eigeffj55bd958aei5iid


บทที่ 1
ลาดบ้านหนองป่าหวายยามนี้คึกคัก  ผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของด้วยเสร็จหน้านา  เงินทองจากขายข้าวหักค่าใช้จ่ายแล้วยังเหลือได้ซื้อหาสิ่งของจำเป็นไว้ใช้ในครัวเรือน  ร้านรวงสองข้างทางเต็มด้วยลูกค้าเดินเลือกดูสินค้า  ล้วนผัดหน้าแต่งตาสวมเสื้อผ้าลายร่องลายดอกสะสวย  พวกหนุ่มในอำเภอพากันนั่งจับกลุ่มส่งเสียงหยอกเย้ายามสาวเจ้ากรายผ่าน  ที่ใจกล้าเดินตัดผ่านหน้าหาเกรงคำ  ที่ใจฝ่อก็หลบเลี่ยงไปเสียอีกฟากฝั่งถนน  มิวายหากผู้สาวเค้าหน้าต้องตาต้องใจ  เสียงพวกหนุ่มก็ตะโกนข้ามอีกฝั่งถนนแล้วเฮฮาเป็นที่เริงใจ

ร้านกาแฟอาแปะตั้งอยู่มุมถนนตรงทางแยก
ประตูบานเฟี้ยมเปิดกว้างทั้งสองข้าง  ไอร้อนเหนือหม้อต้มพวยพลุ่ง  อวลกลิ่นกาแฟกรุ่นทั้งร้าน  มีโต๊ะหินอ่อนทรงกลมสี่ห้าตัว วางล้อมด้วยเก้าอี้ไม้กลึงชักเงา แต่ที่เป็นมันก็เฉพาะตรงถูกมือจับ ส่วนอื่นของเก้าอี้ล้วนคราบเก่าเกรอะกรัง  เสียงโฆษกรายการเพลงดังจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องใหญ่วางชิดผนัง  บนผนังเต็มด้วยป้ายโฆษณาสินค้าจำพวกยาสีฟัน ยาแก้ปวด น้ำดื่มโคคา-โคล่า สุรากวางทองน้องแม่โขง ถัดขึ้นไปเป็นใบปิดโฆษณาหนังที่กำลังจะเข้าฉาย  ภาพพระเอกยอดนิยมสมบัติ เมทะนีถือปืนเล็งตรงมาหน้า อีกฟากเป็นพระเอกใหม่ที่กำลังแจ้งเกิด นาท ภูวนัย
พลับพลึงยืนเท้าสะเอวเม้มริมฝีปากจนแก้มป่อง  จ้องมองพระเอกคนโปรดสลับกำหนดวันเข้าฉายครั้งแล้วครั้งเล่า  มองอยู่เป็นนานจนสุดท้ายถอนใจ ลากเก้าอี้ใกล้ตัวหย่อนก้นลงนั่ง เสียงอาแปะร้องถามจากหลังหม้อต้มน้ำทองเหลือง
“ลื้อไม่เคยเห็งอาสมบักหรือไร ถึงได้จ้องเอาจ้องเอาหยั่งง้าน?”
พลับพลึงเลิกคิ้วหันขวับ อาแปะสวมเสื้อขาวตราห่านคู่คอกว้างเห็นกระดูกไหปลาร้า มือเขย่าถุงกาแฟส่งยิ้มมา พลับพลึงหันมองพระเอกในดวงใจอีกครั้ง
“ไม่เคยนะสิ ถามได้”  พลับพลึงบอก  “ฉันน่ะอยากเจอตัวจริงใจจะขาด อยากรู้ว่าจะหล่อหยั่งในภาพมั้ย”
“ลื้อก็ไปบางกอกสิ”  อาแปะถือแก้วโอเลี้ยงเดินออกมาส่งให้ชายหนุ่มโต๊ะติดประตู
“ฉันเนี่ยนะไปบางกอก”  พลับพลึงโก่งคอ  “จะได้หลงทางกลับบ้านไม่ถูกปะไร”
พูดพลางดึงชายเชิ้ตลายดอกผูกปมพับแขนสองข้างขึ้นสูง  อาแปะเดินกลับไปที่หม้อต้มน้ำ
“เอาอาราย?”  อาแปะถาม
พลับพลึงเอียงคอคิดชั่วครู่  “โอเลี้ยง”  สายตายังจ้องมองภาพพระเอกยอดนิยมบนใบปิดโฆษณา
อึดใจแก้วโอเลี้ยงก็วางลงตรงหน้า พลับพลึงรีบล้วงกระเป๋ากางเกง
“เท่าไหร่?”
“บาทเดียว”
พลับพลึงควานเหรียญห้าสิบสตางค์จากกระเป๋ากางเกงอีกข้างขึ้นมาประกบบนฝ่ามือส่งให้แปะ
“มาขายข้าวสิท่า”  แปะรับเหรียญ
“อือ”
“คงได้หลายอัฐ?”
“ไม่หรอก ปีนี้ได้ข้าวนิดเดียว นามันแล้งเถ้าแก่ก็รู้”
“ได้ยิงพวกที่มาขายข้าวบ่ง ๆ อยู่เหมืองกัง”  แปะเดินกลับไปตักน้ำร้อนใส่กา
“โรงสีสิสบาย”  พลับพลึงยกแก้วโอเลี้ยงดูด  “จะแล้งจะฝนมีแต่ได้กับได้ พวกเราทำนาแทบตาย”
“โรงสีเค้าลงทุงมาก เค้าก็ต้องได้มากเป็นธรรมดา”
แปะเดินถือกาน้ำร้อนวางลงบนโต๊ะ เสียงเพลงของเพลิน พรหมแดนดังจากวิทยุทรานซิสเตอร์
“ถามอะไรหน่อยเถอะเถ้าแก่”  พลับพลึงก้มตัวกระซิบ
“อาราย”
“เถ้าแก่เส็งเนี่ยรวยมากมั้ย?”
“ลื้อถามอารายของลื้อ”  อาแปะยิ้ม  “คงทั้งหนองป่าหวายเขารู้กังทั้งนั้งว่าเรื่องทรัพย์สิงเงิงทองไม่มีใครเกิงเถ้าแก่เส็ง ลื้อจาถามปายทามมาย?”
“เก๊าะ”  พลับพลึงโยกคอ  “เผื่อจะรวยอย่างนั้นบ้าง ว่าแต่เถ้าแก่เส็งแกมีลูกชายบ้างมั้ยล่ะเถ้าแก่?”
“ม่ายมี”  อาแปะตอบ  “มีแต่ลูกสาว ลื้อจาถามปายทามมาย?”
“เผื่อจับพลัดจับผลูได้เป็นสะใภ้”
“อีไม่ชอบคงไทย คุยอียังไม่อยากจาคุยด้วย อีว่าคงไทยขี้เกียจ”
“หยั่งงั้นรึ”  พลับพลึงถลึงตา  “แต่กุลีที่ยกข้าวสารในโรงสีก็คนไทยทั้งนั้นนี่นา”
“ช่าย”  อาแปะเดินกลับไปชงกาแฟเย็นแก้วใหม่  “อย่าไปยุ่งกะอีเลย อีมังคงรวย”
“เป็นสะใภ้แม่พี่ก็ได้นะน้อง”
พลับพลึงหันขวับ เบิ่งตามอง  โต๊ะข้างมีชายหนุ่มสองคนส่งยิ้มให้  ผมหวีเรียบใส่น้ำมันตันโจ ดึงปอยผมไว้ตรงหน้าผากเอาอย่างพระเอกหนังคนดัง สวมเสื้อสีสันสดใสทั้งคู่  พลับพลึงเชิดหน้าไม่โต้คำ สายตาหาได้ละจากคนทั้งคู่ เสียงไอ้หนุ่มอีกคนบอก
“มองหยั่งงี้ ไม่ทราบน้องสาวจะเลือกคนไหน?”
“บ้านน้องอยู่ไหน..ใกล้หรือไกลพี่จะตามไปส่ง..บอกหน่อยโฉมยง คิ้วโก่งอย่ามัวเอียงอาย..” อีกคนร้องเพลงคลอเสียงเพลิน พรหมแดนจากวิทยุลอยหน้าลอยตา
“เดินคนเดียวมันหนาว..เดี๋ยวสาวจะไม่ปลอดภัย..”  คนแรกร้องต่อเสียงเหมือนลำโพงแตก
พลับพลึงแบะปาก ยกแก้วโอเลี้ยงขึ้นดูด สายตาจับจ้องคนทั้งคู่  ไอ้หนุ่มนักเลงประจำอำเภอขยับลากเก้าอี้นั่งข้างอีสาวบ้านนา เท้าแขนบนโต๊ะจ้องมองหน้าสาวด้วยแววตาหวานเยิ้ม
“ไม่น่าเชื่อว่าหนองป่าหวายจะมีคนสวยปานนางฟ้ามาดินหยั่งงี้”
“กลับไปที่โต๊ะ!”  พลับพลึงตวาด
ไอ้หนุ่มอีกคนรีบลุก ลากเก้าอี้นั่งลงอีกข้าง
“โต๊ะเราอยู่ตรงนี้จะให้กลับไปไหนล่ะจ๊ะน้องสาว”
อาแปะรีบวางตะบวยตักน้ำ  “พวกลื้อ อย่ายุ่งกะอี..”
“แปะนั่นแหละ อย่ายุ่ง!”
คนที่เพิ่งลากเก้าอี้มาตวาด แล้วหันยื่นมือหมายเกาะแขนเจ้าสาวบ้านนา  ปลายนิ้วไม่ทันสัมผัสชายเสื้อ  เสียงเพล้ง!  ไอ้หนุ่มนักเลงประจำอำเภอหน้าหงายล้มทั้งเก้าอี้  แก้วโอเลี้ยงแตกกระจาย  โอเลี้ยงผสมเลือดไหลอาบหน้า  อีกคนอ้าปากค้าง  พอตั้งสติมันเหวี่ยงแขนหมายรัดคออีสาวพยศ  พลับพลึงยกแขนกัน ยกขาถีบอกมันเต็มแรง  มันหงายหลังล้มลงหัวกระแทกพื้น  พลับพลึงไม่รอให้มันลุก มือคว้าเก้าอี้ฟาดตามลงไป ไอ้หนุ่มนักเลงเจ้าถิ่นกลิ้งหลบ  ขณะจะฟาดซ้ำ ถูกคนแรกรวบตัวจากด้านหลัง  พลับพลึงสะบัด มันรัดไว้แน่น ไอ้คนบนพื้นรีบลุกขึ้นเงื้อหมัดชก  พลับพลึงดีดตัวถีบหน้าเต็มฝ่าเท้าแล้วงอขาถีบกลับหลัง  ยินเสียงร้องโอ๊ย! ไอ้คนข้างหลังคลายมือ ตัวงอกุมเป้า
คนถูกถีบหน้าซวนเซถอยหลังกระแทกโต๊ะระเนระนาดล้มอยู่นอกร้าน  มันตวาดด้วยโทสะ
“พิษสงร้ายนักนะมึง!”  พรวดพราดลุกขึ้น มือกุมเบ้าตา อีกมือชักมีดสั้นจากด้านหลัง ก้าวกลับเข้าในร้าน
พลับพลึงตั้งหมัด ก้าวถอยหลังชิดผนัง ตาจ้องคนทั้งสอง  พวกมันหน้าตาถมึงทึงจะกินเลือดกินเนื้อ คนมีมีดแสยะยิ้ม
“พูดกันดี ๆ ไม่รู้เรื่อง ต้องให้ฉุด!”  มันเงื้อมีดหมายจ้วงแทง
แต่มือกลับถูกคว้าบิด มีดตกพื้น มันสะดุ้งสะบัดมือหันมอง  ข้อมือปวดแปลบเหมือนว่าจะหัก  ลูกค้าในร้านเผ่นหนีไปหมดแล้ว  ท่ามกลางโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด เหลือแต่คนสวมหมวกนั่งดื่มกาแฟเย็นคนเดียว โดยไม่หันมองเสียงทุ้มนุ่มกล่าว
“สู้ด้วยมือเปล่า ห้ามใช้อาวุธ”  ยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นดื่ม  “อ้อ..แล้วก็ทีละคน ห้ามรุม!”
“มึงเสือกอะไรด้วย?”  คนถูกบิดมือร้องถาม
“กูไม่คิดเสือก”  คนสวมหมวกตอบ  “แต่หากพวกมึงรุมอีก กูรับรองว่าพวกมึงไม่ได้เดินออกจากร้าน”
“เสือกนักนะมึง”
ไอ้คนถูกบิดมือเงื้อขาหมายถีบให้ล้มทั้งคนทั้งเก้าอี้
กลับช้ากว่าคนนั่ง ขาข้างเดียวของมันถูกเตะกวาดล้มทั้งยืน  ก่อนกระแทกพื้น รองเท้าท็อปบู๊ตหัวเหล็กอัดเข้าเต็มหน้า เลือดทะลักกบปากทันที อีกคนไม่รอช้า รีบวิ่งออกจากร้าน
ชายหนุ่มนั่งลงยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นดูด  ร่างบนพื้นค่อย ๆ ยันมือยันเข่า
“ยังไม่รีบไป”
ไอ้คนบนพื้นรีบคลานออกจากร้าน
พลับพลึงถลกแขนเสื้อ ก้าวอาด ๆ
“ขอบใจมาก”  ก้มหยิบเก้าอี้นั่งคร่อมลงตรงข้าม  “ฝีมือดีนี่ น่าไปอยู่กับพ่อฉัน”  จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า ปีกหมวกใบใหญ่ลู่ลงเห็นแต่ปลายสันจมูก  เหนือริมฝีปากเหยียดตรงยังเขียวรอยหนวดเพิ่งโกน
ชายหนุ่มเลื่อนมือดันปีกหมวก
พลับพลึงตะลึงตาค้าง  เหลือบมองไปที่ภาพปิดโฆษณาหนังหันกลับมองชายหนุ่มตรงหน้า ขนคิ้วดกหนานัยน์ตาชวนฝัน  ใบหน้าละม้ายพระเอกในฝันของเธอแทบเป็นคนเดียว
ชายหนุ่มส่งยิ้ม  “เธอก็เก่งไม่เบา คนเดียวสู้กับสอง”
พลับพลึงเท้าคางยันข้อศอกบนโต๊ะ  “นายชื่อไร?”
“ไชย”  คนสวมหมวกตอบ  “ไชยยศ”
“ขอบใจนะไชยยศ ว่าแต่..”
พลับพลึงหันมองรอบร้าน  เก้าอี้หักกองทับกัน  โต๊ะอีกตัวล้มเค้เก้ อาแปะยืนยิ้มหน้าเจื่อน
“ไม่เป็นไร”  ชายหนุ่มบอก  “ผมจ่ายค่าเสียหายเอง”
พลับพลึงยิ้มแหย  “งั้นก็ขอบใจ ฉันไปก่อนล่ะ”  พูดจบดีดตัวออกจากเก้าอี้
ชายหนุ่มพยักหน้า  ยิ้มมองเรือนร่างทะมัดทะแมงสมส่วน  ผมซอยสั้นคล้ายเด็กผู้ชาย เดินตัวปลิวออกจากร้าน
“อ้อเดี๋ยว!”
ชายหนุ่มร้องเรียก  หญิงสาวหันกลับมามอง เปลวแดดแผดจากด้านนอกใบหน้าหวานซ่อนเงาเห็นดวงตาเป็นประกาย
“เธอชื่ออะไร?”  ชายหนุ่มถาม
“พลับพลึง”  หญิงสาวยิ้มตอบแล้วหันกายเดินเลี้ยวลับมุมถนน
OOO
บทที่ 2
ระท่อมมุงหญ้าคาปลูกสร้างเรียงรายสองฝั่งถนนดิน  ขุนเขาขจีทอดตัวรายล้อมพื้นที่บริเวณนี้ราวเป็นปราการ  เสียงปืนดังเปรี้ยง ๆ สลับเสียงหัวเราะโห่ฮา กระป๋องนมเก่าโยกเยกจะตกมิตกแหล่  เจ้าจืดพยายามประคองมันไว้สุดฤทธิ์  แต่ช่วยไม่ได้ มันสั่นไปทั้งตัว  ยิ่งเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเจ้าจืด พวกเพื่อนพากันฮาลั่น เจ้าจืดเหลือกตามองกระป๋องบนหัว ไม่รู้ยังอยู่หรือร่วงหล่นไปแล้ว
“เป็นอะไรวะจืด สั่นเป็นเจ้าเข้าเชียว”
เสือปลิวนั่งไขว้ขาเอนหลังพิงพนัก  เสื้อลายสก๊อตแหวกอก ห้อยพระเต็มคอ มือถือลูกโม่ไทยประดิษฐ์โยนขึ้นลงคล้ายชั่งน้ำหนัก
“โธ่พี่ ฉันสั่นที่ไหน”  เจ้าจืดเสียงอ่อย  “กระป๋องมันสั่นเอง”
“เออ ๆ”
พวกยืนล้อมฮาลั่น
เสือปลิวยันตัวปลดขาลง  จ้องมองกระป๋องกำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า  โดยไม่บอกกล่าว สะบัดมือ ลูกโม่ไทยประดิษฐ์คำรามเสียงก้อง หัวตะกั่วพุ่งออกจากปลายปากกระบอก ตรงหากระป๋อง เสียงดัง ปุ!
