เพราะความที่ไม่คิดซ่อมสุกเอาเผากิน เจ้านายช่างดิลล์ใช้วิชาช่างอักขระอันมีอยู่จำกัดเท่าขี้เล็บแมลงหวี่ นั่งวนเวียนขันน็อต คลายเกลียว เหลียวแล้วมองเล่า หาจุดพร่องที่สมควรลงประแจ ไม่ก้มหน้าก้มตาแก้จนเครื่องพัง บางครั้งกว่าเสร็จใช้เวลาร่วมสาม-สี่ชั่วโมง

หาใช่เวลาแห่งความระทมทุกข์เลย กลับกัน เป็นเวลาสุขที่ได้ขลุกอยู่กับตัวอักษรของมิ่งมิตรผู้มีใจรักชอบไปทางเดียวกัน แลมั่นแล้วว่าดุ่มเดินสู่โลกของผู้ยึดตัวอักษรเป็นภักษาหารโดยมิเกรงกลัวท้องกิ่ว

แลสิ่งที่มิได้คิดฝันก็คือเอมใจที่เห็นมิ่งมิตรก้าวหน้าไปบนหนทาง สิ่งนั้นข้าพเจ้ารับกำนัลด้วยงานเขียนที่อ่านแล้วสุขใจราวเขียนขึ้นด้วยมือตนเอง (อาจมีแค้นใจนิดหน่อยว่าทำไมเราเขียนไม่ได้ฟะ!)

ไม่มีเงาคำฟุ่มเฟือยหรือรูปประโยคเชิงซ้อนหลงเหลือ ทั้งหมดเป็นประโยคกระชับ ตรงเข้าความหมายที่ต้องการสื่อ, การสลับฉาก, ใช้ 'อย่าง' ในตำแหน่งเหมาะสมไม่สามารถกล่าวเป็นอื่น (..อย่างไม่มีวันหวนคืน), ความสำเร็จของเรื่องคือความลงตัวของเนื้อหา กลวิธีบอกเล่า และจบอย่างทิ้งช่องว่างไว้ให้ผู้อ่านครุ่นคิด (นับเป็นความเหนือชั้น)

หากเจ้านายช่างกำมะลอคิดหาอะไหล่เสริมก็คงเป็นความสมเหตุสมผล ที่ฝ่ายหญิงชักชวนฝ่ายชายไปใช้ชีวิตด้วยกัน ต่อโทช่วงสั้น ๆ ไม่นานก็กลับ ฝ่ายชายไม่จำเป็นต้องทิ้งงาน อีกอย่างการที่ฝ่ายหญิงคิดทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ ดูเป็นเอาแต่ใจตน (ถ้าอุปนิสัยฝ่ายหญิงในเรื่องเป็นเช่นนั้นจริง ผู้อ่านฝ่ายชายอาจรู้สึกว่า 'ปล่อยเธอไปเถอะ')

หากปูเรื่องเพิ่มอีกสักย่อหน้า ให้ทั้งสองตกลงกัน เตรียมการเรียบร้อยแล้วฝ่ายชายเกิดเปลี่ยนใจ หรือปรับเนื้อหาอย่างไรก็ได้ให้สมเหตุสมผลขึ้น เรื่องจะงดงามกว่านี้ (แต่ก็อีกนั่นแหละ สองย่อหน้าที่กล่าวมานี้ มิพักสนใจเลยก็ว่าได้ เรื่องมีความลงตัวในที่ทางอันดีแล้ว)

ที่เหลือเป็นข้อปลีกย่อย ความไม่มั่นใจกลัวผู้อ่านงงช่วงสลับฉาก จึงใช้วิธีเว้นสองบรรทัด, คอนโด(ฯ),  ไม่แม้แต่จะบอกว่า “แล้วจะรีบกลับมา” (น่าจะใช้ น้ำค้าง (') แทนฟันหนู (") เพราะไม่ใช่คำพูด ซึ่งแล้วแต่วิจารณญาณผู้เขียน

สยามประเทศยังไม่มีคำเฉพาะสำหรับงานประเภทนี้ งานที่ทางตะวันตกเรียก Flash Fiction 'จะไปด้วยกันมั้ยคะ?' ในสายตาผู้น้อยนับเป็น Flash Fiction ชั้นยอดเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าส่งลงสนามใด ขอเพียงตรงแนว มั่นใจว่าผ่าน  

