talung1



บทที่ 1
ฟสปอร์ตไลต์ฉายลำไปบนท้องน้ำดำมืด กวาดไปมาสองข้างทาง เห็นบ้านเรือนเรียงสองฝั่งคลองยังปิดประตูเงียบเชียบด้วยฟ้ายังไม่สาง เสียงเครื่องยนต์ครางสม่ำเสมอมาแต่เข้าปากบาง พลันแผดลั่นคุ้งน้ำ พงศ์ควงมือหมุนพังงาทองเหลือง โซ่พังงาเสียดสีท่อเหล็กส่งเสียงกราว ๆ พงศ์ยื่นมือกระตุกเชือกส่งสัญญาณเดินหน้า แล้วกระตุกครั้งเดียวให้หยุด ปล่อยมือ พังงาทองเหลืองควงกลับด้วยแรงดึงของโซ่ พงศ์กระตุกเชือกรัวสั่งเข้าเกียร์ถอย แล้วสั่งเร่งเครื่อง เสียงเครื่องกระหึ่มอีกครั้ง คลื่นน้ำท้ายเรือฟุ้งฟอง เรือชิดเข้าใกล้สะพานท่า พงศ์กระตุกเชือกสัญญาณสั่งเข้าเกียร์ว่าง เรือสองชั้นลำใหญ่เกือบหยุดนิ่ง ยังเหลือแรงเฉื่อยอีกนิดหน่อย พงศ์สาวพังงากลับ ปัดท้ายออกส่งหัวเรือเข้าชิดท่า  คนเรือยืนบนกราบ ได้จังหวะ โดดตัวลอยไปบนสะพานท่า แล้วหันตะโกน
“โยน!”
อีกคนบนเรือถือเชือกขดม้วนคอยท่าอยู่ เอี้ยวตัวเหวี่ยงเชือกลอยลิ่ว คนบนท่ารับไว้แล้วรีบม้วนบ่วงครอบหัวเสา แรงเฉื่อยพาตัวเรือเคลื่อนไปหน้า จนเชือกตึง แรงตึงดึงเรือใหญ่ชะงัก คนเรือคลายปมหัวเสา สาวเชือกเข้าหาตัว เรือใหญ่เคลื่อนเข้าชิดสะพานท่า คนเรือสาวเชือกให้ตึงทบบ่วงคล้องหัวเสาม้วนซ้ำอีกครั้งเป็นเงื่อนตะกรุดเบ็ด อีกคนบนเรือก้มหยิบแผ่นไม้วางพาดสำหรับเดินขึ้นท่า
พงศ์ดึงแตรส่งสัญญาณว่าเรือจอดท่าแล้ว  ปล่อยเครื่องยนต์เดินรอบต่ำเพื่อปั่นไฟในตัวเรือ ขยับลงจากเก้าอี้นายท้าย หันมองด้านหลัง ผู้โดยสารโดยมากลุกนั่ง กำลังเก็บข้าวของ มีบ้างยังนอนนิ่ง พงศ์โหนตัวออกประตูหน้าปีนลงเหยียบกราบเรือ ก้มมองห้องผู้โดยสารชั้นล่าง
ชั้นล่างเป็นส่วนบรรทุก ผู้โดยสารที่พาข้าวของมามากมักนอนชั้นล่างเพื่อเฝ้าของตนไปด้วย รวมทั้งคณะหนังตะลุงโด่งดังแห่งยุคที่จะมาแสดงในงานประจำปีของอำเภอ
พงศ์ส่งยิ้มเมื่อเห็นนายหนังเลี่ยมนั่งหาวตาปรือ
“ขึ้นไปซดน้ำชากันสักแก้วเป็นไร” พงศ์ชวน
นายหนังหนุ่มผมเผ้ายุ่งเหยิง คว้าผ้าขาวม้าขึ้นลูบหน้า ยังงัวเงียไม่พูดจาแต่ก็พยักหน้า พงศ์โหนตัวเรือยื่นขาเหยียบหัวเสาแล้วส่งตัวไปบนสะพานท่า นายหนังเลี่ยมผูกผ้าขาวม้าเคียนเอว เหลียวมองลูกน้องเห็นกำลังหลับ ลุกขึ้นมุดออกจากห้องโดยสารปีนขึ้นท่าตามพงศ์ไป
