๓๐
ผมเห็นพระขรรค์สององค์ค่อย ๆ เคลื่อนหากันจนซ้อนทับ เหมือนฝาครอบเคลื่อนหาตลับขยับไปมานิดหน่อยหาจุดเชื่อมที่สนิทพอดี แล้วก็คลิก รวมเป็นวัตถุชิ้นเดียวกัน ดวงตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นแจ่มกระจ่าง เปี่ยมเสน่ห์ชวนค้นหา จ้องมองฉงนคล้ายพบเรื่องแปลกใจ แล้วทุกสิ่งก็สว่างจ้า ระเบิดแสงกระจายออกจากดวงตา
ผมผงะ เขม้นมองภาพตรงหน้า
พระขรรค์โบราณยังอยู่บนสองมือ รูปลักษณ์ขนาดเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน เพียงองค์นี้เนื้อทองหม่นไม่วาวเงาเหมือนเมื่อครู่ หญิงสาวเยื้องยิ้มแก้มบุ๋มหันมองมา วาวตาคู่นั้นนั่นเอง ไม่ต่างพระขรรค์บนมือที่ยามนี้เนื้อทองหมอง เก่า ไร้ประกาย ผิดกับพระขรรค์ที่เห็นเมื่อครู่ สดใส วาวแวว เต็มด้วยพลังของวัยหนุ่ม ผมมั่นใจว่าเป็นดวงตาคู่เดียวกัน ต่างที่ใบหน้าหญิงสาวซึ่งกำลังจ้องมาทางผมนั้นสูงวัยกว่า ผ่านโลก รู้เท่าทันชีวิต ขณะดวงตาอีกคู่ใสซื่อ มองโลกด้วยเริงใจ
"เป็นอย่างไรคะ?" เสียงสดใสเอ่ยถาม
ผมยังแยกแยะไม่ออกระหว่างโลกอดีตที่เพิ่งเลือนหายกับภาพหญิงสาวตรงหน้า อย่างไหนจริง? อย่างไหนลวง? หรือลวงทั้งคู่? หรือจริงทั้งสอง?
"เห็นเงียบไป" หญิงสาวกล่าว
เสียงเธอกับเสียงอึงเมื่อครู่ก็ชัดเจนเทียมกัน จนเหมือนนั่งดูหนังสามมิติที่ภาพหลายเลเยอร์ซ้อนทับลอยมาตรงหน้า แล้วจู่ ๆ แสงเกิดสว่างจ้าแล้วดับวูบ ภาพเหลื่อมซ้อนพลันสูญหายเหลือเพียงเลเยอร์เดียว
"ไม่สบายหรือเปล่าคะ?" เธอขมวดคิ้วเพ่งมองมา
"ปละ..เปล่าครับ" ผมตอบ ประคองพระขรรค์คืนให้เธอ เรียวนิ้วกลึงเกลี้ยงช้อยอ่อนช้อนรับพระขรรค์ไว้ แล้วไล้ลูบทะนุถนอมเหมือนจะส่งสัมผัสหาผู้เคยเป็นเจ้าของ
"นั่งจ้องพระขรรค์ไม่พูดจา" หญิงสาวเยื้องเอวเลื่อนปลายเท้า ผ้าทอคลี่เคลื่อนลงสู่พื้น เธอขยับลุกขึ้นแล้วเดินประคองพระขรรค์วางบนพานแว่นฟ้า "คุณเคยมีอำนาจไหมคะ?"
