ตะวันจวนทิ้งทุ่ง ทิวเมฆตรงขอบฟ้าเรื่อแสงหมากสุกรำไร ลมเย็นพัดริ้วน้ำในบ่อเลื่อนริ้วพลิ้วไหวเป็นระลอก กรุ่นไอข้าวกำลังเดือดล่องตามลมมาหอมริน

มีเวลาอีกครู่ก่อนตะวันลับฟ้า ก่อนข้าวรอดงได้ที่ เวลาหิวท้องร้องเยี่ยงนี้คิดถึงท่านเจ้าสำนักขึ้นมาคงมิเป็นไรนะขอรับ

วันนี้ข้าพเจ้าไปเยี่ยมยาย ยายจ้องหน้าน้ำตาซึมฉวยมือข้าพเจ้าไว้แน่น ถามไถ่ถึงทุกคนที่สามารถสืบความทรงจำถัดจากใบหน้าปลาจวดเจ้าหลานชาย

ความจำยายยังดีเยี่ยม!

ยายเป็นอัมพาตหลายปีแล้ว เป็นอาการสืบทอดพันธุกรรมในครอบครัว โทสะอันเนื่องจากลูกชายทำให้ยายสูญเสียไปครึ่งกาย แรก  ๆ นั่งรถเข็น สุดท้ายนอนบนเตียงพยาบาล

ทุกครั้งยายจะให้พรเป็นคำคล้องจองยาวเหยียด ชวนพูดคุยระบายทุกข์ในใจอันเนื่องด้วยความยากเข็ญของสังขาร จนหมดเรื่องคุยยายก็ยังจ้องหน้านิ่งมองในดวงตาข้าพเจ้าเหมือนจะจดจำไว้ให้นาน นานจนกว่าถึงช่วงเวลาเจ้าหลานชายกลับมาเยี่ยมอีกที

ใกล้มือข้างที่ยังขยับได้ มีหนังสือบาง ๆ ข้าพเจ้าหยิบพลิกดู นิยายตอน ๆ น่าจะเป็นละครทีวี (ข้าพเจ้าไม่มีทีวีนานเท่าเริ่มหัดเขียนหนังสือ การไม่รู้ว่านิยายเรื่องใดกำลังฉายละครทีวีคงไม่โดนข้อหาเฉิ่ม-เปิ่น-โก๊ะนะขอรับ) ข้าพเจ้าได้ทีชวนคุย

"ยายอ่านนิยายด้วยเหรอ?"

ยายยิ้มไม่ยอมตอบ (อาจกำลังคิดว่า 'ถามโง่ ๆ หนังสือวางอยู่เห็น ๆ)

"ยายมองตัวหนังสือเห็นเหรอ?" ข้าพเจ้าพยายามต่อ ยายพยักหน้า ยิ้มใสเหมือนเดิม

"ผมก็เขียนนิยาย"

"เขียนให้ใครอ่าน?"

'อ้าว! ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ!?' เปล่าพูดนะขอรับ ข้าพเจ้าคิดในใจ ปากบอกไปว่า "ผมเขียนไว้อ่านเองครับยาย"

"ขายได้หม้าย?" ยายถาม

"ไม่ทราบสิครับ" ข้าพเจ้าตอบ "ผมมีหน้าที่เขียนอย่างเดียว เรื่องขายคงปล่อยเป็นเรื่องของคนอื่นเขา" ไม่ทราบพูดไปยายจะเข้าใจไหม เห็นยิ้มแล้วจ้องหน้าข้าพเจ้านิ่งอยู่

ตอนลาจากมา ยายน้ำตาไหลอีกพลอยทำข้าพเจ้าเปียกหน้าเปื้อนตาไปด้วย รีบยกแขนป้ายน้ำตา หันหลังเดินออกประตู รู้ว่ายายคงมองตามแต่ไม่กล้าหันกลับ เปิดประตูแล้วไม่อยากปิดเลย รู้สึกคล้ายปิดแล้วประตูจะขังยายไว้ให้อยู่ในห้องแคบ ๆ วัน ๆ เห็นแต่ผนังสี่ด้าน

บอกยายไปว่าเขียนนิยาย แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นนิยายที่ยังไม่มีเค้าว่าจะไปถึงไหน เขียนค้างข้ามปียังได้แค่ไม่กี่หน้า ร่ำ ๆ จะถอดใจทิ้งรึก็หลายครั้งครา มาปะ 'เล่นให้จบเกม' ก็ยิ่งคล้ายโดนกระบองเซนฟาดกบาล เมื่อเริ่มแล้วก็ควรเล่นให้จบเกม ไม่ถอดใจกลางทาง ชักม้าเสียกลางศึก แต่การที่จะรู้รุกรู้ถอย รู้ว่าเมื่อไรควรเดินทัพ เวลาใดควรยอมถอนกำลัง ไม่ตะบันสร้างความเสียหายนั้นเป็นเรื่องของผู้รู้กลศึก เจนจบกระบวนยุทธ์ มีหรือลิ่วล้อชั้นปลายแถวเยี่ยงข้าพเจ้าจักกระดิกแม้ปลายติ่งหู 

เส้นแบ่งระหว่างกัดไม่ปล่อยกับดึงดื้อนั้นบอบบางนัก บางจนดวงตาต่ำต้อยไม่อาจจำแนกแยกแยะ

ข้าพเจ้าริหาเหาใส่หัวคิดหัดเขียนนิยายรัก ๆ ใคร่ ๆ ทั้งหยิบจับมาอ่านทีไรไม่เคยไปได้เกินสามหน้าสี่หน้า มิวายข้องคิดว่าหากเขียนอย่างที่ใจชอบจะทำได้หรือไม่?         

ตอนเริ่มดูเหมือนมีความสุขดี แต่มาได้ไม่เท่าไรก็ติดตะกุกตะกักเหมือนเครื่องยนต์หัวฉีดอุดตัน คล้ายกำลังฝืนทำสิ่งที่ตนไม่ถนัด พยายามเดินหน้าต่อแต่ก็เต็มกลืน

จากยายมาด้วยหัวใจกึ่งสุขกึ่งทุกข์

สุขที่ไปให้ยายพบหน้า แต่ก็ทุกข์ที่ต้องจากมา ขับรถไปคิดไป ข้าพเจ้าอาจมีหนทางไม่ต้องจากยาย ทำให้ยายรู้ว่ามีข้าพเจ้าอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา  บางครั้งการเล่นให้จบเกมคงต้องอาศัยแรงจูงใจ สร้างสรรค์เกมอย่างมีจินตนาการ  นั่นเองอาจเป็นสิ่งข้าพเจ้าขาด เมื่อพบว่านิยายรัก ๆ ใคร่ ๆ สามารถเป็นเพื่อนยายซึ่งเคลื่อนไหวได้ไม่เกินขอบเตียง นั่นคงเป็นคุณค่าเกินพอที่จะเขียนให้จบ

ข้าพเจ้าจะเขียนต่อ..เขียนให้ยายอ่าน

ขอท่านเจ้าสำนักถนอมสุขภาพด้วยขอรับ

น้อมคารวะ
ธุลีดิน

OOO

ตอบเมื่อ: 2009-06-11 16:46:50

กัดได้อารมณ์ดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น