ร่อนทองนั้นใช่เพียงลงตะแกรงหนเดียว แต่ต้องร่อนแล้วร่อนเล่า บางครั้งคว้าน้ำเหลวกลับบ้านมือเปล่า รุ่งเช้ายังคงกลับมาร่อนต่อ มีแต่ผู้ลงมือโดยมิประหยัดเหนื่อยยากจึงพบทองชิ้นเล็ก ๆ สักชิ้น

นี่คือทองท่านสายผู้เป็นที่เคารพรักร่อนพบ ผู้น้อยน้อมวางแสดงหน้าร้านด้วยความสุขใจยิ่ง (ไม่มีให้ปรับแก้แม้รอยเดียว..ชิชะ!)

เรื่องสั้นหัดเขียน : จะไปด้วยกันมั้ยคะ? (สายลม)

“จะไปด้วยกันมั้ยคะ?”

คำถามนี้กลับมาหาเขาอีกครั้ง หลังจากที่เขาเมินเฉยต่อมันไปเมื่อสิบปีก่อน สิบปีแห่งความทุกข์ระทม รวดร้าวและกล่าวโทษตนเอง

ผลของการเมินเฉยต่อคำถามนั้น คือความเจ็บปวดทุกวินาทีที่รู้ว่าตนยังมีลมหายใจ ขณะที่ใครอีกคนดำรงอยู่เพียงในเงาความทรงจำ

อรจิราหญิงสาวผู้ร่าเริงสดใส รอยยิ้มของเธอทำให้โลกของเขาเบ่งบาน เสียงหัวเราะของเธอทำให้ชีวิตของเขามีความหมาย ...แต่เขาก็ยังปล่อยให้เธอเดินจากไป...อย่างไม่มีวันหวนคืน

“นพคะ อรจะไปต่อโทที่ออสเตรเลีย คุณไปด้วยกันนะคะ” อรจิราออดอ้อนคู่หมั้นหนุ่มในเย็นวันหนึ่ง เมื่อเธอเตรียมแผนการสำหรับชีวิตเธอและคนรักไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เขากลับทำลายแผนการนั้นเสียป่นปี้ยับเยินด้วยเหตุผล

“หน้าที่การงานผมกำลังก้าวหน้า ผมไม่อยากพลาดโอกาสนี้”

คู่รักหนุ่มสาวทุ่มเถียงกันด้วยเรื่องนี้นานนับเดือน อรจิราอยากอยู่ใกล้คนรักเมื่อต้องห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอน แต่นพอยากสร้างความมั่นคงของอนาคตด้วยการสร้างเนื้อสร้างตัวรอเธอที่นี่ เมื่อโน้มน้าวใจคนรักหนุ่มไม่ได้อรจิราจึงดำเนินเรื่องการเดินทางเพียงลำพัง

ก่อนวันเดินทางสองวันเธอไปหาคนรักที่คอนโด ทั้งสองพูดคุยกันสารพัดเรื่อง แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องการเดินทางของเธอ และก่อนที่เธอจะกลับ

“จะไปด้วยกันมั้ยคะ?”

คำถามสุดท้ายของเธอ ไม่มีการเกริ่นนำ และเหมือนเธอไม่เคยถามมันมาก่อน แต่ทั้งสองเข้าใจกันดี ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามนั้น ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน ใครๆ มักคิดว่าการนิ่งเงียบคือการยอมรับ แต่บางครั้งความเงียบก็เป็นการปฏิเสธที่ดีที่สุด เธอไม่เซ้าซี้ใดๆ อีก คล้ายยอมรับและเข้าใจ

เธอเดินจากไปไม่มีคำพูดใดๆ ทิ้งไว้ให้ ไม่แม้แต่จะบอกว่า “แล้วจะรีบกลับมา” เหมือนเธอรู้ เธอจะไม่มีวันกลับมาอีก นพยืนมองเธอจากไปด้วยอาการสงบ ไม่มีคำล่ำลาใดๆ จากปากเขาเช่นกัน ไม่แม้จะยอมกล่าว “แล้วผมจะตามคุณไป” ทั้งที่เขารู้ว่าเธออยากฟังมันขนาดไหน

