1
ข้าพเจ้ามานั่งเขียนบันทึกอยู่ในห้องเล็ก ๆ ขนาด 4x4 เมตร  บนเตียงไม้เบาะไยมะพร้าว ผ้าปูที่นอนขาวสะอาด ผนังไม้แบบแผ่นซ้อนสีทึม ต้องปลดมุ้งออกหูหนึ่งเพื่อเปิดทางให้แสงสว่างพอเขียนความ  เหนือเตียงเป็นหน้าต่างเหล็กดัด มองออกไปมีเสื้อผ้าเด็กพาดราวระเบียง เห็นเนินเขาฟากตรงข้ามโขงเป็นเงาตะคุ่ม

อุณหภูมิคงลดลงเรื่อย ๆ
หนาวเย็นจนนิ้วแข็งแทบไม่อาจขยับปลายดินสอ

อีกสักครู่รอบข้างก็จะมืดมิด ชาวบ้านที่นี่จะคืนท้องฟ้าปากเบงแก่ราตรีดาว ข้าพเจ้ามีเวลาเขียนบันทึกอีกเพียงไม่กี่นาที ทุกเรือนที่นี่ปั่นไฟใช้เอง ถึงเวลาสี่ทุ่มทุกที่จะปิดไฟ
ยินเช่นนั้นข้าพเจ้ายิ้มชอบใจ..
หากทุกบ้านเรือนบนโลกรู้จักปิดไฟ ไม่สุรุ่ยสุร่ายพลังงานเหมือนเป็นกันทุกวัน โลกคงยังอุดมกว่านี้ ที่อยู่อาศัยกว้างใหญ่ของสัตว์ป่าคงไม่ถูกมนุษย์เบียดเบียนแย่งชิงเหมือนทุกวันนี้
คิดถึงสภาพทั่วไปที่มืดสนิทของหมู่บ้านกลางป่าเขา ท้องฟ้าคงสวยดี ผู้คนเดินไปมามีไฟฉายดวงเล็กส่องทาง มีคนจับกลุ่มนั่งผิงไฟ คิดก็อยากออกไปเดินดื่มบรรยากาศ
แต่อบอุ่นในถุงนอนคลุมทับด้วยผ้าห่มอีกผืนก็คอยฉุดรั้งไม่ให้ขาข้าพเจ้าขยับออกดังใจ 
2
เรือถึงปากเบงตอนเข้าไต้เข้าไฟ มองเห็นบ้านเรือนย่านชุมชน เห็นเรือหลายลำจอดเรียงเลียบฝั่งเป็นครั้งแรกหลังออกจากห้วยทราย ก็ให้โล่งใจว่าจะได้เอาเสียงสนทนาของสายน้ำกับกราบเรืออันอื้ออึงอยู่ในขมองนี้ออกไปเสียสักที
แรก ๆ เสียงซ่านซ่าฟังเพลินใจ ยิ่งมีเบยลาวฉ่ำอากาศเย็น ภาพทิวทัศน์สองฝั่งเคลื่อนผ่านราวฉากภาพยนต์จอซุปเปอร์ซีเนมาสโคป มีเสียงคลื่นน้ำคล้ายมโหรีวงใหญ่บรรเลงกล่อม ชวนเพลินนัก
แต่ครั้งเวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า เสียงอันยินดีปรีดาชักเริ่มเป็นที่อิดหนาระอาใจ กระทั่งชั่วโมงท้าย ๆ กลายเป็นอื้ออึงจนอยากปลดหูวางลงสักชั่วคราว
ยามนั้นคิดไปว่า เรารึอุตส่าห์หลบเสียงเครื่องยนต์มานั่งด้านหน้า คิดว่าคงสุขสบาย ที่ไหนได้ นอกจากถูกละอองน้ำกระเซ็นใส่ในความเย็นที่ทำเอาคางสั่นนี่แล้ว ยังต้องผจญกับเสียงที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะรำคาญ ทั้งทีแรกก็ยังรักชอบกันดีอยู่
ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าเริ่มคิดว่าที่นั่งกลางลำคงเป็นตำแหน่งสบายสุด
แต่คิดไปคิดมาเริ่มเห็นผังผืดงอกระหว่างนิ้วมือนิ้วเท้า สะอึกดัง โอ๊บ! โอ๊บ! กลายเป็นเจ้ากบเข้าทุกที จึงยอมหยุดคิด นั่งฟังมโหรีอื้ออึงมาด้วยบันเทิงใจ