เจ้าจืดตัวแข็งทื่อตาเหลือกค้าง กระป๋องปลิวห่างออกไปหลายวา
“ใหญ่ไป”  เสือปลิวร้องสั่ง  “เอาที่มันเล็ก ๆ หน่อย”
พวกสมุนช่วยกันส่ายตามองหาอะไรสักอย่างที่เล็กกว่ากระป๋องนม
“นี่ดีมั้ยพี่?”
ไอ้หลอดหน้าแหลมผมยุ่งเก็บได้ลูกพุทราเด็ก ๆ ทำหล่นไว้  เจ้าจืดเห็นเข้าร้องลั่น เสือปลิวโบกปืน
“เอานาจืด มันก็แค่ลูกพุทรา”
ไม่ต้องสั่ง ไอ้หลอดรีบเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยื่นมือวางลูกพุทราลงบนหัวเจ้าจืด  เจ้าจืดอยากจะร้องไห้ตัวสั่นเทิ้ม ลูกพุทรากลิ้งไปมาบนหัวสองสามครั้งก็หล่น
“เก็บขึ้นมา”  เสือปลิวสั่ง  “หากมึงทำหล่นแล้วกูจะยิงอะไร”
เจ้าจืดรีบก้มหยิบลูกพุทราบรรจงวางลงบนหัว  เสือปลิวยกปืนขึ้นเล็งมองผ่านศูนย์หลังไปยังศูนย์หน้า แล้วเงยดูเป้า ก้มเล็งแล้วแลเล่า เจ้าจืดหลับตาปี๋
เสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงมา ตามด้วยฝุ่นดินตลบ  ทุกคนพากันหันมอง ยินเสียงร้องตะโกน
“พี่ก้านกลับมาแล้ว”
เสือปลิวลดมือ  เหลียวมองไปทางถนนเข้าชุมเสือ  ปื้นหนวดหนาเหนือริมฝีปากขยับยิ้มเมื่อเห็นคนขี่ม้านำหน้า ลุกขึ้นส่งปืนให้สมุน ดึงผ้าขาวม้ากระชับเอว เดินออกยืนรอ
ขบวนม้าพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว  ชายหนุ่มหัวขบวนกระโดดลงจากหลังม้าตั้งแต่ยังไม่หยุดเท้า พวกยืนคอยโผไปรับม้าไว้  ชายหนุ่มตรงหาเสือปลิว ก้มพนมมือไหว้
“เป็นไงวะก้าน?”  เสือปลิวผู้ปกครองชุมเสือบ้านห้วยป่าหวายทักถาม
“ได้มาไม่น้อยพี่”  ชายหนุ่มตอบมือเสยผมไปด้านหลัง เผยเค้าหน้าคมคาย หันตะโกนสั่งลูกน้อง  “เอาของลงไว้ในกระท่อมพี่ปลิว ส่วนผู้หญิงเอาไปขังไว้ก่อน”
อีกห้าหกม้าที่ตามมาหยุดลง  ช่วยกันแบกลังใบใหญ่เข้าในกระท่อม  เสือปลิวโอบไหล่ชายหนุ่มพากันเดินเข้าภายใน
กระท่อมใหญ่มีหน้าต่างโดยรอบ  ประดับประดาข้าวของเครื่องใช้ที่ปล้นมาเต็มผนังทุกด้าน  ทั้งหมดล้วนเป็นของสะสมของพวกคนมั่งมีตั้งแต่นาฬิกาตั้งพื้น เขาสัตว์ ไปจนอาวุธปืนรูปทรงแปลกตา
“กลับมาครบมั้ย?”  เสือปลิวถาม หันมองลูกน้องยกลังวางซ้อนมุมห้อง
“ครบ”  ก้านตอบ  “เจ้าทรัพย์ตายไปสอง”
เสือปลิวหันขวับ ก้านพูดต่อ
“มันสู้ ฉันเลยต้องยิง”
เสือปลิวพยักหน้า เอื้อมหยิบใบยามามวน
“ไปอาบน้ำอาบท่า แล้วค่อยมาคุยกัน”
“เรื่องโรงสีล่ะพี่?”
“พลับพลึงมันไปตั้งกะเช้า เดี๋ยวกลับมาคงได้ความ”
ก้านรอดูลูกน้องจัดวางลังเรียบร้อยแล้วกลับออกไปพร้อมพรรคพวก
ก้านกับพวกลับหายไปไม่นาน พลับพลึงก็ตะบึงม้ามาถึง เสือปลิวรีบวิ่งออกรับตั้งแต่สาวเจ้ายังไม่ลงจากหลังม้า
“ไงบ้างลูกพ่อ?”
พลับพลึงเหวี่ยงขาทิ้งตัวลงจากหลังม้า ปล่อยลูกน้องนำม้าไปดูแล โอบกอดบิดาเต็มรัก ทั้งสองก้าวเข้าในกระท่อม พวกที่รุมล้อมโยนลูกเต๋าอยู่บนแคร่หน้ากระท่อมร้องเย้า เจ้าจืดถาม
“ของฝากข้าล่ะพี่พลับพลึง?”
“มะเหงกแน่ะ”
พลับพลึงยกมะเหงก พวกที่เหลือโห่ฮายื่นมือขยี้ผมเจ้าจืดจนหัวหด
“ไปอาบน้ำอาบท่าก่อน ไอ้ก้านก็เพิ่งกลับมา เดี๋ยวออกมากินข้าวด้วยกัน”
“จ้ะพ่อ”
สาวเจ้าคนงามในหมู่โจรแยกตัวเดินออกช่องประตูเชื่อมต่อไปยังกระท่อมอีกหลัง
ตะวันทิ้งปลายไม้  เสียงพวกนกกาบินกลับรัง  ทิวทัศน์หุบเขาชุมโจรบ้านห้วยป่าหวายค่อย ๆ จางแสงทึมเทาโพล้เพล้ จนตะวันรอนลับเหลี่ยมเขา  พวกที่เห็นเดินไปเดินมา เด็ก ๆ วิ่งเล่นค่อย ๆ ลับหายจนไม่เหลือคน สายควันลอยยักย้ายขึ้นจากหลังคากระท่อมหลังโน้นหลังนี้  เสียงหรีดหริ่งเรไรเริ่มระงม  ความมืดคืบคลานเข้าคลุมไปทั่วทั้งผืนป่ามองเห็นปราการทิวเขาเป็นเงาตะคุ่ม เว้นก็แต่แคร่หน้ากระท่อมใหญ่ แสงไฟแสงไต้สว่างจ้า
เสือปลิวนั่งมวนใบยา  มองก้านเด็กหนุ่มมีฝีมือที่มั่นหมายใจว่าจะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าแทนตนรับจานสำรับกับข้าวจากแก้วเด็กสาววัยสิบหกสิบเจ็ดเพื่อนคู่หูพลับพลึงซึ่งวิ่งเล่นกันมาแต่เล็ก  รอให้แก้วเดินกลับเข้าในกระท่อม  เสือปลิวถามขึ้น
“อีผู้หญิงที่มึงเอามาเมื่อวันเป็นไง?”
“ยังพยศ”  ก้านบอก  “คงต้องรออีกสองสามวัน”
“ดีเหมือนกัน”  เสือปลิวบีบมวนยาเสียบเข้ามุมปาก หยิบไฟแช็ก ปัดหัวแม่โป้ง ประกายไฟวาบก่อนลุกเปลวจ่อเข้ากับปลายมวนยา  “วัยมึงสมควรมีเมียเป็นตัวเป็นตนได้แล้ว”
“ที่ไหนกันพี่”  ก้านรีบโบกมือ  “ไอ้ปานมันเห็นแล้วชอบ เลยขอฉันให้ฉุดมาด้วย”
“อ้าว!”  เสือปลิวพ่นควันฉุย  “เป็นงั้นไป แล้วนี่เอ็งหมายตาใครไว้บ้างหรือยังเล่า?”
“เอ่อ..”  ก้านอึกอัก  “ยังหรอกพี่ ฉันยังอยากเป็นโสดหยั่งงี้อีกสักพัก”  ปากกล่าวแต่สายตามองเลยเข้าในกระท่อม
พลับพลึงกับแก้วช่วยกันถือจานสำรับชุดสุดท้ายออกมาวาง
“เอ้า..กินกันได้แล้ว”  เสือปลิวทิ้งมวนยาลงพื้น
พลับพลึงนั่งลงข้างพ่อ  เจ้าแก้วหยิบทัพพีตักข้าวสวยในหม้อดินใส่จานสังกะสีวางให้ทุกคน
“แกงอะไรวะอีแก้ว กลิ่นถึงได้หอมเย้าจมูกเสียปานนี้”  เสือปลิวถาม
“แกงปลาไหลใบราจ้าพ่อ”  แก้วเรียกเสือปลิวพ่อตามอย่างพลับพลึง
“เออเว้ย..เสน่ห์ปลายจวักเอ็งคงไม่เลว”
เจ้าแก้วอายม้วนเหลือบมองก้าน  ชายหนุ่มก้มหน้าตักข้าวไม่หันใส่ใจ  เสือปลิวตักแกงราดลงจานแล้วส่งเข้าปาก เคี้ยวพลางกล่าวกับก้าน
“วันพรุ่งเอ็งนัดทุกคนประชุมแต่เช้า  พลับพลึงมันไปดูลาดเลาตำแหน่งที่ตั้งต่าง ๆ ภายในโรงสีเถ้าแก่เส็งมาแล้ว กูจะให้มันอธิบายพวกเราเอง”
ก้านรับคำ เหลือบตามองพลับพลึง  สาวเจ้าส่งยิ้มมั่นอกมั่นใจ
“มองอะไร..กินสิ”  พลับพลึงดุเอา
เจ้าก้านตักข้าวส่งเข้าปากช้า ๆ ปลายตาหาได้คลาดไปจากวงหน้างามตรงข้าม  แสงไต้สาดไล้แพรวผมเป็นประกาย  เงาสันจมูกทาบข้างแก้มราวจะแย้มยิ้มพริ้มเพรา  สาวเจ้าเม้มริมฝีปากถลึงตา  เจ้าหนุ่มเหลือบเห็นผู้เป็นใหญ่เหนือชุมเสือห้วยป่าหวายจ้องมอง  มันปั้นหน้าลอกแลกรีบพุ้ยข้าวเข้าปาก
ตอนล้างจานพลับพลึงคุยเสียงกระซิบกับเพื่อนสาว
“วันนี้ฉันพบสมบัติ เมทะนีด้วยล่ะแก้ว”
“ฮ้า!”  เจ้าแก้วตื่นตะลึงจานแทบหลุดมือ
“เบา ๆ ซี”  พลับพลึงข่มตะคอก
“สมบัติมาหนองป่าหวายรึ!?”
“ใบปิดประกาศหนังน่ะ”  พลับพลึงบอกหน้าตาเฉย
เจ้าเพื่อนแก้วถอนใจพรวด
“พลับพลึงนะพลับพลึง ทำเอาหัวใจจะวาย”  เจ้าแก้วมองค้อน มือรับจานล้างน้ำดีต่อ
“ถึงไม่ใช่ตัวจริง แต่คล้ายมากเลยนะแก้ว”  สาวเจ้ามือวนน้ำขี้เถ้าบนจาน ตาลอยคิดถึงใบหน้าคมเข้ม ดวงตาชวนฝันเมื่อกลางวัน
“คล้ายยังไง?”
“เขาชื่อไชยยศ”  พลับพลึงไม่ได้สนใจคำถาม  “เล่นงานไอ้สองคนนั่นเสียหมอบกระแต”
“ฮ้า!”  เจ้าแก้วสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง
“ชู่!  เบา ๆ ซี”
“มีเรื่องเมื่อกลางวัน?”  เจ้าแก้วถาม
“ใช่”  พลับพลึงพยักหน้า  “อย่าบอกพ่อเทียว ฉันไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง”
พลับพลึงส่งจานให้แก้ว เล่าต่อว่า
“ไอ้พวกจิ๊กโก๋ในตลาดคิดลวนลามฉัน ฉันเลยสั่งสอนมัน  มีคนนึงชักมีดออกมา ยังไม่ทันทำอะไรก็ถูกนายไชยยศเตะซะหมอบหนีหางจุกตูด”
“หล่อเหมือนสมบัติ เมทะนีเลยเหรอ?”  เจ้าเพื่อนไม่สนใจซักเนื้อความ
“เสร็จแล้ว”  พลับพลึงแหย่มือในกะละมังน้ำดี  “แก้วกลับกระท่อมก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ฉันคุยกับพ่ออีกสักแป๊บเดี๋ยวตามไป”
เจ้าแก้วพยักหน้ายกกะละมังใส่ถ้วยจานขึ้นวางบนแคร่  เดินแยกไปทางกระท่อมตน  พลับพลึงเดินออกหน้ากระท่อม  เห็นพ่อนั่งถุนยามองท้องฟ้าอยู่คนเดียวจึงย่องเข้าไปข้างหลัง ยังไม่ทันใกล้ตัว เสียงผู้พ่อกล่าวขึ้นลอย ๆ
“คราวหลังต้องย่องให้เบากว่านี้อีกหน่อย”
พลับพลึงยิ้มถลาสวมกอดพ่อจากด้านหลัง  แนบแก้มกับแผ่นหลังบึกบึน
“โตเป็นสาวแล้วยังกอดพ่อเหมือนเด็ก ๆ”  เสือปลิวใช้นิ้วคีบมวนยา ยกแขนโอบลูกสาวมาไว้ในอ้อมอก
พลับพลึงขยับนั่งบนแคร่แอบใบหน้าชิดอกกอดเอวพ่อไว้แน่น
“เป็นอะไร..วันนี้ถึงได้กอดพ่อเสียแน่นขนาดนี้”  เสือปลิวลูบผมลูกสาว
พลับพลึงหลับตาส่ายหน้า อยากกอดพ่อไว้อย่างนี้ให้นาน ๆ
“พ่อรักแม่มากมั้ย?”  พลับพลึงถามทั้งรู้คำตอบ แม่จากไปตั้งแต่พลับพลึงยังไม่กี่ขวบ จนเดี๋ยวนี้พ่อก็ไม่ยอมมีแม่ใหม่ เลี้ยงดูพลับพลึงจนโตเป็นสาว
เสือปลิวทอดถอนใจ แหงนมองดวงดาวบนฟ้า
“ตอนพ่อพบแม่ พ่อรู้ยังไงว่าแม่รักพ่อ?”  พลับพลึงถามเสียงแจ้ว
เสือปลิวแววตาสะท้าน  ภาพหนหลังย้อนฉายในความทรงจำ ความรักเมื่อวัยหนุ่มเลือดลมพลุ่งพล่าน เรื่องราวผ่านไปเหมือนลมฝัน ชั่ววูบทุกอย่างก็ผ่านพ้น เสือปลิวถอนใจกล่าว
“เมื่อแรกแม่ไม่ได้รักพ่อ”
พลับพลึงแปลกใจ เอียงคอคอยฟัง
“แม่รักเพื่อนสนิทของพ่อ”  เสือปลิวทิ้งมวนยาลงพื้น  “พ่อกับเพื่อนพ่อเราโตมาด้วยกันรู้ใจกัน ปล้นด้วยกัน รักกันแบบเพื่อนตาย  เหมือนชะตากลั่นแกล้ง  เรารักแม่ของลูก”  กล่าวแค่นั่นก็เงียบไป
พลับพลึงรอสักครู่ค่อยถาม  “เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ?”
เสือปลิวรวบตัวพลับพลึงแล้วจูบลงที่หน้าผาก  “รู้แต่ว่าลูกเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อ เท่านี้ก็พอ”
“ไม่เอา พลับพลึงอยากรู้”  เสียงอ้อน
เสือปลิวส่ายหน้า ยกมือลูบพราวผมลูกสาว
“แม่ของลูกปลงใจกับพ่อ พ่อคิดไปว่าเพราะแม่รักพ่อ”  เสือปลิวเสียงสั่น  “มารู้ภายหลัง แม่ทำประชดเพื่อนพ่อ ทั้งสองทะเลาะกัน หลังจากวันนั้นเพื่อนพ่อก็จากไป”
“ไปไหนจ๊ะ?”