วันที่อรจิราเดินทาง นพไม่ได้ไปส่งคนรัก เพราะคำว่า ‘หน้าที่การงานกำลังก้าวหน้า’ ฝังอยู่ในหัว และเขาให้ความสำคัญกับมันมากกว่าเธอ เขาเดินทางไปต่างจังหวัดก่อนวันเธอเดินทางเพียงวันเดียว

นพรู้ข่าวคนรักในวันรุ่งขึ้น เครื่องบินที่เธอโดยสารตกในมหาสมุทร ไม่มีผู้รอดชีวิต ...เธอเดินทางไป...ชั่วนิรันดร์

และเขาก็ไม่มีโอกาสตามเธอไป เหมือนกับที่เขาไม่ได้พูด “แล้วผมจะตามคุณไป”

ตั้งแต่วันนั้นนพรู้สึกเหมือนร่างกายตนเป็นเพียงซากร่างไร้วิญญาณ มีชีวิตอยู่ไปวันๆ โดดเดี่ยว อ้างว้าง ทุรนทุราย ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานไม่มีความหมายใดๆ สำหรับเขาอีก เพราะเขาไม่รู้จะก้าวหน้าเพื่อใคร

ทุกครั้งที่คิดถึงเธอ นพแค่คิด ...ถ้าเพียงแค่เขาไปกับเธอ... ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ขอเพียงแค่...ได้ไปด้วยกัน...

สิบปีที่ผ่าน นานเหลือเกินกับความทรมานในหัวใจ และนานเหลือเกินกว่าจะเปิดใจดวงนี้รับใครอีกคนเข้ามา

“ว่าไงคะคุณ จะไปด้วยกันมั้ยคะ?”

เสียงนุ่มนวลเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ดึงเขาขึ้นจากภวังค์ เขาหันไปทางเสียงนั้นเผยยิ้มบางๆ ยื่นมือไปกุมมือเธอไว้ ไม่มีคำตอบเป็นวาจา ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ลบล้างความผิดพลาดในอดีต เพราะในแววตานั้นกำลังบอกว่า

...ไม่มีวันทอดทิ้ง...

8 ความคิดเห็น:

  1. โอ้ว แม่จ้าว! ไม่อยากจะเชื่อ ข้าพเจ้าต้องฝันกลางวันไปแน่ๆ

    ทั่นจะเชื่อมั้ยว่าเรื่องนี้ข้าพเจ้าเขียนครั้งเดียวผ่าน ไม่มีการเกลาซ้ำ(นอกจากอ่านทวนตรวจสอบคำผิดครั้งเดียว) ไม่ได้คิดหวังคำชมจากใครเลย เจอคำชมจากท่านพี่สิญจน์ข้าพเจ้ายังตกใจนั่งอ่านแล้วอ่านอีก ตาฝาดไปรึป่าวฟะ?! รึเปิดกระทู้ผิด?! เห็นคำชมของทั่นตามมาอีกช่วงตัว อย่าให้บอกเลยว่ารู้สึกยังไง(ถ้าอยากรู้ก็กลับไปอ่านที่ข้าเจ้าเขียนตอบทั่นสิญจน์นะทั่นนะ)

    ในความดีใจมันผสานไปด้วยความประหลาดใจที่ดูจะกินกันไม่ขาด สงสัยอยู่ครามครัน ทำไมไอ้งานที่ตั้งใจนักหนา ถึงได้โดนติโน่นติงนี่ ตัดกันฉับๆ ตัดแล้วตัดอีก แต่ไอ้งานที่ไม่พิถีพิถันดันเข้าตากรรมการซะนี่

    ข้าพเจ้าได้คำชมงานกลอนจากทั่นมาแล้ว แค่ครั้งเดียวก็เพียงพอสำหรับการคิดเขียนโน่นนี่ ทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง เคยคิดหวังว่าอยากได้คำชมจากท่านสิญจน์สักครั้ง แต่ให้ตายเถอะ! ข้าพเจ้าไม่เคยตั้งความหวังไว้ในเรื่องสั้นเรื่องนี้

    ด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง

    ป.ล.ที่มาของเรื่อง(ท่านคงไม่อยากรู้ แต่ข้าพเจ้าอยากเล่า ฮา)

    ข้าพเจ้านั่งเขียนนิยาย(ไอ้เรื่องที่เขียนมาสิบชาติกว่าและกำลังจะเข้าชาติที่สิบเอ็ดแล้วนั่นแหละ) เขียนไปไม่เท่าไหร่สมองติดคิดอะไรไม่ออก นั่งแคะขี้มูกเล่นอยู่พักนึง พลันมีประโยคหนึ่งผุดในสมอง 'จะไปด้วยกันมั้ยคะ?' ไม่รู้มันมาจากไหนและไม่รู้มันมาได้ยังไง