ตรงท่ามีเหล่าหน้าม้าบริการห้องพักเร่งปฎิบัติหน้าที่ขมักเขม้น บางรายถึงโผลงเรือทั้งยังเข้าท่ามิทันเทียบ บนฝั่งยังมีรออยู่อีกมากราย
โบกมือลาขอกับจอย ข้าพเจ้าก้าวตามหลังเจ้าสามเกลอมอเตอร์ไซค์ขึ้นฝั่ง
"ห้องพักมั้ยพี่ วิวดี มีไฟฟ้า มีแอร์ มีน้ำอุ่น" สำเนียงไทยลาวต้องตั้งใจฟังจึงจับเค้าความ ยกป้ายรูปห้องพักขึ้นมาอวด
"ผมจะหาถูก ๆ" ข้าพเจ้าว่าพลางเดินขึ้นเนินท่าน้ำ ไม่ได้คิดใส่ใจมากความ พักแค่คืนเดียวพรุ่งนี้เช้าก็เดินทางต่อ
"ถูก ๆ ก็มีพี่" หนุ่มลาวนักขายห้องเร่งเท้าตาม เจ้าคนข้างหน้าที่กำลังจ้องขม้ำข้าพเจ้าเลยวางมือหันไปคว้าสามเกลอแทน
"เท่าไหร่?" ข้าพเจ้าถาม "ราคาเงินบาท"
"500 ก็มี 400 ก็มี 300 ก็มี"
"150" ข้าพเจ้าคิดหาห้องพักราคานี้จริง ๆ พูดไปไม่หยุดเดิน เจ้านี่ก็ตามตื้อไม่เลิก
"250 ก็มี..มีน้ำอุ่นด้วย"
"มีน้ำอุ่นด้วย!?" ข้าพเจ้าถามย้ำ เพิ่งฉุกคิด ที่พักถูก ๆ คงไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น
ข้าพเจ้าไม่ใช่คนรักสบายถึงกับตามใจกายจนเคยตัวอาบน้ำปกติไม่ได้ แต่อากาศหนาวจนมือไม้แข็งอย่างนี้หากอาบน้ำอุณหภูมิปกติคงไม่ต่างโดดธารน้ำแข็งขั้วโลก ข้าพเจ้าขืนดันทุรังหาที่พักราคาถูก คืนนี้คงนอนทั้งไม่อาบน้ำ
เท่าจำความได้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแก่อาบน้ำถึงยอมจ่าย 100 บาท แค่เพื่อได้อาบน้ำอุ่น
ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
ข้าพเจ้าบอกเจ้านั่น "ตกลง"
ตอนนั้นใจไปยืนอยู่ใต้ธารน้ำอุ่นพุ่งเป็นสายนวดแผ่นหลังที่นั่งขดแข็งมาทั้งวัน อวลละอองน้ำฟุ้งอบอุ่นไอ จากนั้นจะหลับให้สบาย
3
เจ้านั่นได้ข้าพเจ้าเป็นลูกไก่ในกำมือแล้วหันไปคว้าลูกค้ารายอื่นต่อ  ได้มาอีกสามสี่รายจึงส่งป้ายห้องพักให้คู่หู เจ้าตัวเร่งนำลูกค้าออกจากท่า เลี้ยวซ้ายขึ้นเนิน
ท้องฟ้าสีซีดกลายคล้ำเป็นค่ำคืน แสงไฟจากบ้านเรือนร้านค้าสว่างขึ้น
ข้าพเจ้ากระเตงย่ามตามรั้งท้าย สายตาก็เหลียวมองบ้านเรือนแปลกถิ่นด้วยตื่นตา  ทางขวามีเกสท์เฮ้าส์สวยประดับแสงนวลชวนพัก (แต่คงไม่เหมาะแก่สารรูปข้าพเจ้า) พลันยินเสียงอ่อนโยน
"ห้องพักมั้ย?"
ข้าพเจ้าหันขวับ ใบหน้าขาวมน ผมยาวรวบไว้ด้านหลัง นุ่งซิ่นสีดำประดับลายชายขอบส่งยิ้ม เท้าข้าพเจ้าหยุดเดินทั้งใจไม่ทันสั่ง
"เท่าไหร่ครับ?"