“เขาไปบวช”  เสือปลิวกล่าวเสียงแผ่วเบา  “พบกันตอนแม่ของลูกตาย หลังจากนั้นไม่เคยได้พบกันอีกเลย”
หยดน้ำตาอุ่นร่วงลงต้องแก้ม พลับพลึงกระชับกอดพ่อไว้แน่น  “พลับพลึงรักพ่อ”
“ไปนอนเถอะลูก วันพรุ่งยังมีงานใหญ่”
“เมื่อไรพ่อจะเลิกปล้นล่ะจ๊ะ?”
“พ่อเคยคิดจะเลิกปล้นเมื่อลูกโตเป็นสาวออกเรือน แต่ดูไปรอบ ๆ สิ  มีชีวิตร่วมร้อยที่เราต้องดูแล  พ่อยังต้องดูแลพวกเขา”
“พลับพลึงไม่อยากให้พ่อปล้นอีก ไม่อยากเห็นพ่อจับปืนฆ่าคน ทำไร่ทำนาของเราไปตามประสาก็ได้นี่จ๊ะ”
“ชีวิตเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน หากไม่มีปืนเรามีแต่ถูกเอารัดเอาเปรียบ รอไว้ลูกโตขึ้นก็จะเห็นเอง ไปพักผ่อนเถอะ”
พลับพลึงยื่นหน้าหอมแก้มชื้นของพ่อ  ลุกขึ้นเดินได้เพียงสองสามก้าวก็เหลียวมอง  เงาร่างโดดเดียวผู้เป็นที่พึ่งของทุกคนในชุมโจรนั่งนิ่งแหงนมองท้องฟ้าราตรี  พลับพลึงตัดใจก้าวช้า ๆ ไปกระท่อมที่พัก
OOO
บทที่ 3
รุ่งเช้า ภายในห้องประชุมอำเภอ เถ้าแก่เส็งศีรษะล้านเลี่ยน  คอสวมสร้อยทองอร่ามนั่งกระสับกระส่าย หันมองสำรวจบุตรีคนเดียวครั้งแล้วครั้งเล่า  เก้าอี้ถัดไปเป็นนายร้อยตำรวจหนุ่มรูปร่างสันทัด นั่งตัวตรง มองไปทางเวที พิธีรับมอบตำแหน่งนายอำเภอคนใหม่ดำเนินมาด้วยดี  นายอำเภอหนุ่มกล่าวแนะนำตัว ขอบคุณทุกคนที่มาต้อนรับด้วยน้ำเสียงนุ่มเนิบและเชื่อมั่น
“...ผมจะนำความสุขสงบกลับมาหนองป่าหวายจงได้”
เสียงปรบมือดังลั่นห้องประชุมเมื่อนายอำเภอคนใหม่กล่าวจบ  เถ้าแก่เส็งยินดีออกนอกหน้า ปรบมือนานจนทุกคนหยุดกันหมดแล้วยังไม่ยอมหยุด จนสารวัตรหนุ่มยื่นมือรั้งไว้จึงยิ้มปูเลี่ยน
นายอำเภอหนุ่มก้าวเดินลงจากเวที  เจ้าหน้าที่แยกย้ายกลับไปทำงาน พวกชาวบ้านทยอยออกจากห้องประชุม  เหลือแต่โต๊ะด้านหน้าที่ยังอยู่รอวิสาสะกับนายอำเภอคนใหม่
สารวัตรหนุ่มลุกขึ้นหนีบหมวกไว้ใต้แขน ตบไหล่นายอำเภอเพื่อนเก่า
“มาไม่บอกกันนะเว้ย!”
“โทษทีว่ะสารวัตร”  นายอำเภอหนุ่มยิ้มกุมมือเพื่อนนายตำรวจ  “อั๊วไม่อยากให้เอิกเกริก แค่นี้ก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
“ยังไงค่ำนี้อย่าหลบไปไหนเชียว อั๊วสั่งลูกน้องเตรียมเสบียงไว้แล้ว รับรองเพียบ”  สารวัตรหนุ่มบอก
เถ้าแก่เส็งกระแซะข้างสารวัตร ใช้นิ้วสะกิดเอว  “สารวักคัก”
สารวัตรหนุ่มขมวดคิ้วหันมอง เถ้าแก่เส็งยิ้มประจบ  “แนะนำด้วย..แนะนำด้วย..”
นายตำรวจหนุ่มร้องอ้อ  “นี่เถ้าแก่เส็งเจ้าของโรงสีโรงเดียวในหนองป่าหวาย”
“คัก..ซาหวักลีคัก”  เถ้าแก่เส็งรีบพนมกึ่งประสานมือ  “แล้วนี่...”  เอื้อมมือดึงบุตรีตะคอกเสียงดุ  “เข้ามาใกล้ ๆ ซี”  หันยิ้มประจบนายอำเภอคนใหม่  “ลูกสาวกระผม อีชื่อกิมลั้ง”  หันดุบุตรี  “ไหว้อาคุงนายอำเภอซี”
หญิงสาวพนมมือไหว้  นายอำเภอหนุ่มยิ้มรับไหว้ ผายมือให้ทั้งหมดนั่งลง  ตัวเองขยับมานั่งใกล้เพื่อนนายตำรวจ เถ้าแก่เส็งรีบเสนอตัว
“ค่ำนี้กินกังที่บ้านอั๊วก็ล่าย คุงสารวักไม่ต้องสิ้นเปลืองอีก อั๊วเลี้ยงไม่อั้น”
สารวัตรหนุ่มหันมองเพื่อนเก่า  “ว่าไง?”
“เชิญบ้านผมดีกว่าครับ”  นายอำเภอหนุ่มบอก  “กินกันไม่กี่คน แค่นั่งระเบียงบ้านก็คงพอ”
“ไม่ได้ซี”  เถ้าแก่เส็งท้วง  “เลี้ยงต้องรับนายอำเภอคงใหม่ทั้งทีต้องจักให้ยิ่งหย่าญ”
“ตามใจเถ้าแก่เขาหน่อยเป็นไรวะไชยยศ”  สารวัตรหนุ่มพูด
“อั๊วไม่ชอบคนมากลื้อก็รู้”  นายอำเภอบอก
“เออ ๆ ตามใจแก”  สารวัตรหนุ่มเอนหลังพิงโซฟามือกอดอก  “ขออย่างเดียวอย่าหลบหายไปไหนเชียว”
“เชิญเถ้าแก่เส็งเสียตรงนี้ด้วยเลยนะครับ”  นายอำเภอพูด
“คัก คัก ขอบคุงคักคุงนายอำเภอ”
เถ้าแก่เส็งรีบยกมือไหว้  นายอำเภอหนุ่มยิ้มรับไหว้  เหลียวมองลูกสาวเถ้าแก่เส็ง  เธอสวมเสื้อม่วงลูกไม้ปล่อยชายพลิ้วกำไลทองเต็มข้อแขน  คอเสื้อเว้าต่ำเผยร่องอกขาวเนียนรำไร  หญิงสาวก้มหน้ายิ้มเอียงอาย

ข้างชุมเสือบ้านหนองป่าหวาย  ทั้งหมดบ้างนั่งบ้างยืนบ้างเอนหลังพิงกันอยู่ในโถงกระท่อมเสือปลิว  ฟังพลับพลึงบรรยายระบุตำแหน่งต่าง ๆ ในบ้านและโรงสีเถ้าแก่เส็ง  พลับพลึงวาดภาพประกอบจนมั่นแล้วว่าทุกคนจดจำทางหนีทีไล่ขึ้นใจ
“ใครมีอะไรจะถาม?”  พลับพลึงบอก
ทุกคนนั่งนิ่ง เสือปลิวลุกขึ้นเดินมากลางห้อง
“เป็นอันว่าเข้าใจกันดีแล้ว”  สูดหายใจลึกมือเท้าเอว  “เราจะปล้นครั้งใหญ่ต้อนรับนายอำเภอคนใหม่  เสร็จครั้งนี้เราจะกบดานสักพักรอให้เรื่องเงียบ  เหมือนเดิม  หากไม่จำเป็นอย่าให้เสียเลือดเนื้อ  หากเจ้าทรัพย์ไม่ต่อสู้ขัดขวางอย่าได้ทำร้ายใคร  เอาทรัพย์สินออกมาแล้วเผ่นหนีให้เร็วที่สุด”  เหลียวมองโดยรอบ ทุกคนพยักหน้า  “แยกย้ายไปเตรียมตัว”  เสือปลิวสั่ง
ตลาดบ้านหนองป่าหวายยามค่ำคืนเงียบสงัดไร้คน  ถนนมีแสงไฟก็เฉพาะทางแยกหน้าร้านกาแฟ  นานทียินเสียงหมาจรจัดเห่าหอนสักครั้ง  คูหาร้านค้าสองข้างถนนปิดสนิท  ชาวบ้านล้วนหลับนอนแต่หัวค่ำ  มีก็แต่หน้าบ้านพักนายอำเภอที่ยังสว่างไสว  เสียงหยอกล้อพูดคุยดังแข่งกับเสียงช้อนเคาะขวดและเพลงของศรคีรี ศรีประจวบ 
โรงสีเถ้าแก่เส็งตั้งอยู่ท้ายตลาด  เป็นโกดังใหญ่มุงสังกะสีรอบด้าน  กลุ่มคนไม่ทราบจำนวนซุ่มอยู่ในเงามืด ทุกคนมีผ้าดำผูกหน้าโพกหัวเหลือแต่ลูกตา
ยามหน้าโรงสีนั่งกอดอกคอพับหลับคาเก้าอี้  คนชุดดำโบกมือส่งสัญญาณให้กระจายกำลังออก  พวกที่เหลือแยกออกทั้งซ้ายขวา อีกชั่วอึดใจ คนข้างหันมาพยัก คนหัวหน้าตะโกน
“ไอ้เสือบุก!”
เสียงปืนเปรี้ยง!
พวกโจรทั้งหมดกรูขึ้นบ้านและโรงสีเถ้าแก่เส็งพร้อมกัน  พวกคนงานตกใจตื่นมุดออกจากมุ้งถูกปืนจ่อ พากันหมอบกับพื้น เพราะทำความคุ้นเคยทุกช่องประตูหน้าต่างเป็นอันดี เสือปลิวบุกถึงห้องนอนเถ้าแก่เส็งทันที
“พังประตู!”
สมุนสามคนช่วยกันถีบประตู แค่ไม่กี่ครั้งประตูก็พัง  เสียงปืนดังเปรี้ยง! กระสุนสวนออกมา สมุนคนหนึ่งเซถอยกระแทกฝา  พวกที่เหลือกรูเข้าภายใน เถ้าแก่เส็งยังไม่ทันยิงนัดสองก็ถูกพานท้ายปืนฟาดเต็มหน้า
“สู้รึมึง!”  โจรคนหนึ่งจ่อปืนที่หัวเถ้าแก่เส็ง
“อย่าฆ่ามัน!”  มีเสียงร้องห้าม  “ไปดูพวกเรา ที่เหลือช่วยยกหีบสมบัติ”
เถ้าแก่เส็งมือไม้สั่นโผเข้ากอดหีบสมบัติไว้เลยถูกฟาดอีกครั้งคราวนี้แน่นิ่ง  พวกโจรช่วยกันยกหีบสมบัติลงจากบ้าน  ขณะกำลังเร่งร้อนเกิดกระแทกตะเกียงตกจากผนังแตกกระจาย น้ำมันก๊าดนองพื้น เปลวไฟลามลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
เสียงเพลงหน้าบ้านพักนายอำเภอชะงักทันทีได้ยินเสียงร้องเรียก
“สารวัตร! สารวัตร!”
ทั้งหมดชะเง้อมอง หมู่ชิตเข้าเวรประจำโรงพักวิ่งกระหืดกระหอบปีนสี่ขาขึ้นบันไดมา
“สารวัตร! สารวัตร!”
“มีเรื่องอะไร?”  สารวัตรดำเกิงร้องถาม
“บ้าน..บ้าน..”  หมู่ชิตเสียงติดคอพูดไม่ออก  “บ้าน..บ้าน..”
“บ้านอะไรหมู่!”  สารวัตรหนุ่มตะคอก
“บ้านเถ้าแก่”  พยายามเค้นคำพูดออกมา  “บ้านเถ้าแก่เส็งถูก..ถูก...”
สารวัตรดำเกิงพยักหน้าให้ลูกน้องคนนั่งชิดบันได เจ้าคนนั้นขยับเข้าใกล้หมู่ชิต ฟาดหลังมือเต็มแรง
หมู่ชิตหน้าสั่น คำพูดจึงหลุดออกมา
“ปล้น!”  หันยิ้มให้เพื่อนตำรวจ  “ขอบใจ”
“หมู่ว่าไงนะ!”  สารวัตรดำเกิงถลึงตา เท้ามือกับพื้น
“บ้านเถ้าแก่เส็งโดนปล้น”
“เมื่อไหร่?”  นายอำเภอคนใหม่ร้องถาม
“ตอนนี้เลย”  หมู่ชิตตอบ
“ไชยยศ”  สารวัตรดำเกิงหันเรียกเพื่อน  “ไป!”
ทั้งหมดกระโจนขึ้นรถจี๊ปไปบ้านเถ้าแก่เส็งทันที
เปลวเพลิงลุกไหม้ตัวบ้านลามถึงโรงสีซึ่งอยู่ติดกัน  พวกโจรขนทรัพย์สินวิ่งขึ้นลงสับสน  จี๊ปเลี้ยวเข้าลานโรงสีบัดนี้ร้อนระอุด้วยแรงเพลิง  เสียงปืนยิงออกมา ทั้งหมดกระโจนหลบข้างรถ ชักปืนประจำตัวยิงสวนเข้าไป
ยินเสียงตะโกนบอก
“ไอ้เสือถอย!”
พวกสมุนเหมือนคอยคำนี้มานาน กระโจนขึ้นหลังม้า พุ่งออกไปคนละทิศละทาง  แสงสว่างจากเปลวไฟวูบวาบ เห็นร่างคนโซซัดโซเซอยู่ในหมอกควัน
“นั่นเถ้าแก่”  หมู่ชิตชี้มือร้องบอก
“ยิงคุ้มกันให้ผมด้วย”
ไม่รอคำตอบ  นายอำเภอหนุ่มวิ่งฝ่ากระสุนตรงขึ้นบนบ้าน  มุดหลบไม้คานร่วงลงมาขวางทางแล้วพรวดหายเข้าไปในม่านควัน  ชั่วครู่ประคองเถ้าแก่เส็งออกมา  ถีบคานไม้ลุกไฟกระเด็นร่วงลงบนลานดินสะเก็ดไฟปลิวว่อน  ประคองร่างเถ้าแก่เส็งวิ่งไปที่รถ เถ้าแก่เส็งใบหน้าบวมปูดผิวหนังพุพองพยายามส่งเสียง
“ช่วย..ช่วย..ลูกสาวอั๊วล่วย”
“ทางไหน?”  นายอำเภอร้องถาม
เถ้าแก่เส็งพูดไม่ออกได้แต่ชี้มือเข้าในกองเพลิง  นายอำเภอหนุ่มส่งเถ้าแก่เส็งให้สารวัตรดำเกิง แล้วรีบวิ่งกลับเข้าในม่านควัน หลบหลีกฝ่าเปลวเพลิง ถีบพังประตู ส่งเสียงร้องเรียก
“คุณกิมลั้ง..คุณกิมลั้ง”
“ช่วยด้วย!”