"ผมเหรอ..?" อึ้ง ผมกำลังพยายามเสาะหารอยเชื่อมต่อเพื่อกลับมาปัจจุบัน ตะเข็บเวลาเกิดขาดหาย เรื่องราวตรงหน้าแยกถ่างออกจากกัน อยู่สถานที่หนึ่งจู่ ๆ ก็มาโผล่อีกสถานที่เหมือนพลิกหน้าหนังสืออ่านไปเรื่อย ๆ แล้วเนื้อหากลับตาลปัตรไม่ปะติดปะต่อจนสงสัยว่าเปิดข้ามหน้าต้องพลิกดูเลขหน้าให้มั่นใจ กำลังสาละวนอยู่กับหน้าหนังสือในหัวก็มาได้ยินคำถามแปลก ๆ
"อำนาจที่สามารถสั่งผู้คนให้ทำตามความต้องการ" เธอเอ่ย
เธอคงหมายถึงเงิน เป็นที่เข้าใจอันดี มีเงินเสียอย่างต้องการอะไรก็จะได้มา แน่ล่ะ ยังมีบางอย่างที่เงินซื้อไม่ได้ แต่บางอย่างที่ว่าก็ใช่จำเป็นจนชีวิตขาดไม่ได้ หลายอย่างซึ่งเป็นคุณค่าทางนามธรรมยังสามารถเกิดขึ้นภายหลังใช้เงินนำหน้าเสียซ้ำ ที่สุดแล้วชีวิตยังดำเนินไปด้วยดีขอเพียงมีเงิน มีเงินก็สามารถสั่งใครต่อใครให้ทำตามความต้องการ เงินเป็นอำนาจเหนืออำนาจทั้งปวง
แต่ผมไม่มี
หากผมยังขืนไม่มีเงินเข้าบัญชี อีกสักพักก็จะไม่เหลืออำนาจแม้จะสั่งผัดกะเพราไข่ดาวราดข้าว
"เคยมีครับ" ผมตอบ ตอนตำแหน่งทัวร์โอเปอร์เรชั่นยังครอบหัว ผมสั่งไกด์ สั่งรถ สั่งพนักงานต้อนรับ ทัวร์โคฯ แน่ล่ะไม่ใช่สั่งเพราะบ้าอำนาจ แต่เป็นการทำงานตามหน้าที่ ทุกคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบต้องดูแลให้งานตนลุล่วงด้วยดี ขณะปากลั่นคำสั่งหูก็คอยฟังคำสั่งจากไดเรกเตอร์อีกที เราคงทั้งมีและไม่มีอำนาจในเวลาเดียวกัน
แต่ครั้นถอดหมวกออก ไม่มีใครฟังคำสั่งผมอีกต่อไป (ป่านนี้พวกโอเปอร์เรชั่นฝั่งยุโรปคงกำลังปั่นหัวเจ้าคนที่มาทำแทนผมจนหัวฟู)
"เคยใช้อำนาจตัดสินใจผิดพลาดบ้างไหมคะ?"
"เคยครับ" ผมตอบโดยไม่ต้องคิด
"อย่างไรคะ?" เธอเลิกคิ้วสนใจจริงจัง
"ผมทำงานบริษัททัวร์"
"บริษัททัวร์" เธอเอ่ยทวนเหมือนนักเรียนท่องศัพท์ภาษาอังกฤษตัวใหม่
"ครั้งหนึ่งอเมริกันจากนิวแฮมเชียร์มาทัวร์อะราวด์อีสาน-เหนือสิบวัน ผมเซ็ตทุกอย่างลงตัวแล้วหันไปจัดการทัวร์อื่น ไกด์รับแขกเข้าห้องพักเรียบร้อยผมถือว่าโอนความรับผิดชอบไปที่ไกด์ มีอะไรคงโทรฯ แจ้งเอง วันออกเดินทางรับโทรฯ แต่ไม่ใช่จากไกด์ มาจากคนรถ บอกแขกนั่งคอยเต็มล็อบบี้แล้วไกด์ยังไม่มา เช้าวันนั้นงานทุกอย่างของผมวุ่นวายไปหมดกว่าจัดการจนคณะทัวร์ออกจากโรงแรมได้"
"เกิดอะไรขึ้นคะ?"
"ไกด์ลักไก่ไปรับงานซ้อนจากที่อื่น คิดสับหลีกให้เพื่อนพาทัวร์ออกก่อน เจ้าตัวดูแลแขกที่ค้างเสร็จแล้วค่อยตามไปรับช่วงแต่เจ้าเพื่อนมันเกิดเบี้ยวไม่มาตามนัด"
"ทำไมเขาไม่บอกคุณล่ะคะ?"