"สองร้อย"
แม่จ้าวถูกกว่าของเจ้านั่น! ข้าพเจ้าเหลือบมองไปด้านหลังเธอ บ้านไม้อยู่ชิดขอบทาง คงเป็นบ้านอาศัยที่ดัดแปลงเป็นห้องพักนักท่องเที่ยว
"มีน้ำอุ่นมั้ย?" ข้าพเจ้าถาม
เธอยิ้มส่ายหน้า ข้าพเจ้าบอกไปว่า
"ตกลงกับคนนั้นไว้แล้ว" บุ้ยไปทางเจ้านั่นที่กำลังนำกลุ่มเดินห่างออกไป "ไปก่อนนะครับ" รอยยิ้มนั่นทำเอาข้าพเจ้าใจหายวูบ ลืมธารน้ำแข็งขั้วโลกชั่วขณะ แต่สัญญาต้องเป็นสัญญา ข้าพเจ้าจ้ำตามเจ้านายหน้าขายห้อง ตอนนี้นำลูกค้าฝรั่งเลี้ยวซ้ายเข้าไปแล้ว
4
ที่พักเป็นเรือนอาศัยของคนท้องถิ่น ก่อสร้างเพิ่มเติมทำที่พักนักท่องเที่ยว สภาพทั่วไปเต็มด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ดกดื่นแบบบ้านชนบทบนเนินเขา อาคารไม้คงเป็นหลังแรก เมื่อกิจการดีขึ้นจึงสร้างอาคารปูนหลังใหม่ ภาพห้องที่นำไปเสนอขายลูกค้าคงเป็นห้องในอาคารปูนนี่เอง
ข้าพเจ้ารอเจ้านั่นจัดการดูแลพวกลูกค้าฝรั่งเข้าพักให้เรียบร้อยแล้วจึงขอดูห้อง เจ้านายหน้ายิ้มยื่นกุญแจให้
"ชั้นบน ห้องแรกเลยพี่"
ข้าพเจ้าเดินขึ้นบันไดไม้บรรยากาศบ้านชนบท ไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปผจญกับความมืดพักใหญ่ พยายามคลำหาสวิทช์ซึ่งปกติจะต้องติดตั้งไว้ใกล้ประตูทางเข้าไม่ด้านใดด้านหนึ่ง..แต่ไม่มี
อาศัยแสงสลัวจากภายนอกส่ายสายตามองหาจนพบแผงไฟอยู่ชิดขอบหน้าต่างหัวเตียงตรงข้ามประตู ห้องพักสำหรับค่ำคืนแรกในแผ่นดินลาวจึงบิดขี้เกียจเผยกายออกมา
มีเตียง มีมุ้ง ผ้าห่ม หมอน มีโต๊ะหัวเตียง พัดลมเพดาน ข้าพเจ้าวางย่ามสำรวจห้องน้ำ
ก๊อกที่อ่างล้างหน้าคงเมาไม่สร่างคอจึงตะแคงอยู่อย่างนั้น ไม่เห็นเครื่องทำน้ำอุ่น ลองเปิดฝักบัว..คิดไปว่าเผื่อจะเป็นระบบน้ำอุ่นมาตามท่อเหมือนของโรงแรม..พบว่าน้ำไม่ไหล!
ความหวังสุดท้ายอยู่ที่ก๊อกใต้อ่างล้างหน้า ปรากฎว่าไหล แต่ติดขี้เกียจ..ไหลแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ
แทบไม่ต้องสงสัย ดูเหมือนมวยลาวคิดหักเหลี่ยมมวยไทยเข้าให้แล้ว ขืนพลาดท่าผิดมุมถึงเสียเชิงจะเอาหน้าที่ไหนไปพบนายขนมต้ม
ข้าพเจ้าคว้าย่ามเดินลงไปถามให้รู้ความ อย่างมากก็เดินหาที่พักมันทั้งมืด ๆ อย่างนี้ล่ะ!