เสียงดังจากหลังม่านไฟ  นายอำเภอกระโดดพุ่งผ่านเข้าไป เห็นกิมลั้งนั่งขดตัวอยู่มุมห้องเต็มด้วยเปลวไฟ นายอำเภอก้าวถอยแล้ววิ่งกระโดดข้ามกองไฟเข้าไปในห้อง  ดันเตียงชนประตู  ดึงผ้าคลุมเตียงคลุมร่างกิมลั้งแล้วอุ้มหญิงสาววิ่งขึ้นบนเตียงกระโจนออกประตู  วิ่งฝ่าเปลวเพลิงไปยังลานด้านล่าง
กิมลั้งร่ำไห้โผกอดบิดาแน่น  เถ้าแก่เส็งละล่ำละลัก “ขอบจาย..ขอบจาย” 
เสียงปืนของพวกโจรเงียบหายไปแล้ว
“เร่งหาน้ำดับไฟ”
สารวัตรดำเกิงสั่งลูกน้อง พวกตำรวจแยกกันไปหาน้ำ
“ขึ้นรถเร็ว ผมจะพาไปส่งอนามัย”  สารวัตรประคองเถ้าแก่เส็งและลูกสาวขึ้นรถ ตัวเองรีบประจำที่คนขับสตาร์ทเครื่อง
นายอำเภอเหลือบเห็นเงาร่างคนชุดดำ
“ไปกันก่อน”   วิ่งตามคนชุดดำไป
คนชุดดำวิ่งออกด้านหลังโรงสี   นายอำเภอวิ่งตามติด ๆ คนชุดดำเห็นจวนตัวชักปืนหันกลับมา  ยังไม่ทันกดไกก็โดนตะปบบิดข้อมือ ปืนหลุดร่วง  นายอำเภอเหวี่ยงแขนจะเหนี่ยวคอมันไว้  มันมุดหลบพุ่งหัวเสยชน นายอำเภอหน้าผงะแต่ไม่ยอมปล่อยมือ  มันม้วนตัวกลับสะบัดมีดออก  นายอำเภอดึงมือหลบ คนชุดดำได้ทีถีบเต็มอก  นายอำเภอเซถอย ทั้งสองเหลือบมองพื้น ปืนห่างออกไปไม่กี่วา ทั้งสองพุ่งหาปืนในเวลาเดียวกัน เป็นนายอำเภอที่คว้าปืนได้ก่อน  หันจี้ปืนกับหน้าผากคนชุดดำทันที แต่แล้วร่างคนชุดดำลอยลิ่ว นายอำเภอร้องลั่น
“เดี๋ยว!”  คว้าตัวมันไว้
กลับคว้าได้แต่ผ้าดำผืนหนึ่ง
คนบนหลังม้าฉุดมันขึ้น ร่างคนชุดดำลอยลิ่วขึ้นซ้อน  ขณะม้าดำห้อตะบึง มันหันมองกลับมา นายอำเภอหนุ่มตะลึงตาค้าง
OOO
บทที่ 4
ต้องจับตัวพวกมันมาให้ได้นะคักคุณสารวัก..อูยย์”
เถ้าแก่เส็งนอนเตียงในอนามัย มีผ้าพันรอบคางและดั้งจมูก ใบหน้าเขียวช้ำ แขนขาเต็มด้วยแผลพุพอง ตะเบ็งเสียงแล้วก็ต้องกุมคาง ร้องคราง สารวัตรดำเกิงสวมเครื่องแบบหนีบหมวกไว้ใต้แขน พยักหน้ารับคำ
“เถ้าแก่ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะจัดการไม่ปล่อยให้พวกมันกำแหงในหนองป่าหวายอีก”
“สารวัตรรู้ตัวมั้ยคะว่าเป็นใคร?”  กิมลั้งยืนกุมแขนบิดาอยู่ข้างเตียง
สารวัตรหนุ่มส่ายหน้า  “ไม่มีใครหรอกครับ พวกโจรชุมเสือนั่นแหละ”
“รู้ยังงั้นแล้วทำไมทางการยังปล่อยพวกมันลอยนวล”  นายอำเภอคนใหม่ถาม
“เรามีกำลังตำรวจแค่สี่ห้านาย พวกมันร่วมร้อย”  สารวัตรตอบ  “รักษาความสงบในตัวอำเภอยังแทบเกินแรง ทำอะไรพวกมันไม่ได้ อย่าว่าจะคิดปราบเลย ทุกวันนี้ต้องคอยระวังกลัวมันยกพวกมายึดโรงพักเสียซ้ำ”
“รู้มั้ยใครเป็นหัวหน้า?”  นายอำเภอถาม
“พวกมันเรียกเสือปลิว ตั้งแต่ห้วยนาปรัง บางนางเล่า จนถึงห้วยป่าหวายล้วนรู้ฤทธิ์เสือปลิวแต่ไม่มีใครเคยเห็นหน้า”
นายอำเภอหนุ่มมือกุมคางครุ่นคิด  “อืมม์..ไม่ลองขอกำลังจากส่วนกลาง”
“ลองแล้ว ทางโน้นบอกว่าต้องจัดสรรกำลังไปช่วยพื้นที่อื่นก่อน”  สารวัตรดำเกิงส่ายหน้า
“สารวักต้องจักกางพวกมังให้ได้นะคัก”  เถ้าแก่เส็งแทรก
“ครับ เป็นหน้าที่ผมต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม เถ้าแก่ไม่ต้องห่วง ผมจัดการพวกมันแน่”
“ลื้อจะทำไง?”  นายอำเภอถาม
“อั๊วพอจะมีพรรคพวกที่โรงพักใกล้เคียง หากรวบรวมกำลังมาได้อย่างน้อยขอแค่สูสี  บวกกับกำลังอาวุธที่ทันสมัยกว่า อั๊วเชื่อว่าต้องจัดการพวกมันได้”
“อืมม์ ไม่เลว พวกอำเภอใกล้เคียงก็คงเดือดร้อนจากเสือปลิวไม่น้อย”  นายอำเภอพยักหน้า  “นายจะไปเมื่อไหร่?”
“วันนี้เลย”  สารวัตรดำเกิงตอบแล้วเหลียวมองหญิงสาว  “คุณกิมลั้งเป็นยังไงบ้าง?”
“เมื่อคืนคิดว่าไม่รอดแล้ว”  หญิงสาวมิวายสีหน้าตระหนกคิดถึงกองเพลิงเมื่อคืน หันมองนายอำเภอหนุ่ม  “ขอบคุณมากนะคะนายอำเภอ”
“ไม่เป็นไรครับ เรียกไชยยศก็ได้ครับ อย่าเรียกนายอำเภอเลย”
“ค่ะ พี่ไชยยศ”
หญิงสาวสบตาแล้วซ่อนยิ้มเอียงอาย

เสียงปืนดังลั่นชุมเสือ พวกโจรยืนชุมนุมหน้ากระท่อมเสือปลิว พากันยิงปืนขึ้นฟ้า เสือปลิวยิ้มหนวดกว้าง เบื้องหน้าเป็นกองลังทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ได้มา กองสูงพ้นหัวคน เสือปลิวหันสั่งก้าน
“แบ่งสันปันส่วนให้เท่ากันแล้วแยกย้ายกบดาน บ้านใครบ้านมัน”
“จ้ะพี่”  ก้านรับคำ หันสั่งลูกน้อง  “อ้าวเฮ้ย! เปิดทีละลังแล้วเดินเรียงเข้ามา”
เสือปลิวยืนยิ้มมองสมุนเดินเข้ารับส่วนแบ่ง  ลูกน้องเดินผ่านหันยกมือไหว้ เสือปลิวปัดมือเป็นทีไม่ต้องพิธีรีตรอง  หันถามลูกสาว
“ไงพลับพลึงลูกพ่อ อยากได้อะไรบ้าง แก้วแหวนเงินทองออกเยอะแยะ”
พลับพลึงสีหน้าเครียด  “พ่อรับปากแล้วว่าเสร็จปล้นครั้งนี้จะหยุด”
“สักพัก”  เสือปลิวต่อคำ
“จ้ะ”  พลับพลึงพูด  “สักพักก็ยังดี”
“หยุดซี พ่อบอกให้พวกมันแยกย้ายกันกลับบ้านลูกก็ได้ยิน”
“พ่อจะหยุดปล้น”  พลับพลึงเลิกคิ้ว
“อืมม์”  เสือปลิวพยักหน้า
“ไชโย!”
สาวเจ้ากระโดดตัวลอยกอดคอพ่อไว้แน่น เสือปลิวหัวเราะร่าหมุนตัวรั้งร่างลูกสาวลอยจากพื้น
“ฮ่า ฮ่า ดูสิเล่นเป็นเด็ก อายพวกมันบ้างมั้ยฮื้อ?”
พลับพลึงไม่สนใจ โอบแขนกอดคอพ่อไว้แน่น ตะโกนร้อง
“พลับพลึงรักพ่อ”
เสือปลิวหัวเราะร่วน  “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ผ่านไปร่วมชั่วโมงจึงจ่ายแจกทรัพย์สินที่ปล้นมาครบทุกคน  เสือปลิวนั่งบนแคร่มีพลับพลึงอยู่ใกล้ไม่ยอมห่าง ก้านหันบอก
“ได้ครบทุกคนแล้ว ยังมีทรัพย์สินเหลืออีกหลายลัง ทำไงดีพี่?”
“อืมม์”  เสือปลิวขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากจนหนวดกระดก  “เอาไปบริจาคให้วัด”
“วัดไหน?”  ก้านถาม
“ทุกวัดนั่นล่ะ ทุกวัดทั่วห้วยป่าหวาย บางนางเล่า ห้วยนาปรัง”  เสือปลิวบอก
ก้านพยักหน้าหันไปสั่งลูกน้อง พลับพลึงพูดกับพ่อ
“วันนี้พลับพลึงขอเข้าตลาดไปซื้อของใช้นะพ่อ”
“ไปสิ เอาแก้วมันไปด้วย มีอะไรจะได้ช่วยกัน”
“จ้ะพ่อ”  พลับพลึงหอมแก้มพ่อฟอดใหญ่  “พลับพลึงไปนะ”
พูดจบดีดผึงลงจากแคร่วิ่งเข้าในกระท่อม  เสือปลิวยิ้มมองตามแก้วตาดวงใจ ก้านถาม
“จะดีเหรอพี่ เมื่อคืนเพิ่งมีเรื่องเกรงว่าวันนี้พวกตำรวจจะเฝ้าจับตา”
เสือปลิวปัดมือ  “ไม่มีอะไรนา พลับพลึงมันรู้จักเอาตัวรอด”

ตลาดบ้านหนองป่าหวายเงียบเชียบ ข่าวเรื่องโรงสีเถ้าแก่เส็งถูกปล้นกระพือรวดเร็ว ฟ้าไม่ทันสางก็รู้เรื่องกันทั่วตลาด  มีบ้างบางร้านค้าถึงกับไม่ยอมเปิด สภากาแฟร้านแปะถกเถียงคาดเดาไปต่าง ๆ นานา  บางคนสะใจที่เถ้าแก่เส็งถูกปล้นจะได้รู้รสชาติเสียบ้างว่าความยากจนเป็นอย่างไร  แต่บางคนก็นึกสงสาร เสียงก่นด่าพวกปล้นกลับเป็นยกมือสาธุท่วมหัวเมื่อรู้ข่าวว่ามีเงินก้อนใหญ่บริจาคเข้าวัดแบบไม่รู้ที่มาที่ไป
พลับพลึงกับแก้วเดินเลือกซื้อข้าวของหิ้วเต็มสองมือ  ทั้งสองเดินผ่านมุมถนน พลับพลึงรีบเรียก
“นี่ ๆ จะให้ดูอะไร”  บุ้ยปากแล้วเดินนำเข้าในร้าน เจ้าแก้วเดินตามเข้ามาหยุดยืนมองป้ายโฆษณาหนัง
“สมบัติ เมทะนี!”  อุทานลั่นหน้าตาตื่น เหลือบมองกำหนดวันฉาย  “หูย..ฉายวันพรุ่งเสียด้วย”  เหลียวมองเพื่อนรักด้วยสายตาวิงวอน
“พรุ่งนี้ชวนพี่ก้านมาดูกัน”  พลับพลึงบอก
“ไชโย!”
“ชู่”  พลับพลึงห่อปาก  “เบา ๆ สิแก้ว คนในร้านเขามอง”  ชวนเจ้าแก้วเดินออกจากร้าน
“พรุ่งนี้มาดูแน่นะ”  แก้วย้ำ
“แน่สิ”  พลับพลึงบอก  “ฉันก็อยากดู”
ทั้งสองเดินมาหยุดหน้าร้านขายเสื้อผ้า เจ้าแก้วแหงนมองเสื้อบนไม้แขวน
“เสื้อตัวนี้สวยดีนะ”
“เสื้อผู้ชายนี่นา”  พลับพลึงบอก  “แก้วจะซื้อไปให้ใคร?”
เจ้าแก้วยิ้มแก้มแดง  “ให้พี่ก้าน”
“พี่ก้านไม่ชอบเสื้อสีเรียบหยั่งงี้หรอก”
“อ้าว..งั้นเหรอ”  เจ้าแก้วยักคาง  “งั้นต้องลายไหนล่ะพลับพลึง?”
“อืมม์”  พลับพลึงกวาดตาเข้าไปในร้าน  “โน่น..ต้องตัวโน้น”  ชี้ไปที่เสื้อเชิ้ตลายดอกสีสดใส
“เอาตัวนั้นจ้ะ”  แก้วบอกแม่ค้าทันที
รอครู่เดียวแม่ค้าหยิบเสื้อพับใส่ถุงกระดาษส่งให้  เจ้าแก้วล้วงเงิน
“ส่งของมา”  พลับพลึงบอก ยื่นมือรับของในมือแก้ว
“ผมช่วยถือครับ”  เสียงทุ้มนุ่มข้างตัวซ้ำยื่นมือรับของจากเจ้าแก้ว
พลับพลึงหันมอง แล้วก็ต้องใจวาบ  เขาคนนั้นนั่นเอง ยิ้มยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง  แต่แล้วต้องหลบตาเพราะใจกำลังเต้นตูมตามไม่รู้สาเหตุ  เจ้าแก้วรับซองกระดาษยื่นเงินให้คนขายเหลือบมองชายหนุ่มกำลังยิ้มเผล่แล้วสะกิดพลับพลึง
“ใครน่ะ?”
“คนที่ฉันบอกเมื่อวานซืนไง”  พลับพลึงกระซิบ
เจ้าแก้วจ้องมองแล้วต้องอุทาน  “ละม้ายจริง ๆ ด้วย”
“เหมือนใครหรือครับ?”  ชายหนุ่มก้มลงถาม
“เหมือนเอ่อ..”  เจ้าแก้วชี้นิ้วกลับไปทางร้านกาแฟอาแปะ
ชายหนุ่มยิ้มเลิกคิ้วสูง พลับพลึงรีบยื่นมือหยิกแขนเพื่อนรัก เจ้าแก้วร้องโอ๊ย! พลับพลึงยิ้มเกลื่อน
“คุณเอ่อ..”
“ไชยยศครับ”  ชายหนุ่มต่อให้
“คุณไชยยศมาชื้อของเหรอจ๊ะ”  พลับพลึงถาม
“ไม่เชิงครับ ผมมากับเพื่อน เขาเลือกของอยู่ทางโน้น”
“นี่แก้วเพื่อนรักของพลับพลึง”  พลับพลึงบอก เจ้าแก้วยิ้มมองจ้องเขม็ง
เสียงร้องเรียกของหญิงสาวดังมาแต่ไกล ทั้งสามหันมอง กิมลั้งหิ้วของเดินตรงมา
“อยู่นี่เอง ปล่อยกิมลั้งหาแทบแย่ ”  เหลือบมองคนทั้งสองเห็นสวมเสื้อผ้าแบบชาวบ้านชาวทุ่ง  “สองคนนี่ฉกชิงวิ่งราวเหรอคะ?”
หญิงสาวทั้งสองมองตากัน ยิ่งเห็นแววตาเย้ยหยันพลับพลึงนึกอยากตะบันหน้า เจ้าแก้วพูดออกไปก่อน
“ใส่สร้อยทองเส้นใหญ่ ๆ หยั่งงั้นน่ะระวังไว้เหอะ”
กิมลั้งสะดุ้งเฮือกเผลอมือกุมสร้อยคอ
“เพื่อนผมน่ะครับ พบกันบังเอิญ เห็นหิ้วของล้นมือเลยช่วยถือ”  ชายหนุ่มบอก
“เพื่อนพี่ไชยยศหรือคะ”  กิมลั้งมองแล้วแบะปาก  “ไม่น่าเป็นไปได้ ดูบ้านน้อกบ้านนอก”
“คำก็วิ่งราวสองคำก็บ้านนอก นังนี่วอนซะแล้ว”  เจ้าแก้วถลกแขนเสื้อ
ชายหนุ่มรีบขวางมือ  “พอเถอะครับ เพื่อนกันทั้งนั้น”
“ทำไมแกจะทำไม!”  กิมลั้งท้าทาย  “ชั้นไม่เชื่อหรอกว่าแกเป็นเพื่อนพี่ไชยยศ ของพวกนั้นวิ่งราวมาสิท่าแล้วโดนพี่ไชยยศรวบตัวไว้ได้ ใช่มั้ย!?”
“อีนี่!”  แก้วแหวกแขนชายหนุ่ม
กิมลั้งฟาดกระเป๋าถือ พลับพลึงคว้าไว้
“อย่าทำอะไรแก้วนะ!”
กิมลั้งกระชากกระเป๋าถือกลับแล้วตบพลับพลึง ฝ่ามือยังไม่ทันถึง ฝ่าเท้าพลับพลึงก็ถีบเต็มท้อง กิมลั้งเซถอยล้มก้นกระแทกพื้น พลับพลึงก้าวตาม ชายหนุ่มรวบเอวพลับพลึงไว้
“ปล่อยนะ!”  พลับพลึงร้องลั่น  “ปล่อย!”