"เราทำงานด้วยเคารพความรับผิดชอบกันและกัน เมื่อแขกอยู่ในมือไกด์เป็นความรับผิดชอบของไกด์ ทำอย่างไรก็ได้ให้ทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดี บางครั้งอาจไต่เส้นกึ่งผิดกึ่งถูกบ้างผมก็ต้องอะลุ่มอล่วยเพราะยังมีงานอื่นให้สะสาง หากเข้าไปในทุกรายละเอียดจะทำงานไม่ทัน ผมแค่เช็คเป็นระยะตามแต่เวลาเหมาะสม ไกด์ที่ผ่านงานมานานจะจัดการทุกอย่างได้โดยไม่ต้องเข้าไปข้องเกี่ยวเว้นแต่มีเรื่องสุดวิสัยจริง ๆ จึงจะโทรฯ แจ้ง แต่ครั้งนั้นเกิดพลาด"
"คุณแก้ไขความผิดพลาดครั้งนั้นอย่างไรคะ?"
"ผมจ่ายงานโดยเห็นแก่ความสนิทสนมส่วนตัว" อันที่จริงเกี่ยวเนื่องด้วยรายได้แบ่งสันปันส่วนกันอีกนิดหน่อยแต่คงไม่ต้องบอกเธอ "หลังจากนั้นผมจึงพิจารณาความเหมาะสมมาก่อน"
"เคยพลาดถึงมีคนเสียชีวิตไหมคะ?"
ผมกลืนน้ำลายอึ๊ก "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ"
"หากคุณมีอำนาจ แต่ตัดสินใจพลาดทำให้คนเสียชีวิตคุณจะทำอย่างไรคะ?"
"เอ่อ.." ผมอึกอัก ชั่วชีวิตอำนาจน้อย ๆ ของผมนอกจากสั่งผัดกะเพราแล้วคงไม่มีวันถึงกับสั่งให้ใครอยู่หรือตาย
"สมมุติน่ะค่ะ"
"อย่างน้อยอาจมีประโยชน์กับผู้ฟัง" ผมแกล้งเย้า ลักยิ้มเธอซ่อนเงาหันไปจัดวางพระขรรค์เข้าที่
"ผมก็.." ไม่รู้สิ เป็นการสมมุติเกินตัวไปสักหน่อย เอาเถอะถือว่านั่งคุยฆ่าเวลา "หากตัดสินใจผิดพลาดขนาดนั้นจริง คงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ความผิดคงฝังใจไปชั่วชีวิต หากพอจะทำอะไรสักอย่างสำหรับชาวพุทธเราคงไม่มีอะไรดีไปกว่าบวชอุทิศส่วนกุศล"
เธอหันมายิ้ม เป็นยิ้มที่สดใสเหมือนหมู่เมฆฤดูร้อน
"ผมเงียบไปนานหรือครับ?"
"ไม่นานหรอกค่ะ" เธอตอบ "เห็นจ้องพระขรรค์นิ่งแล้วจู่ ๆ ก็สะดุ้งเหมือนวูบหลับ"
"เหรอ" ผมลังเลไม่รู้จะเล่าภาพที่เห็นให้เธอฟังอย่างไรดี กลัวเธอจะว่าผมเพ้อเจ้อปั้นเรื่องไปเอง ผมนิ่งฟังนั่งมองภาพเรื่องราวตั้งมากมายแต่ทำไมเธอบอกว่าไม่นาน "ผมเห็นภาพบางอย่างเรียงซ้อนขึ้นมา ชัดเจนเหมือนเข้าไปร่วมเหตุการณ์เชียว"
"เหรอคะ" ผิดคาด เธอเลิกคิ้วฉงน "ภาพอะไรคะ?"
"ภาพอดีต คล้ายหนังสุริโยทัยที่ท่านมุ้ยสร้างเมื่อหลายปีมาแล้ว"
"เรื่องอะไรนะคะ!?" เธอถามย้ำ หางเสียงตวัดสูง
"สุริโยทัยครับ"
"สุริโยทัย" ตาลอยเบนเบือนมองไปที่ไกล ริมฝีปากพึมพำ "คุณคงประทับใจหนังเรื่องนั้น ภาพเลยยังติดตา"
"คล้ายพบผู้คนในประวัติศาสตร์" ผมบอก "แต่มีอะไรบางอย่างแปลกไป" บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร รู้แต่ว่ามีอะไรบางอย่างผิดแผกไปจากที่เคยฟัง เคยร่ำเรียนมา
"แปลกอย่างไรคะ?"