    แต่เออ เข้าท่าแฮะ(ก็คงต้องบอกว่าไม่รู้อีกนั่นแหละอะไรเข้าท่า ก็สมองมันคิดของมันไปเอง) จะทำยังไงกับมันได้มั่งเนี่ย? ไหนๆ ก็เขียนนิยายไม่ได้แล้วลองมาเล่นกับมันสักหน่อยเป็นไร

    คงประมาณสักชั่วโมงผ่านไป มันก็ออกมาอย่างที่เห็น

    ป.ล.๒ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทำท่านเสียเวลาถึงสาม-สี่ชั่วโมงกับการซ่อมตัวอักษรให้ หากทำท่านลำบากขนาดนั้นต้องขออภัยจริงๆ นะทั่นดิลล์ที่เคารพรัก

    แต่จะเห็นแก่ตัวมากไปมั้ย หากจะบอกว่าข้าพเจ้ายังอยากให้ท่านซ่อมตัวอักษรไปเรื่อยๆ

    ตอบลบ
  2. นั่งท้องร้องจ๊อก ๆ รอข้าวสุกอีกแล้วสวัสดิ์ขอรับท่านสาย

    ทุกทีสินา ว่าจะฝึกนิสัยข้าวใกล้หมดหม้อหุงไว้ก่อนไม่เคยสำเร็จ เป็นต้องรอจนหิว แล้วค่อยคิดขึ้นได้ว่าข้าวไม่พอมื้อ..ทู้กกกกที!

    ท่านจะบอกว่าเรื่องนี้ฟลุ้คเรอะขะรับ!?

    แต่ข้าพเจ้าว่าท่านรู้ตัวนา..ความสุขที่ตัวอักษรลื่นไหล ความสมใจเมื่อจบเรื่อง ต้องบอกท่านมาแล้วว่า..อารมณ์นี้ใช่เลย

    ที่มาของเรื่องซึ่งผุดขึ้นเองดุจบั้งไฟพญานาคผุดจากลำโขงนี่แลขะรับ เป็นที่หมายมาดปรารถนา แต่จะรอบั้งไฟก็ใช่ที่ มีทางเดียว ได้แต่เขียนดุ่มไปข้างหน้า บั้งไฟโผล่คราใดค่อยประเลงเสียที

    หวังท่านแจ่มแจ้งแล้ว งานที่ประจงปั้นแต่งคำวิริศมาหรา (โอว..เขียนไงอ่า?) เป็นเรื่องของมือใหม่หัดขับ ส่วนงานที่กระชับ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาเป็นเรื่องของมือซิ่งตีนเทวดา

    ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังหวังเราไปถึงจุดที่รู้หยิบจับภาษามาใช้ดังใจ รู้ว่างานใดควรใช้รูปคำ รูปประโยคอย่างไร?, ระดับไหน? เพื่อขับอารมณ์เรื่อง ความที่ต้องการสื่อให้ลึกสุดใจผู้อ่าน (ว่าเข้านั่ลล์)

    ถึงวันนั้นเราคงไม่ต้องมานั่งแคะขี้มูกกันอย่างทุกวันนี้ล่ะกระมัง

    คารวะ

    ป.ล.ขออย่าได้เรียกว่า 'เสียเวลา' เลย ข้าพเจ้าอ่านช้าเขียนช้าเป็นอัปลักษณ์นิสัย แลไม่เคยคิดแก้ ด้วยอ่าน-เขียนเป็นความสุขชนิดหนึ่ง มิควรเลยที่จะปล่อยให้ผ่านพ้นโดยไว แลข้าพเจ้าหาได้กระทำเพื่อผู้ใดเลยนอกไปจากตัวเอง มีสหายร่วมหนทางขีดเขียนนั้นง่ายดายเสียที่ไหน

    ป.ล.๒ ตอนข้าพเจ้าเริ่มหัดเขียนสหายพี่สองแกธุดงค์ป่าอักษรมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ความเก๋าของแกนั้นตุ๊กแกเรียกป๋า ตะแกไม่ค่อยชมใครบ่อย ๆ ความปรารถนาดีมีเต็มร้อย (โดยเฉพาะหนอนสาว ๆ) คำทักท้วงของแกจึงมักอุดมด้วยวิตามินเกลือแร่และเบต้าแคโรทีน (แล้วแต่ผู้รับจะซึมซับหรือขับออกมาเป็นแร่ธาตุส่วนเกิน)