“รับปากผมก่อนจะไม่ทำร้ายกิมลั้ง”
“ปล่อย!”  พลับพลึงดิ้นรน
“รับปาก..”
ชายหนุ่มพูดไม่ทันจบคำ ใบหน้าพลับพลึงถูกกระเป๋าฟาดเต็มแรง  พลับพลึงหน้าสั่นยืนนิ่งให้อีกฝ่ายฟาดนับครั้งไม่ถ้วน น้ำตาไหลพราก ชายหนุ่มตกตะลึงปล่อยแขนจากร่างแข็งทื่อ คว้ากระเป๋าไว้
แก้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โยนของในมือทิ้ง
“อย่าแก้ว”  พลับพลึงร้องห้าม  “เรากลับกันเถอะ”
พูดจบหันเดินทั้งน้ำตานองหน้า แก้วละล้าละลังรีบรวบข้าวของวิ่งตามพลับพลึงไป

แสงจันทร์ซีดจาง เหมือนหัวใจของเจ้ายามนี้ พลับพลึงนั่งห่อขาแหงนมองจันทร์น้ำตาหยดพราวราวประกายดาวร่วงหล่นจากฟากฟ้า  เสียงหรีดหริ่งระงมยิ่งทำหัวใจเจ้าเจ็บร้าว  ถูกชายชกตะบันหน้าเยี่ยงไรน้ำตาเจ้าไม่เคยอาบแก้ม  ก็แล้วไฉนเมื่อวันถึงมีอันให้เป็นไปเยี่ยงนั้น  เจ็บกายหาคณา เจ็บใจสิเกินกลั้น เจ็บที่ไปมีใจให้คนมีเจ้าของ ซ้ำยังถูกจับให้คนรักทุบตีเหมือนสัตว์ไร้ทางสู้  ยิ่งคิดน้ำตาเจ้ายิ่งหลั่งหลั่น พลับพลึงปาดข้างแก้ม มองจันทร์ผ่านม่านน้ำตาพร่าราง
“แม่..พลับพลึงคิดถึงแม่”  เสียงเจ้าคร่ำครวญหวนไห้ ซบหน้าลงกับท่อนแขน  “แม่จ๋า...แม่จ๋า...”
น้ำตาเจ้าอาบแขนเหมือนจะชำระล้างทุกข์ในใจให้สร่างสิ้น  แต่ยิ่งร่ำไห้หัวใจกลับยิ่งเจ็บ พลับพลึงสะอึกสะอื้นจนยินแต่เสียงกระซิก  มีผ้าผืนสีคล้ำพับเรียบร้อยยื่นมาตรงหน้า
พลับพลึงเหลือบมอง
ฉงนระคนขุ่นแค้นชิงชังประดังใจจนอยากเข่นฆ่า  กลับทำได้แค่เมินหน้าไม่มอง
“ผมรู้ทำให้พลับพลึงโกรธ”  ชายหนุ่มนั่งลงตรงข้าม  “จะยิงผมก็ได้นะ นี่ปืนของพลับพลึง”  วางลูกโม่ไว้บนขอนไม้แล้วดันออกห่างตัว
พลับพลึงตกตะลึง คว้าปืนขึ้นมาพลิกดู ชายหนุ่มส่งผ้าไว้ในฝ่ามือพลับพลึง
“เมื่อกลางวันผมไม่ได้เจตนา ผมขอโทษ”
พลับพลึงนั่งนิ่งไม่โต้ตอบ
“วันที่ปล้นโรงสีพลับพลึงเกือบฆ่าผม  ผมรู้ว่าพลับพลึงไม่ได้เจตนา  ไม่รู้ว่าเป็นผม ที่ตามมานี่ไม่ได้หวังให้พลับพลึงยกโทษ ผมผิด ผมแค่อยากมาขอโทษ มาบอกให้พลับพลึงรู้ว่าผมไม่ได้เจตนา”
พลับพลึงหันจ้องมองชายหนุ่มแน่วนิ่ง หยาดน้ำตาเป็นประกายอาบแก้ม เสียงเขาแผ่วเบา
“ผู้หญิงคนนั้นเธอเป็นลูกสาวเถ้าแก่เส็ง เกือบถูกไฟครอกเมื่อวันถูกปล้น  ผมแค่ดูแลเธอเท่าที่ทำได้จนกว่าพ่อเธอออกจากอนามัย  เราเป็นแค่เพื่อนจริง ๆ”  ชายหนุ่มถอนใจ  “เพียงพบกันครั้งเดียวผมกลับจำพลับพลึงได้ จำชื่อ จำรอยยิ้ม จำท่าเดิน หากพลับพลึงจำผมไม่ได้  ผมคงเป็นไปฝ่ายเดียว พลับพลึงคงไม่อยากพบหน้าผมอีก”  ขยับลุกขึ้นจากขอนไม้
“คุณไชยยศ”  เสียงพลับพลึงเหมือนแว่วจากขอบฟ้าแสนไกล
ชายหนุ่มหันกลับเชื่องช้า ย่อกายลงนั่ง  ดึงผืนผ้าจากมือพลับพลึงซับน้ำตาข้างแก้ม  หญิงสาวสะอึกอั้น
“พลับพลึงขอโทษ”
สองแขนยื่นออกไขว่คว้าความรักที่ครวญหามาแสนนาน  ชายหนุ่มสวมกอดเธอไว้ ฝ่ามือแผ่วเบาลูบประโลมแผ่นหลังกระซิกสะอื้น
“พลับพลึงขอโทษ พลับพลึงไม่ได้เจตนา”
“ไม่เป็นไร พลับพลึง ไม่เป็นไร” เสียงทุ้มนุ่มปลอบ
หญิงสาวสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม  ดวงดาวหมื่นแสนดวงคล้ายร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า โลกทั้งโลกเหลือเพียงวงแขนที่ปลอดภัยและอบอุ่น  เสียงสะอึกอั้นค่อย ๆ แผ่วเบา
ไกลออกไปในพุ่มไม้
ก้านก้มหน้าเดินจากไปอย่างเงียบงัน
OOO
บทที่ 5
อ้ไผ่บ้านอยู่บางนางเล่า หนีออกจากบ้านตั้งแต่นมแตกพาน สัญจรเร่ร่อนไปบ้านโน้นออกบ้านนี้ หิวหนักเข้าลงมือขโมยของหวังประทังท้อง  ถูกตำรวจหมายหัวหลายพื้นที่  ไม่มีทางไปเลยเข้ามาอยู่ในชุมเสือหนองป่าหวาย  ยามนี้โจรในชุมเสือแยกย้ายหายหน้า ที่ไม่มีคดีความติดตัวก็กลับบ้านกลับช่องพกเงินไปให้พ่อแม่ได้ยินดี  แต่ที่หน้าช้ำต้องหลบหนีทางการอย่างไอ้ไผ่จำนวนไม่น้อย ไม่มีที่ไปจึงต้องกบดานอยู่ในชุมเสือ
เสียงกาเหว่า กางเขนที่เคยลั่นร้องพลันเงียบหาย
เจ้าไผ่ย่องมุดเข้าในดงไม้ ติดตามกระต่ายป่าอวบอ้วนตัวนั้นมาพักใหญ่แล้ว ยังไม่ทันเข้าระยะยิง มันกระโดดหนีไปทุกที กระต่ายหยุดยืนยกสองมือขึ้นทำปากมุบมิบ เหมือนรอท่า แต่ครั้นเจ้าไผ่ยกปืนเล็ง มันก็กระโจนแผล็วหายไปหลังพุ่มไม้ เจ้าไผ่สบถด้วยความหงุดหงิด เลิกคิดย่องตาม ลุกวิ่งพรวดเข้าในดงไม้หมายโดดตะครุบ กลับสะดุดตอไม้หน้าคะมำจูบพื้น
มันครางร้องด่ากระต่าย มือฉวยปืนยันพื้น ยังไม่ทันลุกยินเสียงแว่วจากหลังเหลี่ยมเขา  เจ้าไผ่ฉงนใจ คลานงุด ๆ แหวกพุ่มไม้ กวาดตามองไปทางถนนดิน
“เสียงรถนี่หว่า”  มันรำพึงเพ่งตามอง
เสียงเครื่องยนต์ดังชัดขึ้น  สักพักเห็นฝุ่นดินฟุ้งกระจาย  ขบวนรถจี๊ปวิ่งอ้อมหุบเขาเข้ามา เจ้าไผ่ตาเหลือกลาน
“ตำรวจ!”
ลุกลนหันกลับหลังคลานเข่า ก้มตัววิ่งมุดไปในดงไม้ พ้นดงไม้ เจ้าไผ่ตัดออกที่ราบวิ่งตรงไปชุมเสืออย่างรวดเร็ว
เสียงตะโกนลั่นมาตั้งแต่ยังไม่ถึง
“พี่! พี่ปลิว! พี่ปลิว!”
เสือปลิวนั่งเล่นหมากรุกถุนยาอยู่บนแคร่  เหลียวหยีตามองผ่านเปลวแดดเที่ยงวัน  เจ้าไผ่วิ่งมือไม้เปะปะเข้ามากระหืดกระหอบ
“มีอะไรวะไผ่”  เสือปลิวถอนมวนยาเอ่ยถาม
“ตำ..ตำ...”  เจ้าไผ่ยังกระหืดกระหอบ
“ตำอะไร?”  พวกที่เหลือถามขึ้น
เจ้าไผ่หอบฮัก  “ตำรวจ!”
“ตำรวจ!”  ทั้งหมดร้องขึ้นพร้อมเพรียง
“ตำรวจที่ไหนมันจะกล้ามาถึงนี่วะไผ่”  เสือปลิวถาม
“ตำรวจจริง ๆ พี่ มากันเป็นขบวนเลย”  เจ้าไผ่เหลียวมองไปทางถนน  “อ้อมโค้งเข้าหุบเขามาแล้ว รีบหนีเหอะพี่”
“ไอ้ขี้ขลาด!”  เสือปลิวตวาดลั่น  “เราเคยหรือวะหนีตำรวจ มาจริงเหอะจะได้ยิงกันสักตั้ง”
“มันมากันใช่น้อยนะพี่”  เจ้าไผ่หันเลิ่กลั่ก  “รถจี๊ปเป็นขบวน พวกเราน้อยกว่า ทางที่ดีหนีไปก่อนเถอะพี่”
เสือปลิวขมวดคิ้ว เหลียวมองสมุน  “ว่าไงวะก้าน?”
“หลบไปหลังเขาก่อนก็ไม่เสียหายนี่พี่”  ก้านบอก  “ดูที หากไม่จริงหยั่งไอ้ไผ่ว่าเดี๋ยวชั้นจัดการมันเอง”
“จริงสิพี่”  เจ้าไผ่คราง  “ชั้นเอาคอหอยเป็นประกัน รีบหนีไปหลังเขาเหอะ”
“ก็ได้วะ..ไปพวกเรา พาผู้หญิงเด็ก ๆ ขึ้นเนินไป เร็ว!”  เสือปลิวสั่ง
ขบวนรถจี๊ปเกือบสิบคันเคลื่อนเข้าเขตหุบเขาพร้อมอาวุธสงคราม  อ้อมพ้นเนินเขาสารวัตรดำเกิงสั่งหยุดรถ ทั้งหมดเดินเท้ากระจายกำลังล้อมชุมเสือ
กระท่อมมุงหญ้าคาเกือบร้อยหลังคาเรือนสร้างเรียงรายสองฝั่ง  ถนนดินตัดเข้ากลางหมู่บ้าน ชุมเสือที่เคยคึกคักจอแจ ยามนี้เงียบเชียบ ถนนกลางหมู่บ้านมีแต่หมาเดินกระดิกหางสวนกันไปมา
พวกตำรวจเคลื่อนกำลังบีบวงกระชับเข้า  สารวัตรดำเกิงยกมือเป็นสัญญาณให้หยุดระยะไว้เพียงนั้น หันมองเพื่อนตำรวจด้วยความฉงน
“ทำไมมันถึงเงียบนัก?”  สารวัตรดำเกิงถาม
“หรือพวกมันรู้ตัวหนีไปหมดแล้ว?”  นายตำรวจยืนแอบหลังต้นไม้พูด
“พวกมันอาจล่อให้เราเข้าไปแล้วตลบหลัง”  อีกคนเสนอความเห็น
สารวัตรดำเกิงขมวดคิ้วครุ่นคิด สักครู่โบกมือเรียก ตำรวจคนหนึ่งวิ่งเอาโทรโข่งมาให้ สารวัตรดำเกิงรับไว้ หันปลายโทรโข่งไปทางหมู่บ้าน
“เสือปลิว มอบตัวเสียโดยดี ตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว”
เงียบ
สารวัตรหนุ่มยกโทรโข่งพูดซ้ำ
“เสือปลิว มอบตัวเสียโดยดี เราจะนับหนึ่งถึงสาม หากไม่ออกมา เราจะยิง”
หันพยักหน้าให้ตำรวจที่ถืออาวุธสงคราม แล้วส่งเสียง
“หนึ่ง”
เงียบ
“สอง”
สารวัตรดำเกิงทิ้งช่วง สักครู่หันมองกองกำลังติดอาวุธสงคราม ทุกคนพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าพร้อม สารวัตรดำเกิงยกโทรโข่งจ่อปาก
“สาม”
ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบจากชุมเสือ สารวัตรดำเกิงสั่ง
“ยิง!”
เสียงปืนอาการ์ เอ็ม ๑๖ ระงมขึ้นพร้อมกันราวฟ้ากัมปนาท  กระท่อมหญ้าคากระจุยกระจายทรุดตัวลง ผงฝุ่นปลิวฟุ้งตลบ ยินคำสั่ง
“หยุด!”
ความเงียบกลับคืนมา หมู่บ้านชุมเสือพังพินาศ สารวัตรโบกมือทั้งซ้ายขวาตีวงบีบเข้าไป
กำลังตำรวจทยอยเคลื่อนประชิด  เมื่อไม่มีเสียงปืนยิงโต้ตอบ ทุกคนค่อย ๆ ออกจากกำบัง เล็งปืนไปหน้าสำรวจพื้นที่
สารวัตรดำเกิงเกร็งมือกุมปืน  กวาดตามองด้วยความแปลกใจ  นายตำรวจผู้หนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน
“ไม่มีคนอยู่ พวกมันคงรู้ตัวหนีไปหมดแล้ว”
สารวัตรหนุ่มขบริมฝีปากยิงปืนขึ้นฟ้า
บนเนินห่างออกไป  พลับพลึงเกาะแขนพ่อมองลงยังหมู่บ้านด้วยใจเสียวสยอง  กำลังตำรวจร่วมร้อยยกมาล้อมหมู่บ้าน ทั้งยังมีอาวุธที่ต่อให้ชุมโจรอยู่กันครบคนก็คงถูกขยี้แหลกลาญ
เสือปลิวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ร้อยวันพันปี คนของทางการไม่เคยกล้าบุกชุมเสือ  คราวนี้ไอ้สารวัตรดำเกิงกำเริบเสิบสาน เสือร้ายแห่งหนองป่าหวายกำด้ามปืนแน่น
“แล้วจะได้เห็นดีกัน”
“เอาไงดีพี่?”  เจ้าไผ่ถาม
“จะเอาไง มันทำลายบ้านเรา เราก็ทำลายบ้านมัน ตาต่อตาฟันต่อฟัน หลบไปหลังเขาก่อน รอพวกมันถอนกำลัง”  เสือปลิวแค่นเสียง
พูดจบเดินนำลงเนิน เจ้าแก้วทอดตามองกระท่อมที่ตอนนี้พังราบด้วยความอาลัย ก่อนตัดใจก้าวตามไป
ก้านเหลือบมองพลับพลึงแล้วถอนใจ
ก้านจัดเวรยามคอยคุ้มกันขณะพักริมธาร  พลับพลึงกับแก้วนั่งพักบนโขดหิน รอจนแก้วลุกขึ้น ก้านจึงเข้าเดินเข้าไป
“นั่งสิพี่ก้าน”  พลับพลึงขยับตัว
ก้านไม่นั่งใกล้ กลับนั่งลงบนโขดหินที่ต่ำกว่า จ้องมองพลับพลึงด้วยแววตาเต็มด้วยความสงสัย
“ทำไมมองฉันยังงี้?”  พลับพลึงถาม
ก้านถอนใจก้มมองลำธาร ฝูงปลาว่ายทวนน้ำอยู่ข้างโขดหิน
“หากไอ้ไผ่ไม่บังเอิญไปพบเข้า พวกเราคงตายกันหมด”  ก้านพูดเสียงแผ่ว
พลับพลึงพยักหน้า  “ฉันเคยเข้าใจว่าชุมเสือเป็นสถานที่ปลอดภัยแต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนไม่มีที่ไหนในโลกนี้ปลอดภัยอีกแล้ว”
“ไม่ปลอดภัยเพราะเราทำลายมันด้วยมือของเราเอง”  ก้านบอก
พลับพลึงงวยงง  “พี่พูดอะไร?”
