฟิท
โดยเฉพาะพวกคำทับศัพท์นี่เขียนผิดบานเลยเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์ ซอฟต์แวร์ ทาวน์เฮ้าน์ ซัพพอร์ต ออร์เดิฟ แจ๊กเก็ต ซิงค์ โปรเจ็คต์ ฟาสต์ฟู้ด แล้วก็อีกเยอะแยะตาแป๊ะ
นอกจากคำที่ใช้ผิดจนเคยชิน และคำทับศัพท์ที่เขียนมั่วๆ ก็ยังมีคำไทยที่ไม่แน่ใจอีกมากมายก่ายกอง
อย่างคำ 'พาน' พานจะเป็นลม พานกลัวขึ้นมา อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่า 'พาน' หรือ 'พาล'
หรือคำ 'กิจจะลักษณะ' ก็ไม่ชัวร์ว่าเป็น 'กิจลักษณะ' หรือเปล่า? 'สัปปะรด' ก็อาจเป็น 'สับปะรด' หรือ 'สัปรด' ก็ได้
ทั้งหมดนั้นข้าพเจ้าหาได้ให้ความสำคัญจนเมื่อเพื่อนมันท้วงติงมา ความจริงมันก็ท้วงติงมาไม่กี่คำ แต่ข้าพเจ้ามารื้อตรวจสอบใหม่หมด
60-70 คำ ที่บอกไปเมื่อวานน่ะแค่ครึ่งทางเจ้าค่ะ
คำไหนที่หาในพจฯออนไลน์ไม่เจอ ก็ต้องพึ่งกูเกิลหาคำที่มนุษย์ใช้เยอะสุด แต่การหาในกูเกิล เฮ้อ... ท่านก็น่าจะรู้
ท่านอาจสงสัยว่าทำไมต้องรีบตรวจสอบ เพราะเพิ่งนั่งเกลาไปไม่นาน น่าจะตรวจสอบตอนทวนรอบหลังในคราวเดียวกันจะได้ไม่เสียเวลา
เหตุผลก็คือ ตรวจสอบก่อนจะได้ไม่ผิดซ้ำสองในนิยายเรื่องใหม่หากบังเอิญว่าต้องใช้คำเดียวกันน่ะสิ ท่านว่าจริงไหม?
เอาล่ะ คุยกันนานและ ข้าพเจ้าแช่ผ้าไว้ คงต้องขอตัวไปซักผ้าก่อนแล้ว
สุขสำราญกับการเขียนนะทั่น
ด้วยความเคารพ
สายลม
ขอเวลาอีกสักสองสามเพลานะทั่น
ตอบลบ