    ปะคำชมของสหายพี่สองเยี่ยงนี้ เชิญท่านลอยลมตามซำบาย

    ตอบลบ
  3. เช้าอากาศแจ่มใสสวัสดิ์เจ้าค่ะ

    ขอบพระคุณสำหรับความรู้เรื่อง 'ยาม' ที่นำมายัดแทนขี้เลื่อยในขมองผู้น้อยเจ้าค่ะ แต่ห้ายามที่ท่านบอกมานั่นข้าเจ้ารู้จักอยู่ยามเดี๊ยะ ยามหลับ! อันนี้รู้จักกะมันดีเพื่อนซี้กันเลยแหละ

    ที่ท่านทายว่าข้าพเจ้ารู้ตัวนั่น ถูกเจ้าค่ะ ข้าพเจ้ารู้ตัวว่ามีความสุขที่ตัวอักษรลื่นไหล สมใจเมื่อเขียนจบ ตัวอักษรเดินไปตามทางที่บอกให้มันไป ไม่มีงอแงโยเยดื้อรั้นดันทุรังให้เราต้องคันกบาลกับมัน แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความสุขขณะเขียน เป็นความสุขที่เอาข้อความประโยคเดียวมาสร้างเรื่องสร้างราวใส่ให้มัน เหมือนมันมีชีวิตชีวาโลดเล่นอยู่เบื้องหน้าเรา

    และสุขที่รู้ว่าเราเขียนได้และได้เขียน(ไม่ใช่ความสุขที่รู้ว่าเรา'เขียนดี')

    เพราะเป็นดังนั้นเขียนจบแล้วจึงแล้วกัน มิได้มีความคาดหวังใดๆ ทิ้งไว้ในเนื้องาน โพสต์สู่สาธารณชนเสร็จก็เท่ากับงานเสร็จสิ้น ความรู้สึกทั้งมวลจบลงตรงนั้น(ออ..อาจจะยังมีตกค้างอีกนิดหน่อยตรงที่ได้รู้ว่างานเรามิได้มีแค่เราคนเดียวที่นั่งอ่าน)

    เมื่อไม่มีความคาดหวัง คำชมที่ได้รับจึงเหนือความคาดหมาย ท่านเข้าใจใช่มั้ยความรู้สึกแบบนี้?

    ด้วยความเคารพ

    ป.ล.นั่งแคะขี้มูกก็ดีนะทั่น บางทีอาจเจอพล็อตเรื่องเจ๋งๆ อยู่ในขี้มูกสักก้อน ^^

    ป.ล.๒ วิริศมาหรา ---> วิลิศมาหรา

    วิลิศมาหรา
    ความหมาย
    (ปาก) ว. หรูหรา เช่น แต่งตัววิลิศมาหรา.
    น. ชื่อภูเขาสำคัญของกรุงดาหา เมื่อเสร็จศึกกระหมังกุหนิงแล้ว พระเจ้ากรุงดาหา พากันไปทำพิธีใช้บนที่ภูเขานี้
    วิลิศ แปลว่า สีเขียวสีคราม
    มาหรา คือ เมรุ.

    (ใส่มาให้มันรกๆ ดูอมภูมิดีชะมัด เหอะๆ )

    ป.ล.๓ ขนำทั่นเปิดหน้าต่างย่อยๆ ลำบากอีกแล้วเจ้าค่ะ

    อ้อ..ป.ล.๔ ข้าเจ้าคิดชื่อบล็อกใหม่ได้แล้วนะทั่น 'kratomsailom' ไง? เจ๋งเป้งไปเลยใช่มั้ยล่ะ? คิดกันนานนะเนี่ยกว่าจะได้ ตีลังกากลับไปกลับมาตั้งหลายตลบ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

    ตอบลบ
  4. อาทิตย์สวัสดิ์ "ท่านดิลล์"