“พลับพลึงรู้อยู่แก่ใจพี่พูดอะไร”  ก้านก้มหน้าหลบตาคม  “คนแปลกหน้านำความพินาศมาให้ชุมเสือ”
พลับพลึงตะลึงงัน  “พี่รู้”
“พี่บังเอิญผ่านไปเห็น”  ก้านพยักหน้า  “วันปล้นโรงสีเถ้าแก่เส็ง เพื่อนพลับพลึงคนนั้นมากับรถสารวัตรดำเกิง พี่เห็นกับตา เขาเป็นคนของทางการ”
“ไม่”  พลับพลึงค้านทั้งความจริงประจักษ์แก่ใจ  “พี่ไชยยศไม่ใช่..”
“เขาไม่ใส่ใจเสียซ้ำว่าพลับพลึงจะเป็นหรือตาย ไม่งั้นเขาคงเตือนพลับพลึงแล้ว”
“ไม่”  พลับพลึงไม่มีคำโต้แย้ง แต่ใจฝืนรั้น
“ชีวิตของพวกเราอยู่ในอันตราย พี่อยากให้พลับพลึงระวังชายคนนั้น”
พลับพลึงซุกหน้ากับท่อนแขนน้ำตาซึม พูดทั้งใบหน้าซุกแขน
“พ่อรู้เรื่องนี้หรือยัง?”
“พ่อได้ยินหมดแล้ว”
คนทั้งสองหันขวับ พลับพลึงอุทาน
“พ่อ!”
เสือปลิวยืนบนโขดหินด้านหลังคนทั้งสอง ดวงตาแดงก่ำ
“มึงก็ผิดที่ไม่บอกกู”  เสือปลิวแค่นเสียง  “จนเราเกือบพลาดท่าพวกมัน”
“พี่”  ก้านยกมือไหว้  “ข้าขอโทษ”
ดวงตาแดงก่ำจ้องคนทั้งสองไปมา ที่สุดตัดสินใจ
“มึงดูแลทางนี้ กูจะไปอำเภอ”
“ข้าไปด้วย”  ก้านรีบบอก
“ไม่ต้องกูไปคนเดียวได้ เรื่องแค่นี้หมู ๆ”
“แต่ข้าอยากไปกับพี่ ให้ไอ้ไผ่ดูทางนี้ก็ได้”
เสือปลิวคิดชั่วครู่ค่อยพยักหน้า แล้วพูดกับพลับพลึง
“พลับพลึงลูกตัดใจเสีย อย่ายุ่งเกี่ยวกับไอ้ผู้ชายคนนั้นอีก”
พลับพลึงพยักหน้าทั้งน้ำตาคลอ

“ถล่มชุมเสือ!”  นายอำเภอไชยยศตกตะลึง
“เออ”  สารวัตรดำเกิงเคาะโต๊ะด้วยความเดือดดาล  “เจ็บใจจริง พวกมันเสือกรู้ตัวก่อน ไม่รู้หนีกันไปไหนหมด อั๊วทำทุกอย่างเป็นความลับแล้วเชียวนา รู้กันก็แต่คนในโรงพักไม่กี่คน ข่าวเล็ดลอดจนได้ น่าแค้นใจนัก”
นายอำเภอหนุ่มผ่อนลมหายใจ  “จับไม่ได้สักคนเลยรึ?”
“อย่าแกล้งถามยั่วโมโหนา”  สารวัตรดำเกิงยืนกอดอกพิงโต๊ะทำงาน  “จับกับผีอะไรล่ะ ทั้งหมู่บ้านมีแต่ลูกหมา รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“ฮ่า ฮ่า”  นายอำเภอเผลอหัวเราะแล้วต้องหุบปาก  “พวกกำลังพลล่ะ?”
“ปล่อยกลับน่ะสิ ขืนรั้งไว้จะเอาอะไรให้กิน เบี้ยเลี้ยงก็เบิกไม่ได้ ปัดโธ่เว้ย อุตส่าห์ไปรวบรวมคนมาทั้งที เสียเวลาเปล่า!”
กล่าวจบสารวัตรดำเกิงฟึดฟัดดันตัวจากโต๊ะจะเดินออกประตู  นายอำเภอหนุ่มร้องเรียก
“เฮ้ย ดำเกิง วันนี้ใช้รถเปล่า?”
“เปล่า”  สารวัตรหนุ่มหันมาถาม  “ทำไม?”
“อั๊วว่าจะยืมรถลื้อสักวัน”
“นั่นแน่”  สารวัตรดำเกิงชี้นิ้ว  “เอาไปรับสาวล่ะสิ”
“เฮ้ย เหลวไหลนา”
“เมื่อเช้าอั๊วมากับลูกน้อง รถจอดไว้บ้าน เอากุญแจห้องไป”  สารวัตรดำเกิงล้วงกระเป๋า  “กุญแจรถแขวนข้างประตู เปิดเข้าไปก็เห็น”  โยนกุญแจให้เพื่อนนายอำเภอ
“ขอบใจเว้ย”
“เออ ไม่เป็นไร”
สารวัตรหนุ่มเดินออกจากห้อง  นายอำเภอคนใหม่วางปากกา เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงาน อมยิ้มโล่งอก
บ้านพักตำรวจกับบ้านพักนายอำเภออยู่ด้านหลังที่ทำการอำเภอ  เสร็จงานช่วงเช้านายอำเภอหนุ่มรีบตรงไปยังบ้านพักนายตำรวจ  เห็นรถจี๊ปจอดหน้าบ้าน ผลักรั้วเดินขึ้นบันไดบ้านพัก ล้วงกุญแจไขเปิดประตู
ก้าวเข้าในห้อง หน้าต่างปิดสนิททุกบาน มองหาพวงกุญแจรถบนผนังข้างประตู แต่แล้วทุกอย่างก็มืดมิด
เสือปลิวเหยียบคันเร่ง หักพวงมาลัย รถจี๊ปเคลื่อนออกจากบ้านพักตำรวจ มีก้านนั่งเบาะข้าง กระสอบใบใหญ่วางอยู่ด้านหลัง
OOO
บทที่ 6
น้ำเย็นปลุกนายอำเภอรู้สึกตัวอีกครั้ง ทั้งตัวเจ็บชาจนไร้ความรู้สึก ใบหน้าบวมปูดปากปริแตก ลิ่มเลือดถูกน้ำชะไหลลามลงอาบร่าง มือเท้าถูกมัดรวบกับเสาใหญ่
สมุนโจรสาดน้ำซ้ำ
นายอำเภอไชยยศสะบัดหน้า ละอองน้ำปลิวกระจายหยดปลายผม ขอบตาบวมปูดจนแทบปิดลูกตา พยายามมองภาพตรงหน้า
ชายวัยกลางคนไว้หนวดหนาห้อยพระเต็มคอ นั่งพาดขาบนเก้าอี้กลางห้อง มีสมุนยืนล้อม ในมือถือกระเป๋าสตางค์ของตน สมุนโจรยืนคุมเชิงกำหมัดเตรียมซ้อมยกต่อไป คนนั่งเก้าอี้ถาม
“ที่นี้จะบอกได้รึยัง เก็บปืนพวกนั้นไว้ที่ไหน?”
“ผมไม่รู้”
คนนั่งเก้าอี้ยิ้มเยือกเย็นแล้วพยักหน้า สมุนโจรประเคนหมัดเหมือนกำลังชกกระสอบทราย  นายอำเภอร่างอ่อนระทวย ปล่อยน้ำลายปนเลือดไหลร่วง คนนั่งเก้าอี้เปิดกระเป๋าสตางค์ ล้วงบัตรออกมาดู
“นายอำเภอคนใหม่”  โยนกระเป๋าสตางค์ทิ้ง เคาะบัตรประจำตัวบนฝ่ามือ  “คิดจับกระรอกกลับได้กระแตไม่เลว ไม่เลว”
นายอำเภอไชยยศกวาดตามองรอบห้อง กระท่อมชาวป่าว่างเปล่า คนบนเก้าอี้ถาม
“แกสินะเข้ามาดูลาดเลาก่อนวันถล่มชุมเสือ”
นายอำเภอหนุ่มงงชั่วครู่ แล้วก็นึกขึ้นได้  “ผมไม่เกี่ยวเรื่องถล่มชุมเสือ เป็นงานของตำรวจ”
“โกหก!”  คนนั่งเก้าอี้ตะคอก  “ไม่เกี่ยวแล้วแกมาทำไมค่ำ ๆ มืด ๆ”
“มาธุระ”
“ธุระอะไร?”
“มีคนทำของตกไว้ ผมเอามาคืน”
คนนั่งเก้าอี้พยักหน้า สมุนโจรลงมือซ้อมอีกครั้ง นายอำเภอหนุ่มสำลักเลือด
“ที่นี่ไม่ใช่ที่จะมาสำบัดสำนวน พูดมา”
“ผมมาหาพลับพลึง”
“มาหาพลับพลึง!”  คนนั่งเก้าอี้ตะลึงตาค้าง ตะคอกถาม  “มึงเป็นอะไรกับพลับพลึง!?”
นายอำเภอหนุ่มจ้องนัยน์ตาคนตรงหน้า นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ำเต้นริก นายอำเภอบอก
“เรารักกัน”
คนนั่งเก้าอี้ถลึงตา นั่งหลังตรง มือกุมเก้าอี้แน่น เม้มริมฝีปากเหยียดดวงตาจ้องเขม็ง  แล้วลุกพรวดจะเดินออกจากกระท่อม
“คุณคงเป็นเสือปลิว?”  นายอำเภอพยายามเค้นคำพูด
เสือปลิวชะงัก หันกลับมา นายอำเภอหนุ่มพูดต่อ
“พลับพลึงไม่ควรต้องเร่ร่อนหลบหนีทางการอย่างนี้ หากคุณมอบตัว ผมรับปากจะหาทนายให้ และจะดูแลพลับพลึงอย่างลูกผู้ชายคนหนึ่งดูแลคนที่เขารัก”
เสือปลิวไม่พูดจา ตรงมาชกท้องตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนนายอำเภอหนุ่มคอพับเลือดทะลักออกปาก  เสือปลิวหอบหายใจเดินออกจากห้อง สั่งสมุนหน้ากระท่อม
“เฝ้าไว้อย่าให้ใครเข้ามา ไม่ว่าใครไม่มียกเว้น”
ลูกน้องรับคำ เสือปลิวจ้ำเดินจากไป
แก้ววิ่งหน้าตื่นมาบอกพลับพลึง
“พ่อกับพี่ก้านเอาใครมาก็ไม่รู้ คลุมกระสอบมิดชิด ขังไว้ในกระท่อมชายป่าโน่นแน่ะ”
พลับพลึงใจหาย เกรงเป็นชายคนรัก แก้วฉุดแขนพลับพลึง
“ไปดูกันเหอะ”
“ไม่เอานาแก้ว”  พลับพลึงรั้งแขนไว้  “เรื่องของพวกผู้ชายเค้า”
“ไปดูนิดเดียว อยากรู้ว่าเป็นใคร?”
พลับพลึงอิดออดอีกครู่ ทนเพื่อนรักคะยั้นคะยอไม่ได้ยอมเดินตามไป
ทั้งสองตรงยังประตูกระท่อม ยามยกมือห้ามไว้
“พี่ปลิวสั่งไม่ให้ใครเข้าไปเด็ดขาด”
“แม้แต่ฉันรึ?”  พลับพลึงถาม
ยามพยักหน้า  “พี่ปลิวสั่งไว้ใครก็ไม่ยกเว้น”
หญิงสาวทั้งสองชวนกันกลับออกมาด้วยความฉงน
“ใครกันนะ”  แก้วพึมพำ
“ช่างเถอะนา”  พลับพลึงบอก  “หากมัวจุ้นเรื่องคนอื่น เย็นนี้ไม่มีกับข้าวกินแน่ แก้วช่วยพลับพลึงทำกับข้าวก่อนดีกว่า”
หญิงสาวทั้งสองเดินกลับเข้าครัว หั่นผักสักครู่เจ้าแก้วก็โพล่ง
“คิดออกแล้ว!”
ยามนั่งเฝ้าหน้ากระท่อมสีหน้าเบื่อหน่าย  หยิบก้อนหินปาโน่นนี่จนก้อนหินรอบตัวไม่มีเหลือ ลุกเดินยืดเส้นยืดสายแล้วกลับมานั่งพิงข้างฝา ผิวปากเพลงรอยไถแปร พอให้เสียงเป็นเพื่อน เหลือบเห็นเจ้าแก้วถือจานอาหารสาวเท้าตรงมา รีบยันตัวลุกขึ้น
“บอกแล้วพี่ปลิวไม่ให้ใครเข้าไป กลับมาอีกทำไม?”
เจ้าแก้วยิ้มประจบ
“เห็นพี่นั่งคนเดียวคงหิว เลยเอาปลาดุกย่างมาให้” มือถือจานปลาดุกย่าง มีถ้วยน้ำจิ้มขอบจาน ก้มวางลงบนแคร่  “แล้วฉันค่อยกลับมาเก็บจานเอง”
“ขอบใจนะแก้ว”  ยามบอก ตาจ้องปลาดุกในจาน
เจ้าแก้วยิ้มตอบ หันเดินกลับไป ไม่ไกลก็มุดเข้าหลังพุ่มไม้ มีพลับพลึงซุ่มอยู่
“กินยัง..กินยัง” เจ้าแก้วกระซิบถาม
พลับพลึงพยักหน้า ทั้งสองจ้องแหวกไม้มองไปที่หน้ากระท่อม  ยามยกจานหยิบชิ้นเนื้อปลาดุกจุ่มน้ำจิ้มส่งเข้าปาก เคี้ยวตุ้ย ๆ สองสามคำก็เกิดอาการสะดุ้ง  กินอีกคำพลันสะดุ้งอีก  คราวนี้รีบวางจานเผ่นพรวดหายไปในดงไม้ แก้วสะกิดพลับพลึง ทั้งสองรีบวิ่งไปผลักประตูกระท่อม  พลับพลึงอุทาน
“พี่ไชยยศ!”
ชายหนุ่มใบหน้าบวมปูด เลือดแห้งกรัง เสื้อผ้าเต็มด้วยคราบเลือด ถูกมันติดเสา หายใจรวยรินสิ้นเรี่ยวแรง
“แก้วดูต้นทางให้”
ดันหลังพลับพลึงเข้าในกระท่อม ส่วนตัวเองรีบย่องไปทางพุ่มไม้ที่ยามลับหาย คลานแหวกพุ่มไม้มองหา แต่แล้วกลิ่นก็โชยมา  เจ้าแก้วมือบีบจมูกใบหน้ายู่ยี่
พลับพลึงวิ่งเข้าในกระท่อมร้องเรียก
“พี่ไชยยศ”
คนถูกมัดรู้สึกตัว สะบัดหัว ค่อย ๆ ลืมตามอง ครั้นเห็นหญิงสาวตรงหน้า นายอำเภอหนุ่มส่งเสียงแผ่วเบา
“พลับพลึง”
พลับพลึงสวมกอดชายคนรัก มือประคองใบหน้าปัดผมให้ ใจหนึ่งขึ้งโกรธชิงชังที่ปล่อยให้ชุมเสือถูกถล่มไม่สนใจว่าพลับพลึงจะอยู่หรือตาย อีกใจสิกลับรักสุดรัก มาเห็นสภาพเยี่ยงนี้ยิ่งไม่อาจทนดู
“พ่อโกรธที่พี่เป็นสายให้ตำรวจ เข้ามาดูลาดเลาในชุมเสือ”  พลับพลึงเสียงสะท้าน  “พี่หลอกพลับพลึง”
นายอำเภอปากบวมแตกปริ ยากขยับ พยายามส่งเสียง แต่เสียงไม่หลุดออกมา ได้แต่ส่ายหน้า พลับพลึงน้ำตานอง สองมือประคองใบหน้าคนรัก
“หากไอ้ไผ่ไม่บังเอิญพบเข้า ป่านนี้ทั้งพ่อทั้งพลับพลึงก็คงตายไปแล้ว มีรึจะได้มาพบหน้าพี่อีก พี่ใจดำนัก”
“พลับพลึง”  ปากชาจนยากขยับ นายอำเภอพยายามส่งเสียง  “ฟังพี่ก่อน พี่ไม่รู้เรื่อง ทั้งหมดเป็นเรื่องของตำรวจ วันนี้พี่ก็จะมาตามหาพลับพลึง มาบอกให้พลับพลึงเข้าใจ แต่ถูกจับตัวเสียก่อน”
“พลับพลึงไม่เชื่อพี่อีกแล้ว!”