***
ร้านกาแฟแปะเซ่ง เป็นร้านเดียวตรงท่าเรือ กลางร้านห้อยตะเกียงจ้าวพายุสองตัวสว่างจ้า โต๊ะเจ็ดแปดตัวเต็มด้วยลูกค้า เสียงพูดคุยจอแจไม่เป็นศัพท์
พงศ์เดินเข้าไปสั่ง
“ชาร้อนสอง”
แปะเซ่งรับคำโดยไม่หันมอง มือเขย่าถุงกาแฟ ใช้ตะบวยเปิดฝาหม้อต้ม จุ่มตะบวยตักน้ำร้อนแล้วปิด เสียงฝากระแทกหม้อต้มเปาะแปะ ๆ ตลอดเวลา มีคนลุกขึ้น พงศ์เดินไปนั่ง ดึงเก้าอี้มาไว้ข้างตัว เอื้อมมือหยิบปาท่องโก๋ใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ สักครู่นายหนังเลี่ยมเดินตามมา ยามนี้ผมหยักหวีเรียบร้อย เห็นเค้าหน้าหล่อเหลาคมสัน อายุน่าจะยี่สิบห้าไม่เกินสามสิบ ดึงกระชับผ้าขาวม้าแล้วนั่งลงข้างพงศ์
“เที่ยวนี้มากี่วัน?” พงศ์ถาม
“งานที่นี่ห้าวัน” นายหนังเลี่ยมบอก “แล้วต้องไปปากพยูนต่อ”
“เสียดาย มาเล่นถึงนี่กลับไม่ได้ดูต้องออกเรือ”
นายหนังเลี่ยมพยักหน้า เอื้อมมือหยิบปาท่องโก๋ แปะเซ่งสวมเสื้อขาวห่านคู่ร่างผอมสูงถือพวงชาวางบนโต๊ะ หยิบแก้วชาร้อนให้คนทั้งสอง หยิบแก้วที่ลูกค้ากินเสร็จใส่พวงแล้วรีบเดินไปเก็บอีกโต๊ะ พงศ์ถาม
“ไม่ได้พบเสียนาน มีลูกมีเมียยัง?”
นายหนังเลี่ยมส่ายหน้า “เดินสายตะลอนเล่นหนังอยู่ไม่เป็นที่เป็นทางยังงี้ สาวที่ไหนเค้าจะเอา”
“ไม่จริงมั้ง?”
“จริง” นายหนังเสียงสูง ยกชาร้อนขึ้นเป่า ไอร้อนลอยผ่านหน้า
“ใคร ๆ ก็รู้จักหนังจูเลี่ยม ได้ยินว่าสาว ๆ เฝ้าหน้าโรงสลอน มีรึหาไม่ได้สักคน”
“เฝ้าแต่หน้าโรงน่ะสิ” นายหนังบอก “บนโรงเงียบเหงาไม่มีใครเห็น ไม่เหมือนนายท้ายเรือ ที่นี่คน ที่โน่นคน”
“อ้าว! ชุ่ ๆ” พงศ์รีบกวาดตา “หน้าต่างมีหูประตูมีตา”
“ฮ่า ฮ่า” นายหนังหัวเราะ “จริงเรอะเนี่ย ข้าล้อเล่นเท่านั้น ไม่เบา ไม่เบา”
พงศ์หน้าเจื่อน ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม กระซิบเสียงแผ่ว “เริ่มระแคะระคายแล้ว นี่ก็ได้ยินว่าจะตามไปกับเรือด้วยสักวัน”
“ซวยล่ะสิ” เพื่อนนายหนังบอก
“ใช่ ซวยล่ะสิ” พงศ์ยิ้มพะอืดพะอม “มีสองต้องห้ามจริง ๆ ว่ะ”
“จะให้ดีต้องสาม”
“เออยุเข้า” พงศ์พยักพเยิด “ว่าแต่เอ็งเหอะ รีบมีสักคนจะได้รู้รส”
“คงยาก” นายหนังพูด “คงเล่นหนังไปยังงี้เรื่อย ๆ จนแก่เฒ่า”
“เออ..สมพรปากเหอะ” พงศ์เอื้อมหยิบกา รินชาจีนลงในแก้วหลิ่วตามองเพื่อน “ข้าว่าเอ็งมาเที่ยวนี้ต้องได้เรื่องแน่”
“เป็นหมอเดาแต่เมื่อไร?”