    ช่วงนี้กระผมกำลังจะปรับปรุงซ่อมแซมบล็อก
    (จะเปลี่ยนเป็นบล็อกสปอทเช่นกัน)
    มัวง่วนอยู่กับการหาเทมเพลทที่เข้ากันกับธีมบ้านนอกๆ
    พร้อมกับการหาภาพประกอบ จึงพลัดหลงเข้าไปเจอเว็บนึงเข้า
    เอาแฮะ...เห็นภาพนี้แล้วนึกถึง ท่านดิลล์ ขึ้นมาทันที ไม่รู้ทำไม? 555
    เลยเอามาฝาก เผื่อท่านดิลล์จะเอา (ภาพในเว็บนี้)ไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง

    ลองดูนะท่าน...
    http://postercabaret.com/darwinsfinches.aspx

    จาก สหายเชิงดอย :)

    ตอบลบ
  5. ลองตั้งสมมุติฐานว่าอาจเป็นเพราะjavaจากภายนอก จึงก่อปัญหานี้ (ฝั่งข้าพเจ้าเองก็เปิดไม่ยอมขึ้น ติดตรง Recent Posts ซึ่งเอาโค้ดมาจากที่อื่น)

    ลองเอาออกแล้วนะทั่น ผลเป็นอย่างไรรบกวนแจ้งด้วย

    ชื่อ kratomsailom อุเหม่..ช่างไพเราะเหมาะเหม็ง คิดได้ยังไงไม่น่าเชื่อเลยง่าย ๆ แค่เนี้ยะ!

    ขอบคุณสำหรับ 'วิลิศมาหรา'
    ทำงานด้วยความสุขกายสุขใจนะทั่น (อาทิตย์หน้าจะลาอีกเปล่า?)

    คารวะ

    ท่านอิ่มขะรับ ผู้น้อยทิ้งความไว้ที่กระต๊อบหญ้าคาแย้ว

    ตอบลบ
  6. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  7. จิ้งหรีดระงมสวัสดิ์ "ท่านดิลล์"

    เหอะๆ อันที่จริง กระผมมีใจรัก wp เป็นแน่แท้ และบล็อก wp ก็ยังคงจะดำเนินต่อไป ...หากเพียงคิดว่า ควรจะมีการแตกไลน์บล็อกแนวคันทรี่ๆ เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทดลอง ด้วยเหตุผลสามประการแน่ะท่าน!

    ประการแรก กระผมจะเริ่มใช้ชีวิตตามอุดมคติสักที มีหลายเรื่องราวตั้งแต่กลับเข้าสู่ชีวิต (อย่างที่อยากเป็น) บ้านนอก ที่ทำให้พลอยมีความสุขตามประสาชาวบ้านไปด้วย กระผมมีเวลาที่จะปลูกต้นไม้ ต่อเติมบ้าน ตกแต่งสวนเล็กๆ ทำกับข้าวประเภทต่างๆ (ที่เคยเอาแต่ซื้อกิน) พาหมาไปจูงเดินตามทางดินแดงแซมดอกหญ้ากระจิ้ดริด (เหอๆ โคตะระชิลล์ๆ)และเจียดเวลา ตรวจ-ส่งงานกลับไปยังบริษัทเก่าที่กรุงเทพฯ พร้อมกับทดลองทำโน่นทำนี่ (ที่กระผมเคยเกริ่นไว้ว่า "มันเยอะ") เช่น เลื้ยงไส้เดือนดินเพื่อผลิตปุ๋ย แปรรูปและออกแบบผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ เป็นต้น

    ขณะที่แม่บ้านของกระผม ก็เริ่มกลับมาสู่วิถีแม่ศรีเรือน เริ่มหัดทำกับข้าวสูตรใหม่ๆ ทดลองทำขนมปังสไตล์โฮมเมดรสชาติอร่อย (ลิ้นเป็นที่สุด)แถมคอยประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้จากเสื้อผ้าเก่าๆ (สมัยยังใช้ชีวิตแบบบริโภคนิยม) ด้วยสองมือ เช่น ผ้ารองและผ้าจับของร้อน รวมถึงที่นอนหมอนมุ้งต่างๆ เยี่ยงภรรยาสมัยคุณย่า

    เมื่อความสุขมันเป็นเช่นนั้น ทำให้เราสองคนต่างมีความคิดเห็นตรงกันว่า เรื่องเหล่านี้ มันเป็นเรื่อง (สามัญชนมากๆ) ที่สังคมปัจจุบัน เริ่มถดถอย คนเรามีเวลาให้กันน้อยลง หลายคนมักแสวงหาความสุขนอกบ้าน เอะอะอะไรก็ซื้อ แทนที่จะหัดทดลองทำเองบ้าง (ในบางอย่าง) รวมถึงหลงลืมภูมิปัญญาท้องถิ่นในหลายเรื่อง

    หากเรารวบรวมแง่คิดเรื่องเหล่านี้ให้เป็นหมวดหมู่ และเริ่มเรียนรู้ทดลองชีวิตไปพร้อมๆ กัน คงเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อย...ท่านดิลล์ว่าไหม?

