เสียงนกเจี้อยแจ้วแผลวมาแผลวไปสวัสดิ์ขอรับท่านป๋าสหายพี่สาม
ยินเสียงนกพวกนี้ทีไรให้สงสัยใจ ใยมนุษย์จึงทะลึ่งเอาพวกมันมาใส่กรงแขวนรอบบ้าน ทั้งที่อยู่เฉย ๆ ปลูกต้นไม้ไว้ มันก็โผล่กันมาส่งเสียงขรม ไม่เห็นต้องไปยืนดีดนิ้วเป๊าะ ๆ แหย่ให้นกเขาขัน ข้าพเจ้านั่งตอกต๊อก ๆ อยู่นี่ มันก็จุ๊กกรู จุ๊กกรูของมันเป็นที่บำราญใจ (นกเขาจริง ๆ นะขอรับ ขออย่าได้ใช้จินตนาการเชีย!)

หลายปีก่อน ข้าพเจ้าหยิบงานหวงอี้มาดูด้วยใคร่รู้ว่าเขียนอย่างไร โชคดีหรือร้ายไม่ทราบเจอะประเภทหน้าสองหน้าร่วมเพศ หน้าสองหน้าผสมพันธุ์ สำนวนภาษาเหมือนยังควานหาไม่พบมือตัวเอง พอดีข้าพเจ้าอ่านนวลนางจนช่ำยังไม่คิดหาสำนวนอื่นมากล่อมใจ เลยวางไว้แต่บัดนั้น
เกิดลามกปัญญา อา..นวลนางน่าจะอัญเชิญงานพ่อเจ้าประคุณมาประดับเล่ม คงได้รสชาติอีกแบบให้ติดตาม เพราะที่เขียน ๆ กันมาพวกนักเขียนน่าจะตันแล้ว (มุกซ้ำ..ขาประจำจืดจ๋อย)
ยามนั้นข้าพเจ้าใช้ไขขมอง(ที่มีเท่าปลายนิ้วก้อยตั๊กแตนตำข้าว) ใคร่ครวญ คงเนื่องเพราะตลาดนักอ่านมีความต้องการกำลังภายในใหม่ ๆ ขณะตลาดนักเขียนวอดวายกลายเป็นตลาดร้าง คนกลางซึ่งคือนักพิมพ์จำหน่ายจึงดันทุรังสุดกำลังยัด อะไรก็ได้โอ่ประโคมไว้ก่อน กำลังซื้อนั่งปากอ้าตาค้างคอยอยู่นี่นา
ผู้น้อยจึงคิดไปว่าหวงอี้ถูกอัญเชิญเป็นเทพอักษรบูรพาเหิรฟ้ามาสยามยุทธภพ คงเพราะแรงโปรโมทของสยามสปอร์ตฯ เสียเป็นแน่
แน่ล่ะโปรโมทให้ดิ้นกระแด่วอย่างไรก็ไปไม่รอดหากความดีไม่มี(อยู่บ้าง) คง (อีกที เพราะไม่ได้อ่านแล้วทะลึ่งมั่วกล่าว อ่านจากข้อพิจารณ์ทั้งหลายน่ะขะรับ) คงเพราะเนื้อเรื่องยืดยาวที่พ่อจ้าวประคุณจับโน่นผสมนี่ได้อย่างลงตัว (คุมเรื่องอยู่มือ ไม่มั่วเหมือนกำลังภายในยุคก่อน) แค่นี้มองจากสายตาคนเขียนอย่างเราท่านก็ต้องยกมือซูฮกแล้ว เรื่องที่เหลือคงต้องปล่อยให้เวลาขัดเกลา
กล่าวให้ถึงที่สุด ยังต้องคุกเข่าโขกศีรษะคารวะแก ขยันชะมัด! (ท่านทั้งสองคิดว่าขยันก่อนแล้วค่อยขายเรื่องได้หรือเรื่องขายได้ก่อนแล้วค่อยขยันดีขอรับ?)
จะรอคอยรีวิวด้วยความระทึกในดวงหทัยพลันขะรับ
เจ็ดโมงแระ!
เป็นอันว่ากล้วยยายริมน้ำน่านต้องรอก่อน ว่างใจแล้วจะขวานแผ่นบางทอดน้ำมันอ่อนให้กรอบนอกนุ่มใน แกล้มกาแฟยามบ่ายที่ออฟฟิศก้าวฯ (ว่าแต่..ไยเราไม่หิ้วถุงกล้วยแขกไปนั่งเคี้ยวกรอบแกรกกันที่ออฟฟิศ แทนสุมศีรษะกระซิบกันอยู่สามหน่อราวว่าเกรงคุณนายที่บ้านจะยินเข้าเยี่ยงนี้ล่ะ..หือขะรับสองทั่นที่เคารพรัก?)
คารวะ