หญิงสาวถอยห่างจากร่างยับเยิน หัวใจสะท้อน ทั้งรักทั้งแค้นไม่รู้เลือกอยู่ข้างไหน ยกแขนป้ายน้ำตาสะบัดหน้าจะจากไป เสียงร้องเรียกไว้
“พลับพลึง”  ร่างยับเยินพยายามเงยหัวขึ้น  “ถึงพลับพลึงจะไม่เชื่อพี่อีก ไม่อยากพบหน้าอีก แต่ขอให้รู้ไว้ว่าพี่รักพลับพลึง”
หญิงสาวสะอึกสะอื้น จ้องมองชายคนรัก พอดีมีเสียงเคาะข้างฝา พลับพลึงสะดุ้ง รีบวิ่งออกจากห้อง เห็นเจ้าแก้วชี้ไม้ชี้มือ พากันวิ่งวกไปหลังกระท่อม  ยามใบหน้าซีดเผือดโซเซออกจากพุ่มไม้ มันเดินมาผลักบานประตูสำรวจดูในห้อง แล้วทรุดตัวนั่งพิงข้างฝาอย่างระโหยโรยแรง
“จะช่วยพี่ไชยยศอย่างไรดีล่ะแก้ว”  พลับพลึงถาม
“ช่วยสิ พ่อปลิวจะได้เอาตาย”  แก้วว่า
ทั้งสองรีบสาวเท้ากลับกระท่อม
ตกค่ำชายป่าเงียบสงัด  กระท่อมหญ้าคาตะคุ่มเงาอยู่ใต้ผืนฟ้าทะเลดาว  ทิวเขาทอดตัวเลื่อนหลั่นไกลตา หน้ากระท่อมจุดไต้ปักข้างฝาให้แสงสว่างพอได้เห็นหน้าว่าใครเป็นใคร  ยามนั่งสัปหงกโยกหัวอยู่บนแคร่ มีเสียงดัง ผัวะ! ยามหน้าคะมำร่วงลงจากแคร่ แน่นิ่ง
พลับพลึงโยนไม้ทิ้ง รีบวิ่งเข้าในกระท่อม
หยุดมองคนรักแล้วใจหวิว ทั้งร่างเปื้อนคราบเลือด ผมลู่ปรกหน้า ไม่เหลือเค้าชายหนุ่มรูปงามที่พลับพลึงพบเมื่อแรก คนถูกมัดเงยหน้าขึ้นมอง 
“พลับพลึง”
พลับพลึงรีบอ้อมหลังเสา ใช้มีดตัดเชือก ทันทีหลุดจากพันธนาการร่างระทวยทรุดลงพื้น พลับพลึงบอก
“พี่ไปเถอะ”
“พลับพลึง แล้วพลับพลึงล่ะ”  มือเท้าพื้นหันถามหญิงสาว  “หากพ่อรู้..”
“เรื่องนั้นพี่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยว พี่ไปเถอะ แล้วอย่ากลับมาอีก พลับพลึงไม่อยากเห็นหน้าพี่อีก”
ชายหนุ่มสำลักเลือด พยายามยันกายลุกขึ้น
“ไปด้วยกันเถอะพลับพลึง”
หญิงสาวส่ายหน้าก้าวถอยหลัง
“ไม่มีเวลาแล้ว พี่รีบไปเหอะ”
ชายหนุ่มยันเข่ารวบรวมกำลังลากขาไปที่ประตู  มือเท้ากรอบประตูหันกลับ
“แล้วพี่จะกลับมารับพลับพลึง”
จ้องมองดวงตาสวยใสเอ่อน้ำตาคลอ  แล้วโซซัดโซเซออกจากกระท่อม  พลับพลึงโยนมีดลงพื้น ทรุดเข่าเปล่งเสียงร่ำไห้ปานจะสิ้นใจ
สักครู่ก้านวิ่งเข้ามาในกระท่อม ถึงสะดุ้งเมื่อเห็นเสาว่างเปล่า
“เกิดอะไรขึ้นพลับพลึง?”
พลับพลึงเอาแต่ร่ำไห้ ก้านร้องถาม
“มันไปนานรึยัง?”
พลับพลึงไม่ยอมตอบ  ก้านก้มคว้ามีดบนพื้น รีบวิ่งตามออกไป
“พี่ก้าน”  พลับพลึงร้องเรียก
ก้านชะงัก
“ปล่อยเขาไปเถอะ”  เสียงพลับพลึงปนสะอื้น  “พลับพลึงรักเค้า”
“รักยิ่งกว่าชีวิตพวกเราหรือพลับพลึง  เขาเป็นนายอำเภอ ปล่อยไปก็ต้องยกโขยงกันมาฆ่าเรา พลับพลึงรักคนที่เพิ่งพบยิ่งกว่าพวกเราที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา  รักมันมากกว่าพ่อปลิวหรือพลับพลึง?”  ก้านตะเบ็งเสียง
พลับพลึงร้องไห้ลั่น  “พลับพลึงไม่รู้!”
ก้านกัดฟันกรอด กระชับมีดในมือมั่น หันวิ่งออกจากกระท่อม
เสือปลิวถลันเข้ามา เห็นเสาว่างเปล่า ถลึงตาถามลูก
“เกิดอะไรขึ้น?”
หัวใจเจ้าไหวหวิว เป็นตายก็จะยอมรับทัณฑ์ แล้วแต่พ่อจะลงโทษ
“พลับพลึง..”
เสียงสมุนโจรร้องเรียก
“พี่ปลิว พี่!”
เสือปลิวหันขวับ
สมุนโจรสองคนหามปีกก้านขาลากพื้นวางนอนลงบนแคร่  เสือปลิวรีบวิ่งออกมาดู มีดสั้นปักคาช่องท้อง
“เกิดอะไรขึ้นวะก้าน!?”
“ข้าผิดเอง เผลอเดินเข้าใกล้ตัวมัน ไม่รู้มือมันหลุดจากมัดได้อย่างไร”  ก้านสำลักตัวงอมือกุมแผล
“อย่าเพิ่งพูด รีบพาไปทำแผล”
เสือปลิวสั่ง เดินกลับเข้ากระท่อม พลับพลึงนั่งมองตาค้าง เสือปลิวก้มประคองพลับพลึง
“ตัดใจเสียเถอะลูก เขาเป็นนายอำเภอ เราเป็นเสือเป็นสาง อยู่กันคนละโลก”
พลับพลึงโผกอดพ่อไว้แน่น  ดวงใจเจ้าเจ็บร้าวมองผ่านม่านน้ำตา ร่างเจ้าก้านถูกยกพาหายไปในความมืด

พยาบาลดึงหลอดแก้วออกจากปากแล้วดูปรอท
“เช้านี้ทานข้าวได้มั้ยคะ?”
ชายหนุ่มพยักหน้า ฝืนยิ้ม พยาบาลสาวยิ้มตอบ
“ไม่มีไข้แล้วค่ะ เย็นนี้คงกลับบ้านพักได้แล้ว”
“ขอบคุณครับ”
พยาบาลจดตัวเลขลงในทะเบียนผู้ป่วย หันยิ้มให้กิมลั้งก่อนเดินออกจากห้อง กิมลั้งปอกผิวส้มเสร็จลุกขึ้นมานั่งข้างเตียง
“ทานส้มหน่อยนะคะ”  บิกลีบยื่นส่งเข้าปากคนป่วย
นายอำเภอหนุ่มอ้าปากรับไว้ พูดทั้งเคี้ยวส้ม
“ขอบคุณคุณกิมลั้งที่ช่วยดูแลครับ ผมไม่เป็นอะไรมากแล้ว”
“เป็นไรไปคะ”  กิมลั้งถือกลีบส้มคอยรอ  “ตอนไฟไหม้ พี่ไชยยศช่วยขีวิตกิมลั้งไว้ ชาตินี้ยังไม่รู้จะตอบแทนยังไง”
“อย่าคิดมากเลยครับ ผมก็แค่ปฏิบัติตามหน้าที่”
“ตามหน้าที่เท่านั้นหรือคะ?”  น้ำเสียงหญิงสาวแง่งอน
นายอำเภอหนุ่มฝืนยิ้ม ริมฝีปากยังปวดบวม สารวัตรดำเกิงผลุนผลันเข้ามา
“เป็นไงบ้างวะยศ?”  สีหน้าวิตกกังวล  “รู้ข่าวเมื่อเช้าก็รีบมานี่แหละ หากันแทบตาย”  เหลียวมาทางหญิงสาว “สวัสดีครับคุณกิมลั้ง มาถึงก่อนผมอีกนะเนี่ย”
หญิงสาวพนมมือไหว้ทักทาย นายอำเภอหนุ่มยิ้มมุมปาก สารวัตรดำเกิงมองสำรวจ
“โดนหนักแฮะ รอดมาได้ไงวะ?”
“นางฟ้าช่วยไว้”
“ยังทะลึ่งมีอารมณ์พูดเล่น”  สารวัตรดำเกิงบอก  “โจรห้าร้อยพวกนี้กำเริบใหญ่แล้ว อั๊วสาบานจะจัดการให้สิ้นซาก คุยกับโรงพักรอบ ๆ แล้ว คราวนี้จะกวาดล้างไม่ให้เหลือ”
“ขอเวลาอั๊วสักสองสามวันจะได้มั้ย?”  นายอำเภอไชยยศพูด  “อั๊วอยากลองเกลี้ยกล่อม ไม่อยากใช้วิธีรุนแรง ฆ่าตายไปคนใหม่ก็เกิดขึ้นมาอีก  พูดคุยชักชวนให้กลับตัวกลับใจ หันมาอยู่ใต้กฎระเบียบเดียวกันน่าจะดีกว่า”
“เพราะพูดกันไม่รู้เรื่องน่ะสิถึงต้องใช้ปืน”  สารวัตรดำเกิงบอก  “วิธีลื้อน่ะ ผลเป็นไง ดูสภาพสิ”
“เออนา ขอเวลาอั๊วสักสองสามวัน หลังจากนั้นจะทำไงก็เรื่องของลื้อ”
“ได้”  สารวัตรหนุ่มพยักหน้า  “อั๊วไปทำงานก่อน ไว้จะมาเยี่ยมใหม่”  หันไปทางกิมลั้ง  “ลาครับคุณกิมลั้ง”
“สวัสดีค่ะ”  กิมลั้งพนมมือไหว้ลา
สารวัตรดำเกิงออกจากห้อง กิมลั้งยื่นกลีบส้มให้อีก
“รู้จักกันมานานแล้วหรือคะ?”
“ไอ้ดำเกิงน่ะรึ?”
“ค่ะ?”
“เป็นเพื่อนตอนเรียนมัธยมครับแยกกันตอนมันไปเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ก็ยังติดต่อกัน”
“พี่ไชยยศบอกจะเกลี้ยกล่อมพวกโจร”  กิมลั้งดึงขุยส้ม  “ทำกับพี่ขนาดนี้ยังจะคิดเกลี้ยกล่อมพวกมันอีกหรือคะ?”
“สังคมเราทุกวันนี้ต้องการการให้อภัยให้ความเข้าใจกันครับ  หากคิดผูกใจเจ็บฆ่ากันไม่สิ้นสุด ลูกหลานที่ตามมาก็ต้องรับผล ไม่มีวันสุขสงบ”
“แล้วพี่ไชยยศคิดจะทำไงคะ?”
“ผมก็ยังไม่รู้”  นายอำเภอหนุ่มเลื่อนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
นอกรั้วอนามัย ถนนในเงาไม้ร่มรื่น นานทีมีรถยนต์ผ่านสักคัน  ผู้คนโดยมากใช้จักรยานขี่สวนไปมา  จักรยานคันหนึ่งผู้ขี่สวมเสื้อลายดอกสีสันสดใส สวมหมวกปีกกว้างบังแดด มีดอกไม้วางอยู่ในตะกร้าหน้า อยากให้ภาพอย่างนี้ดำรงอยู่ในบ้านหนองป่าหวายตลอดไป  ไม่ใช่สภาพที่ผู้คนตื่นผวา กลางวันไม่กล้าออกจากบ้าน กลางคืนไม่กล้าหลับนอนกลัวโจรผู้ร้ายบุกปล้นบ้าน แต่จะทำอย่างไร?
“ผมเองก็ยังไม่รู้”  นายอำเภอหนุ่มรำพึง
แม้เงาไม้สองข้างทางร่มรื่น แดดสายจัดจ้าของกลางฤดูร้อนก็ยังสาดเปลวราวจะเผาพื้นถนนให้ลุกไหม้ หญิงสาวสวมหมวกปีกกว้างบังเงา ปั่นจักรยานเลี้ยวเข้าเขตอนามัย
พลับพลึงเก็บดอกไม้แต่เช้าแล้วเข้าตลาดแวะสอบถามที่อำเภอ  ครั้นรู้ว่านายอำเภอนอนรักษาตัวที่อนามัย พลับพลึงปั่นจักรยานทั้งยังสองจิตสองใจ  จอดจักรยานหยิบช่อดอกพลับพลึง กำลังลังเลว่าจะเข้าไปหาดีหรือไม่ พยาบาลคนหนึ่งเดินสวนออกมา
“มาเยี่ยมคนป่วยหรือคะ?”
“เอ่อ..จ้ะ” พลับพลึงพยักหน้า
“ห้องไหนคะ?”
“เอ่อ..นายอำเภอจ้ะ”
“อ๋อ นายอำเภอไชยยศ เดินขึ้นไปแล้วเลี้ยวขวา ห้องพิเศษอยู่ทางขวาค่ะ”
“ขอบคุณจ้ะ”
พลับพลึงตัดสินใจเดินขึ้นไป เห็นห้องมีป้ายชื่อ กำลังจะเคาะประตู มองผ่านช่องมองเห็นหญิงสาวกำลังป้อนส้มให้คนป่วย  พลับพลึงชะงักมือ หัวใจเต้นรัว  ภาพตรงหน้าคล้ายปลายเข็มแหลมคมทิ่มแทงใจ  รอยยิ้มเมื่ออ้าปากรับกลีบส้ม ท่าทางสนิทสนม ทั้งอยู่กันเพียงสองต่อสอง จะให้ตีความอย่างไร  พลับพลึงก้าวถอยหลัง วางช่อดอกไม้ลงบนเก้าอี้ยาวหน้าห้อง แล้ววิ่งออกไปโดยเร็ว รีบไปให้พ้นจากความทุกข์ระทมที่กำลังเอ่อท้นท่วมใจ หัวใจอ่อนไหวเต็มด้วยอุ่นไอรักถูกเผาทำลายสิ้น  พลับพลึงที่อ่อนแอตายไปตั้งแต่วินาทีนั้น เหลือแต่พลับพลึงลูกบ้านป่ากลางดงที่เป็นนางเสือร้าย

กลุ่มโจรที่แยกย้ายกลับบ้านครั้นรู้ข่าวว่าชุมเสือถูกทางการถล่มต่างเร่งกลับมาด้วยความเป็นห่วงเสือปลิวกับพรรคพวก ชุมเสือบ้านหนองป่าหวายยามนี้เต็มด้วยขุนโจรน้อยใหญ่ เสียงปืนยิงขึ้นฟ้าดังสนั่นอีกครั้ง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”  เสือปลิวหัวเราะลั่น ก้านยืนใบหน้าเคร่งเครียด  พลับพลึงสวมชุดดำหมวกดำปีกกว้าง ผูกผ้าดำห้อยคอ เข็มขัดปืนห้อยเฉียงช่วงเอว เสือปลิวประกาศ
“ไอ้นายอำเภอกับสารวัตรดำเกิงทำกูแสบนัก วันนี้กูจะเผาอำเภอให้วอด เผามันกลางวันแสก ๆ อย่างนี้ล่ะเว้ย! ไปพวกเรา!”