    ประการต่อมา ด้วยความที่แม่บ้านของกระผม เธอเป็นนักอ่าน (และก็อ่าน อ่าน อ่าน จนมีอยู่หลายหน) ที่คุณเธอคันไม้คันมือพยายามจะเป็นนัก(หัด)เขียนบล็อกดูบ้าง กระผมจึงต้องเปิดบล็อกใหม่อีกหนึ่งชื่อ เพื่อเป็นทางระบายของ 555

    ประการสุดท้าย ด้วยเศรษฐกิจส่วนตัวที่ยังไม่คงที่ ผสมกับความรู้งูๆ ปลาๆ เรื่องบล็อก เมื่อได้รับทราบข่าวจากรุ่นน้องบล็อกเกอร์ ว่าตอนนี้มีรายได้ในการเสริมด้วยการทำ google adsens จากบล็อกสปอท
    ก็เลยคิดว่า น่าจะลองบ้างนะ! เผื่อเป็นการต่อยอดรายได้ภายในครอบครัว
    อืม...ม เรื่องนี้ก็อยากปรึกษาท่านดิลล์อยู่เหมือนกัน ดูท่าทางท่านจะโปรด้านนี้ 555

    ซึ่งทั้งหมดคือเหตุผลว่าทำไม้ ทำไม??? ว่าต้องเป็นบล็อกสปอท

    ทั้งๆ ก็จริงอย่างที่ท่านดิลล์เอ่ย ว่า wp ดีกว่าเป็นไหนๆ แต่ก็นั่นแหละ "มันก็ต้องลอง!" ถือเป็นการเรียนรู้ไปอีกแบบ

    ฮ้าว...ว เริ่มง่วงแล้วล่ะท่าน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปเสียด้วย
    ถ้าเช่นนั้น ค่อยมาเจื้อยแจ้วเจรจาที่ขนำท่านดิลล์ อีกครา...
    ขอบคุณที่ชี้แนะขอรับ

    กู๊ดไนท์ เน้อ...ท่านดิลล....ล์ :)

    ตอบลบ
  8. พักเที่ยงสวัสดิ์ทั่น

    ดูท่าจะไปได้ไม่ครบสิบเสียแล้ว ท่านป๋าไอซ์ต่อมาแค่ข้อเดียว 'เนื้อหาลุ่มลึก' รอสหายพี่สามว่าตะแกจะมาสักกี่ท่า (ค่ำนี้คงรู้ผล)

    ที่ว่าน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงนั่น ต้องให้ข้าพเจ้ากะสหายพี่สองมาเจอกัลล์ ป๋าไอซ์กะสหายพี่สามทั่นอุดมสาระ เฉพาะป๋าไอซ์เนี่ย เคร่งเครียดเอาจริงจัง มองชีวิตเป็นก้อนหิน (นินทาเสียหน่อย) สหายพี่สามเบาสบายซ่อนดาบในรอยยิ้ม

    ปะความเห็นท่านจินที่เคารพรักแต่แรกแล้วล่ะขะรับ แต่ไม่ได้ยกมากล่าว ด้วยละไว้ฐานรู้กัลล์ ว่าความเห็นข้าเจ้าเองก็เป็นอีกหนึ่งความเห็น หาได้เป็นข้อสรุปว่าจะถูกต้องดีงาม เพียงหยิบยกมาวางไว้ให้ท่านพิจารณาแลเทียบเคียง

    เอาเป็นว่าเราหยิบจุดที่ท่านจินกล่าวถึงมาถกกัน เหมือนท่านจินชงกาแฟวางไว้กลางโต๊ะข้าเจ้ายกซดก็แล้วกัลล์ (ไม่ต้องชงเอง)

    ข้อแรก : เรื่องนั้นมีฉากเดียว!