หันมาถาม ดวงตาสวยซึ้งตรึงนิ่งรอคอยเหมือนพบประเด็นสำคัญที่ต้องคาดคั้นคำตอบให้ได้ ถูกจ้องอย่างนั้นผมชักอึกอัก (หากสักวันคุณพบหญิงสาววงหน้าขาวคมดวงตาสีน้ำผึ้งสวยซึ้งจ้องมองเข้าในดวงตาคุณ คุณจะเข้าใจความรู้สึกของผมตอนนี้)
"ไม่รู้สิครับ" เป็นคำตอบตรงใจที่สุดแล้ว "เหมือนผมหลงเดินอยู่ในหุบเหวประวัติศาสตร์ ลัดเลาะระหว่างร่องหลืบที่ไม่ได้รับการบันทึก ผมพอจะรู้เรื่องช่วงนั้นอยู่บ้าง" เพราะความสนใจแง่มุมประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรมนี่เองชักนำผมสอบเข้าหลักสูตรอบรมไกด์ของจุฬาฯ เมื่อสิบกว่าปีก่อน "แต่ภาพที่เห็นเป็นคนละเรื่อง"
"เป็นประวัติศาสตร์ช่วงไหนคะ?" เธอถาม
"อยุธยา" ผมตอบ
"อยุธยาช่วงไหนคะ?"
"พระไชยราชา"
เธอขยับกายหันเดินไปทางตู้พระธรรมลงรักปิดทอง จีบนิ้วจับปุ่มกระเบื้องเคลือบเปิดบานฝาออก ภายในเต็มด้วยสมุดข่อยโบราณ หันมาถามย้ำ
"สมเด็จพระไชยราชาธิราช"
ผมพยักหน้า เธอไล่ปลายนิ้วไปบนพับสมุดข่อย แล้วค่อย ๆ ดึงออกมาประคองส่งให้ผม
"บันทึกถูกเผาเสียโดยมาก นี่คือที่หลงเหลือ"
ผมรับสมุดข่อยโบราณยาวประมาณช่วงแขนมาพินิจ กวาดตาไปบนปกหุ้มผ้าลายไทย เส้นด้ายขาดเป็นขนสีทองตามร่องลายผ้า แผ่นกระดาษเนื้อหนาบางไม่เท่ากันซ้อนพับไปมา พลิกด้านใน ลายเส้นตัวหนังสือไทยสีทองวิจิตรบรรจงจมลึกลงในเนื้อไยผิว บางอักษรสึกจนสูญหายขาดช่วง ตัวสะกดหลายคำต่างจากปัจจุบันอ่านได้กระท่อนกระแท่น ผมบังคับมือไม่ให้สั่น แต่ก็สุดวิสัย เกรงทำให้กระดาษโบราณจารอักขระไทยวิจิตรเสียหายก็เกรง อยากรู้ก็อยากรู้ พลิกอีกพับก็ยังอ่านไม่ปะติดปะต่อ หญิงสาวอมยิ้มส่ายหน้า ย่อกายนั่งลงบนตั่งทอง เอื้อมมือรับสมุดข่อยไปจากผม
"คงอ่านติดขัดเพราะอักขระต่างกันอยู่บ้าง" เธอบอก "ฉันจะอ่านให้คุณฟัง"
จากนั้นน้ำเสียงกังวานใสก็เจื้อยแจ้ว ราวผมกำลังนั่งฟังเสภาขับ ถ้อยคำที่คล้ายเรียงร้อยจากบทกวีคลี่เคลื่อนเลื่อนลอย แรก ๆ เป็นละอองเรื่องราวปลิวฟุ้งเหมือนไอหมอก จากนั้นค่อยจับกลุ่มกันเป็นก้อน จากบางเบาค่อยเนื่องแน่นหน่วงหนักถะถั่งลงเป็นคำหยาดบอกเล่าเรื่องราวหลากชีวิตแก่งแย่งช่วงชิง หวังครอบครองอาณาจักรที่คงเหลือแต่ซากปรักหักพังซึ่งยามนั้นมั่งคั่งกว่ามหานคราใดในอุษาคเนย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น