เจ้านายหน้าค้าห้องพักนั่งพูดคุยกับเพื่อนที่ม้าหินอ่อน
"ไหนบอกว่ามีน้ำอุ่น?" ข้าพเจ้าถาม
"รอเดี๋ยวพี่" เจ้านั่นตอบ "กำลังต้ม"
ที่โคนไม้ มีหินสามเส้าตั้งเป็นเตา ไม้ฟืนกำลังโหมไฟครอกหม้อใบใหญ่ มีกาน้ำร้อนแสตนเลสทรงกระบอกสูงสามสี่ใบวางอยู่ข้าง..มันกำลังต้มน้ำร้อนจริง ๆ
"เดี๋ยวน้ำเดือดแล้วผมยกไปให้..มีกะมังด้วย" เจ้านั่นไม่ได้เรียกกะละมังหรอก ข้าพเจ้าฟังไม่รู้เรื่อง ต้องทำไม้ทำมือประกอบจึงเข้าใจ
ระหว่างรอน้ำเดือดข้าพเจ้าออกไปหามื้อค่ำ เดินดูบรรยากาศยามค่ำคืนของปากเบง
ปากเบงมีถนนหลักสายเดียวทอดลงสู่ท่าเรือ อีกสายเป็นถนนหินภูเขาที่เลี้ยวซ้ายจากท่าเรือไปที่พัก ข้าพเจ้าเดินลงเนิน ผ่านกลุ่มหญิงสาวนั่งสุมไฟไล่ความหนาว พวกเธอคืนยิ้มให้ทุกครั้งที่ส่งยิ้มไป เดินออกมาถนนหลักแล้ววกขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ แสงไฟร้านค้าสองฟากทางโดยมากเป็นหลอดดวงเล็ก แสงจึงละมุนอยู่ในเสื้อคลุมของท้องฟ้าราตรีกลางป่าเขา
หน้าร้านอาหารมีป้ายรายการและพนักงานคอยเรียกลูกค้า ทุกคนทักทาย "สะบายดี" สำเนียงสุภาพ อ่อนโยน เปี่ยมมิตรไมตรี แทบทั้งหมดเป็นร้านบริการนักท่องเที่ยว ซึ่งคงไม่เหมาะกับกระเป๋ากระเหรี่ยงเช่นข้าพเจ้าจึงเดินเคี้ยวข้าวเหนียวหมูย่าง พลางหยอกเล่นกับเด็ก ๆ
เห็นเด็กยืนซุ่มอยู่หน้าบ้านมาสองสามบ้านแล้ว ข้าพเจ้านึกสงสัยเลยลองถาม
"มายืนดูอะไร?"
"ดูโทรทัศน์" 
"โห..พูดภาษาไทยชัดแจ๋ว ที่โรงเรียนสอนภาษาไทยเรอะ?" ข้าพเจ้าถามอีก
"ไม่ได้สอน"
"อ้าว..แล้วทำไมพูดภาษาไทยได้" ยังไม่ทันจบความเด็กวิ่งอ้าวไปโน่นแล้ว
มาได้คำตอบตอนคุยกับสาวน้อยขายหมูย่าง (แก้มระเรื่อหน้ากลมปากนิดจมูกหน่อยมีสิวนิดหน่อย..น่ารักมาก)
"เด็กมันดูโทรทัศน์ไทยทุกวัน มันเลยพูดไทยได้" เธอบอก
"แค่ฟังอย่างเดียว พวกเขาพูดได้เลยหรือครับ?" ยังไม่หายสงกา
"เด็กมันเอามาพูดเล่นกันที่บ้านบ้างที่โรงเรียนบ้าง บางครั้งด่ากันเป็นภาษาไทย" เธอบอกอีก
ข้าพเจ้าจึงเริ่มได้ดวงตาเห็นธรรม คิดถึงระบบการศึกษาของประเทศหนึ่ง ซึ่งเรียน-สอนภาษาต่างชาติภาษาหนึ่งยันจบปริญญาตรี คนในประเทศโดยมากยังพูดกันแค่ฮาวอาร์ยูอามฟายแท็งค์กิ้ว เด็กลาวพูดภาษาต่างชาติคล่องปรื๋อโดยไม่ต้องมีใครมาสอน
วิธีง่าย ๆ แค่นี้ทำไมรัฐบาลประเทศนั้นคิดไม่ออก ผลิตระบบการศึกษาที่ล้มเหลวครอบงำเด็ก ๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่า..อยู่ได้
5
ตอนข้าพเจ้ากลับถึงที่พัก มีกระติกน้ำร้อนพร้อมกะละมังวางอยู่หน้าห้อง
ไม่ได้ยินเสียงสายน้ำอุ่นนวดแผ่นหลังอย่างจินตนาการ แค่ราดพอล้างตัวน้ำแทบหมดกะละมัง..แต่ก็เป็นรสชาติน้ำอุ่นจากไฟฟืนที่อาบแล้วอุ่นไปอีกแบบ
ล่วงเวลาปิดไฟมานานแล้ว เสียงเครื่องปั่นไฟยังครางหึ่ง สำหรับโลกที่ไม่ยินยอมค้อมหัวให้เวลานับเป็นเรื่องปกติ แต่กับฝรั่งที่คุ้นเคยอยู่กับทาสเวลาคงเห็นเป็นเรื่องแปลกไม่ก็ชวนหงุดหงิด ไม่มีใครใส่ใจเวลาเอาเสียเลย
กับข้าพเจ้านับเป็นเรื่องดี
อย่างน้อยทำให้มีแสงสว่างเขียนบันทึกนี้จนจบ  ●
หมายเหตุ : บันทึกครั้งนี้ไม่มีรูปเพราะแบ็ตฯ หมดจ้า!