    ท่านไม่ได้สลับฉากในความหมายของฉากเหตุการณ์หรือสถานที่ แต่เป็นสลับฉากของบทบรรยาย จากเหตุการณ์และคำพูดสู่ความคิดและออกจากความคิดสู่เหตุการณ์ (ซึ่งก็คือคำพูดประโยคเดียว)

    ข้าพเจ้าเข้าใจถูกไหม?

    (เรื่องนี้ท่านเองก็คงเกรงผู้อ่านงง เลยเว้นเสียตั้งสองบรรทัด)

    ข้อสอง : "จะไปด้วยกันไหมคะ?" แรก และ "ว่าไงคะคุณ..จะไปด้วยกันไหมคะ?" เป็นคำถามของหญิงสาวคนเดียวกันคนที่ชายหนุ่มจะเริ่มชีวิตใหม่ (แน่ล่ะ! "จะไปด้วยกันไหมคะ" สอง เป็นของอรจิรา)(ชื่อนี้ท่านทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงจี-ราสหายเลิฟ ป่านฉะนี้ไม่รู้หดศีรษะเมาอยู่กระดองไหน? โดนใครทำร้ายหัวใจไปอีกบ้างก็ไม่รู้)

    ท่านใช้ "ว่าไงคะคุณ.." บอกคนอ่านแล้วว่า หญิงสาวถามซ้ำเพราะดูเหมือนคนถูกถามจะใจลอย ข้าพเจ้านับถือท่านชื่นชมท่านเป็นวรรคเป็นเวรก็ตรงนี้ (กลับมาก่อน..กลับมาก่อน..ท่านไม่ต้องอมยิ้มหรือตัวลอย ข้าพเจ้าทราบดีว่าท่านมิได้ตั้งใจ)

    ท่านไม่ได้ใช้คำบรรยายมากความ ไม่ได้บอกว่าหญิงสาวถามซ้ำ (บทสนทนาที่ดีคือบทสนทนาที่บอกในสิ่งที่ไม่ได้กล่าว) (อย่าใช้ตัวหนังสือมากเกินไป ผ่าสิ! กระดาษทุกแผ่นต้องโค้นต้นไม้มานะ!-พวกนักเขียนจอมเก๋าบ่น)

    ข้าพเจ้าเข้าใจถูกไหม?
    (กรณีนี้ท่านได้สอนบทเรียนข้าพเจ้าอีกครั้ง ขอบคุณ..ขอบคุณ..)

    สรุป : ประเด็นน่าจะยักไปที่ความต่างของประสบอ่าน ซึ่งก็ย่อมจะหลากหลายกันไป ท่านจินนี่ทักท้วงมา ก็เหมือนข้าเจ้าท้วงทักไป ท่านทบทวนมา ๆ ไป ๆ ส่วนไหนเออออก็ค่อยห่อหมก ส่วนไหนไม่เออออก็จับหมกไม่ต้องห่อ เชื่อว่าทั้งข้าพเจ้าแลท่านจินมิได้ถือสาหาความ

    มีท่านจินช่วยจับประเด็นทักท้วงเยี่ยงนี้ย่อมเป็นการดีที่จะได้ทบทวน (คิดต่างเห็นต่างมิเป็นไร ขอแค่เราได้มาแชร์กัลล์) เสียดายทั้งบอร์ดกลับหาคนที่จะแลกเปลี่ยนความเห็นกันเยี่ยงนี้แทบไม่มีเอาเสียเลย

    ช่างเขียนคงเหมือนช่างเชื่อมช่างบัดกรีนะขอรับ

    เรานำเรื่องราวย่อย ๆ มาปะติดปะต่อเชื่อมให้เป็นเนื้อเดียวโดยทำรอยเชื่อมให้เนียนที่สุด จนผู้อ่านไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของร่องรอยเหล่านั้น ท่านทำได้ดีแล้ว..ท่านทำได้ดีแล้ว..

    ก้มหน้าก้มตากรำนิยายกันขะรับ ปลายสัปดาห์แล้วมาดูกันว่าได้อะไรมาบ้าง

    คารวะ

    ป.ล. ขอบคุณสำหรับแจ้งผล รอไปนั่งซดโอเลี้ยงที่กระท่อมท่านอยู่ด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน

    OOO

    อา..ท่านอิ่ม แล้วจะแผลวไปกระท่อมหญ้าคาขะรับ

    ตอบลบ