สิ้นเสียง พวกโจรร่วมร้อยชีวิตกระโจนขึ้นม้า ห้อทะยานฝุ่นตลบ คลื่นความหายนะกำลังเคลื่อนไปยังตัวอำเภอหนองป่าหวาย

พยาบาลเคาะประตูแล้วผลักเข้ามายิ้มมองคนป่วยบนเตียง
“หมออนุญาตให้กลับบ้านพักได้แล้วค่ะท่านนายอำเภอ”
“ขอบคุณครับ”
ไชยยศยิ้มเลิกผ้าห่มขยับลุกขึ้น พยาบาลเดินเข้ามาหยิบใบบันทึกประวัติปลายเตียง
“แวะรับยาที่ห้องจ่ายยาด้วยนะคะ เตรียมไว้ให้แล้วค่ะ”
นายอำเภอหนุ่มรับคำ กิมลั้งรีบเข้ามาประคอง
“ผมเดินเองได้แล้วล่ะครับ”
ชายหนุ่มบอก หย่อนเท้าลงพื้น กิมลั้งยังไม่วางใจช่วยจับแขนไว้
“ไอ้ดำเกิงหายหัวไปไหน มันน่าจะมารับได้แล้ว”  ชายหนุ่มบ่น
พอดีเพื่อนนายตำรวจผลักประตูเข้ามา
“ข้างนอกบอกว่าหมออนุญาตลื้อกลับบ้านได้แล้ว”
“เออ”  นายอำเภอหนุ่มพยักหน้า  “รอราชรถลื้ออยู่นี่แหละ"
“ไป ไป ไป”  สารวัตรดำเกิงจะช่วยประคอง
“ไม่ต้อง”
“บ๊ะ! ทีคุณกิมลั้งประคองได้”
พยาบาลเปิดประตูไว้ให้ ทั้งหมดก้าวออกจากห้อง นายอำเภอหนุ่มชะงักเท้าทันทีเห็นช่อดอกพลับพลึงบนเก้าอี้ยาว อุทานเสียงแผ่ว
“พลับพลึง”

กลุ่มโจรควบม้ามาบนทางดิน เสียงฝีเท้าม้าปานพสุธาจะถล่มทลาย ม้าสามม้าควบนำ ม้าเสือปลิวล้ำอยู่หน้าสุดมีพลับพลึงและก้านขนาบข้าง  พลับพลึงโก่งตัวมือกุมกระตุกสายบังเหียน ดวงตาคมใสเปี่ยมแววเคียดแค้นชิงชัง ส่งเสียงกระตุ้นม้าโจนทะยานไปหน้าอย่างรวดเร็ว
ฝูงม้าห้อทะยานผ่ากลางตลาดบ้านหนองป่าหวาย เสียงปืนยิงขึ้นฟ้าดังสนั่น  ผู้คนในตลาดหลบหนีเข้าบ้าน ร้านค้าทุกห้องเร่งปิดประตู  ไม่กี่อึดใจตลาดหนองป่าหวายก็คล้ายเมืองร้าง ฝูงม้าพุ่งตรงไปยังที่ว่าการอำเภอ เสือปลิวตะโกนลั่น
“เผาให้วอด!”
ฝูงม้ากระจายออก ชั่วครู่เปลวไฟก็ลุกท่วมที่ทำการอำเภอ พวกเจ้าหน้าที่วิ่งหนีอลหม่าน มีเสียงปืนยิงออกมาจากโรงพัก พวกโจรกระจายวงล้อม ยิงสวนจากบนหลังม้า
ตำรวจในโรงพักน้อยคนกว่า ช่วยกันยิงสกัด  พวกโจรปิดล้อมทั้งหน้าหลัง ระดมซัดขวดน้ำมันจุดไฟ ระเบิดเพลิงส่งเสียงกัมปนาท เปลวไฟลุกท่วมโรงพักทันที
“เสียงปืน”  สารวัตรหนุ่มอุทาน
“ที่อำเภอ”  นายอำเภอไชยยศบอก  “กิมลั้ง คุณกลับบ้านไปก่อนนะครับ”
กิมลั้งพยักหน้า อ้าปากค้าง ชายหนุ่มทั้งสองกระโจนลงจากอนามัย
“นายขับ”  สารวัตรดำเกิงโยนกุญแจรถ นายอำเภอชัยยศรับไว้ โดดนั่งที่คนขับ จี๊ปพุ่งออกจากอนามัยอย่างรวดเร็ว สารวัตรดำเกิงชักปืนประจำตัวขึ้นมาปลดสลักนิรภัย
ที่ทำการอำเภอและโรงพักหนองป่าหวายมอดไหม้ คลุ้งควันพวยพุ่งแลเห็นแต่ไกล  ไม่มีใครกล้าดับไฟ เสียงปืนของตำรวจในโรงพักเงียบหายไปแล้ว  ผนังโรงพักหากไม่ถูกเปลวไฟลุกท่วมก็พรุนด้วยรูกระสุน พวกโจรส่งเสียงโห่ร้องแข่งเสียงคำรามของคุไฟ  เสือปลิวหยุดม้ากวาดตามองความพินาศของสถานที่ราชการแล้วเหยียดยิ้ม ชูมือยิงปืนขึ้นฟ้า
“ไอ้เสือถอย!”
ชักม้าควบนำมุ่งไปบนถนนผ่ากลางตลาด  ฝูงม้าทั้งหมดเข้าสมทบเสียงโห่ร้องเสียงกีบเท้าม้าตะกุยพื้นดังสนั่นไปทั้งตลาดหนองป่าหวาย
นายอำเภออัดคันเร่ง พุ่งรถจี๊ปชนรั้วหลังโรงพักตัดสนามหญ้า
“ช่วยลูกน้องอั๊วออกมาก่อน”  สารวัตรดำเกิงร้องบอก
จี๊ปหักเลี้ยวท้ายสะบัด จอดนิ่งเทียบบันไดหลังโรงพัก
“อย่ายิง อั๊วเอง! กำลังจะเข้าไป!”
สารวัตรดำเกิงประกาศ กระโดดฝ่าเปลวเพลิงขึ้นบนโรงพัก ทั้งสองช่วยกันประคองตำรวจที่ล้วนรับบาดเจ็บลงมา
“พวกมันไปกันหมดแล้ว”  หมู่ชิตถูกยิงที่ไหล่ เหงื่อไหลโซมหน้า
“ไปทางไหน?”  นายอำเภอถาม
หมู่ชิตชี้ไปทางตลาด  นายอำเภอไชยยศหันบอกสารวัตรดำเกิง
“อั๊วยืมรถหน่อย”  พูดจบโจนพรวดขึ้นรถ
“ลื้อจะไปไหน!?”  สารวัตรดำเกิงร้องถาม
“ตามพวกนั้นไป”  นายอำเภอบอก
“ไม่ได้!”  สารวัตรดำเกิงตวาด  “ลื้อตามไปเท่ากับไปตาย”
นายอำเภอไชยยศเหยียบครัชเข้าเกียร์  “หากอั๊วไม่ตาม อั๊วก็จะสูญเสียคนที่อั๊วรักตลอดกาล”  เร่งเครื่องดอกยางล้อตะกุยดิน จี๊ปพุ่งตามกลุ่มโจรไป
เสือปลิวควบขับม้าไม่รีบร้อน มีก้านและพลับพลึงขนาบข้าง  สมุนโจรส่งเสียงโห่ร้องตลอดทาง  พ้นย่านชุมชนออกสู่เขตป่าโปร่ง ก้านเหลือบหลัง ชักม้าเข้าชิดเสือปลิว
“พี่ มีรถตามมา”
เสือปลิวหันมอง ชักม้าชะลอควบย้อนกลับไปช้า ๆ ก้านและพลับพลึงติดตาม  พวกโจรแหวกหลบเปิดทาง รถจี๊ปแล่นฝ่าเข้าในกลุ่มโจร จอดนิ่งเมื่อเสือปลิวชักม้ามาเทียบ
“คิดว่าเจ้าหน้าที่ใจกล้าคนไหน ที่แท้นายอำเภอคนใหม่นี่เอง อยากทำผลงานสิท่า”
“ผมมามือเปล่า”  นายอำเภอไชยยศชูสองมือ  “ขอคุยกับพลับพลึงหน่อย”
เสือปลิวเหลียวมองไปทางพลับพลึง  สีหน้านางเสือสาวสงบนิ่งคล้ายพบคนไม่รู้จัก  เสือปลิวดึงปืนจากซองข้างเอว ปลดลูกโม่เทกระสุนออก แล้วยัดเข้าไปใหม่หนึ่งนัด สะบัดมือ ลูกโม่ดีดกลับดังคลิกแล้วโยนปืนให้ผู้มา
“คนละนัด หากมึงแม่นเอาพลับพลึงไป หากไม่ มึงตาย”
นายอำเภอไชยยศรับปืน สายตาจ้องมองหญิงคนรัก พลับพลึงไม่หลบตา ดวงตาสวยใสว่างเปล่าไม่ยินดียินร้าย  เสือปลิวลงจากหลังม้าดึงปืนอีกกระบอกมาเทกระสุน  นายอำเภอไชยยศก้าวลงจากรถช้า ๆ จ้องมองดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นไม่วางตา
พวกโจรกระจายวงออกด้านข้าง คนทั้งสองก้าวยืนประจัญหน้า
โดยไม่มีสัญญาณบอกกล่าว เสือปลิวสะบัดมือปล่อยกระสุนออก นายอำเภอหนุ่มเอียงตัวยิงสวนทันที กระสุนพุ่งสวนเฉี่ยวแฉลบเปลี่ยนทาง  นายอำเภอชัยยศเหนี่ยวไกซ้ำ เสียงกระเดื่องเคาะดังแชะ! แต่เสียงปืนของเสือปลิวลั่น ปัง! นายอำเภอหนุ่มทรุดฮวบ  เสือปลิวตะโกนสั่งก้าน
“ฆ่ามัน!”
“ไม่นะ”  พลับพลึงโผเข้าไปขวาง  “พ่อสัญญาว่าใช้กระสุนคนละนัด”
“หลบไปพลับพลึง!”  เสือปลิวสั่ง
“ไม่!”  พลับพลึงสวนทันควัน  “พ่อมีสัจจะเสมอมา พ่อไม่เคยตระบัดสัตย์ เมื่อยิงนัดแรกแล้ว พ่อต้องปล่อยพี่ไชยยศไป”
“หลบไปพลับพลึง!”  เสือปลิวคว้าปืนจากก้าน
“หากพ่อจะยิงพี่ไชยยศ พ่อยิงพลับพลึงก่อน”  พลับพลึงยืนยันน้ำตาคลอ
“พลับพลึง!”  เสือปลิวมือสั่น เกร็งนิ้วจะเหนี่ยวไก  “ลูกกล้าขวางพ่อเพื่อผู้ชายคนนี้ ลูกรักมันมากกว่าพ่อที่เลี้ยงดูลูกมาหรือลูก?”
“พลับพลึงรักพ่อ”  พลับพลึงพูดทั้งน้ำตา  “แต่พลับพลึงก็รักพี่ไชยยศ”
“ทั้งที่มันเป็นศัตรูของเรา”
“พี่ไชยยศไม่เคยคิดทำร้ายพวกเรา”  พลับพลึงเบียดตัวถอยหลังหวังใช้ร่างตนป้องชายคนรัก  “พลับพลึงอยากเห็นพ่อเลิกปล้นเสียที  พี่เค้ามีทางช่วยให้พวกเราทำไร่ทำนามีชีวิตอย่างผู้คนทั่วไป”
"ลูกไม่เคยพบเห็นโลกภายนอก มันหลอกลูก ลูกยังจะเชื่อมัน.."
"ผมรักพลับพลึงจริง ๆ ผมจะแต่งงานกับเธอ"  นายอำเภอหนุ่มแทรก
"มึงจะไม่ได้แต่งงานกับใคร เพราะมึงจะตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว"
"ไม่นะ!"  พลับพลึงกางมือขวาง
"หลบไปพลับพลึง!"  เสือปลิวตะโกนสั่ง
"ไม่!"  เสียงพลับพลึงเด็ดเดี่ยว
เสือปลิวเหนี่ยวไก  กระสุนเฉียดปลายเท้าพลับพลึงฝุ่นดินกระจาย
"หลบไป!"  เสือปลิวสั่ง  "ไม่งั้นพ่อยิง!"
"หลบเถอะพลับพลึง"  นายอำเภอบอก  "หากเสือปลิวไม่เชื่อ พี่จะใช้ชีวิตพี่พิสูจน์"
"ไม่!"  พลับพลึงร้องบอก  "ไม่ว่าเป็นหรือตายพลับพลึงจะอยู่กับพี่"
เสือปลิวมือสั่น ยกปืนเล็งหน้าผากนายอำเภอ  พลับพลึงหันกอดชายคนรักไว้แน่น พวกโจรทั้งหมดพากันกลั้นหายใจ บ้างก้มหน้าไม่กล้ามอง  ก้านคิดโดดขวางทางปืนแต่แล้วต้องชะงักย่อตัวลงจากม้านั่งพนมมือ
"ขอบิณฑบาตชีวิตนายอำเภอเสียเถิด"
เสือปลิวหันขวับ
พระสงฆ์วัยกลางคน เค้าหน้าเปี่ยมเมตตายืนกุมมือสงบนิ่ง ท่ามกลางเหล่าโจรซึ่งลงจากหลังม้านั่งพนมมือ
"หลวงพี่"  เสือปลิวอุทาน
"เพราะดึงดันใช้ชีวิตปล้นฆ่า สูญเสียโยมแม่ของสีกาพลับพลึงไปแล้วคนนึง หรือโยมต้องการเสียพลับพลึงอีกชีวิต ถึงยังไม่คิดกลับตัวกลับใจ"
เสือปลิวลดปืนลง อ้าปากค้างย่อเข่านั่งยอง ยกมือพนมทั้งปืนยังคามือ ภิกษุกล่าวต่อว่า
"แม้ไม่ใช่กิจสงฆ์  แต่อาตมาเห็นว่าเด็กเขารักกันก็สมควรปล่อยให้เขาได้มีครอบครัวสมปรารถนา"  หันกล่าวกับนายอำเภอ  "หากอาตมาจะขอบิณฑบาตโยมปลิวไว้ โยมจะเห็นว่าอย่างไร?"
นายอำเภอหนุ่มพนมมือ  "สุดแล้วแต่ท่านเห็นควรเถิดครับ กระผมเองหวังให้อำเภอแห่งนี้สุขสงบ ชาวบ้านทำกินสุจริตโดยไม่ต้องคอยกังวลกับเสียงปืน  หากเสือปลิวและพวกสัญญาว่าจะประพฤติอยู่ในธรรมไม่เที่ยวจี้ปล้นอีก กระผมรับรองว่าทุกคนจะมีชีวิตปกติสุข"
พลับพลึงพนมมือจ้องมองพระภิกษุสงฆ์แน่วนิ่ง
"ท่านคือ..?"
พระภิกษุอมยิ้ม หันกล่าวกับเสือปลิว
"ว่ายังไงโยมปลิว นายอำเภอท่านรับปากแล้ว โยมยังจะมีห่วงอะไรอีก?"
เสือปลิวเหลียวมองคู่หนุ่มสาว  เท้ามือลงกับพื้นก้มหน้านิ่ง ที่สุดวางปืนลงช้า ๆ ลุกเดินไปจับมือลูกสาวและนายอำเภอกุมไว้ด้วยกัน
"ฝากลูกสาวผมด้วย"
นายอำเภอหนุ่มพยักหน้า
"พ่อ"  พลับพลึงเสียงสั่น
เสือปลิวหันไปกล่าวสลายชุมเสือ ก้านและพวกทรุดกับพื้นก้มหน้าร่ำไห้  เสือปลิวเหลือบลูกสาวอีกครั้งเหมือนจะตราไว้ในความทรงจำแล้วติดตามพระรูปนั้นไป
OOO
บทส่งท้าย
สิบปีต่อมา
อำเภอชนบทห่างไกล
แสงตะวันเพิ่งอาบฟ้า ถนนหน้าบ้านพักนายอำเภอร่มรื่นด้วยเงาไม้สองฟากฝั่ง  ทุกบ้านสองข้างทางวางโต๊ะเล็ก มีขันเงินใส่ข้าวสวย ถาดวางช่อดอกไม้ธูปเทียน แถวพระสงฆ์เดินบิณฑบาตเหลืองอร่าม
เด็กหญิงตัวน้อยถือทัพพีตักข้าวใส่บาตรแล้วพนมมือไหว้  นายอำเภอไชยยศกับภรรยาหยิบอาหารแห้งใส่บาตรทั้งสองพนมไหว้แล้วต้องตาค้าง  ให้พรเสร็จ พระภิกษุจ้องมองเด็กหญิงตัวน้อยด้วยเมตตา เธอยิ้มใสซื่อ พระสงฆ์ยิ้มแล้วเดินจากไป
“ทำไมท่านยิ้มให้หนูล่ะคะคุณแม่?”  เด็กหญิงถาม
“ท่านเอ็นดูหนูน่ะลูก”
เด็กหญิงขมวดคิ้ว แหงนมองแม่  “หากมีผมมีหนวด ท่านก็จะเหมือนคุณตาในรูปเลย”
“แม่ก็ว่าหยั่งงั้น”
ทั้งสามมองตามพระสงฆ์รูปนั้นจนลับตา
จบ