“เออนา” พงศ์พยักยิ้ม “ราศีมันบอก” มองจ้องหน้าเพื่อนนายหนัง “หน้าคล้ำ ๆ พิกลนี่หว่า”
***
บทที่ 2
าชีพเล่นหนังตะลุงเร่ แล้วแต่เจ้างานว่าจ้าง ทั้งไม่มียานพาหนะส่วนตัว ไปไหนทีต้องหิ้วต้องแบกอุปกรณ์กันคนละไม้ละมือ บางครั้งงานอยู่ไกลตลาดต้องว่าจ้างเรือหางยาวพาเข้าไป กลับปรากฏว่างานยกเลิกแล้ว เป็นอันเสียเที่ยว พากันกลับมือเปล่า เลี่ยมชินเสียแล้วกับชีวิตเอาแน่อะไรไม่ได้ ทุกวันใจจดจ่ออยู่กับแค่ตัวหนังตรงหน้าและบทหนังที่จดจำขึ้นใจด้วยพ่อผู้เป็นนายหนังใหญ่ในอดีตฝึกไว้แต่ตีนเท่าฝาหอย หลังจากพาเลี่ยมตระเวนรอบลุ่มทะเลสาบพ่อวางมือปล่อยให้ลูกชายคนเดียวพาคณะหนังตะลุงต่อ เพราะความที่ไม่เกี่ยงงอนค่าจ้าง อีกทั้งไม่เคยพลาดนัดหมาย หนังจูเลี่ยมจึงเป็นที่ต้องการของคณะเจ้าภาพ ครั้นได้ยินได้ฟังเสียงร้องของนายหนังหนุ่มเข้า พากันติดอกติดใจด้วยน้ำเสียงเอื้อนอ้อนนั้นหวานนัก บทเข้าพระเข้านางรึก็ชวนเคลิบชวนเคลิ้ม ครั้นบทขบขันก็ทำเสียคนดูหัวร่องอหงาย
เมื่อสิ้นหน้านาเดือนห้า ทุกปีทางอำเภอจะจัดงานใหญ่ ถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของชาวบ้าน มหรสพหลากหลายถูกว่าจ้างให้แสดงในงาน ที่ถูกระบุจะต้องว่ามาให้ได้ก็คือหนังจูเลี่ยมเสียงทอง
หลังฟ้าสว่าง เลี่ยมกับลูกน้องช่วยกันขนข้าวของขึ้นจากเรือ ว่าจ้างรถเข็น เข็นไปยังสนามหน้าโรงเรียนประจำอำเภอซึ่งเป็นที่จัดงาน โรงลิเก โรงมโนราห์ เวทีดนตรี ถูกสร้างไว้คนละมุมของสนามฟุตบอล เว้นพื้นที่ตรงกลางไว้สำหรับชิงช้าสวรรค์และเครื่องเล่นต่าง ๆ ระหว่างโรงลิเก โรงมโนราห์เป็นเพิงขายอาหาร ซึ่งเปิดให้ชาวบ้านมาจับจอง มีโรงหนังตะลุงซึ่งสร้างสูงกว่าโรงอื่น ๆ อยู่ชิดด้านในสุด
เลี่ยมเงยมอง เพิงสูงมุงจากหลังคาเพิงหมาแหงน ด้านหน้าเปิดโล่งสำหรับใช้ขึงจอหนัง นี่จะเป็นที่หลับนอนของคณะในอีกสี่ถึงห้าวันข้างหน้า
ทั้งหมดช่วยกันขนอุปกรณ์แสดงขึ้นไว้บนโรงหนัง แล้วจะอาบน้ำอาบท่า งีบเอาแรงก่อนเริ่มการแสดงค่ำนี้
***
เรือเล็กเครื่องยนต์กลางลำคนขับนั่งถือพวงมาลัยด้านท้ายติดเครื่องขยายเสียง แล่นไปตามลำคลองชนบท คนขับมือกุมพวงมาลัยป่าวประกาศผ่านลำโพงเสียงลั่นคุ้งน้ำ
“เชิญพ่อแม่พี่น้องเที่ยวงานประจำปีของอำเภอห้าวันสี่คืน มีมหรสพมากมายอาทิลิเกคณะบรรหาร ศิษย์หอมหวน โนราห์เติมวินวาด วงดนตรีคณะโรม ศรีธรรมราช ฉัตรชัย มงคลทอง และหนังตะลุงจูเลี่ยมเสียงทองที่พ่อแม่พี่น้องรอคอย..”
เรือลอยลำผ่านโค้งคุ้งน้ำคุ้งแล้วคุ้งเล่า เสียงประกาศเรียกความสนใจทุกคนตลอดย่านชายคลองพากันออกมาท่าน้ำ พวกเด็ก ๆ เล่นน้ำอยู่ชายท่าชวนกันว่ายมาเกาะ บ้างปีนขึ้นบนเรือ วิ่งบนกราบไปกระโดดตีลังกาที่ท้ายเรือ คนขับหันมาเอ็ดตะโรไล่ แต่เด็ก ๆ ไม่ฟังความ ยังว่ายมาเกาะเรือเห็นเป็นเรื่องสนุก จนเรือห่างที่ตนเล่นน้ำไกลโขนั่นแลจึงพากันปล่อยมือว่ายกลับท่า
เรือพ้นพุ่มกุระชายน้ำ เสียงเครื่องยนต์ เสียงโฆษณาเจื้อยแจ้วหายลับโค้งคุ้ง
***
บทที่ 3
ะวันยอแสงแล้ว บนฟ้านั้นเงียบหงอย เสียงนกกาบินกลับรังแว่วดังจากฟากฟ้าไกล เงาดำบินตัดขอบฟ้าประจิมรำไร แสงเงาทอดสะท้อนคลื่นน้ำ ลำคลองยามนี้คลาคล่ำด้วยเรือหางยาวน้อยใหญ่จากบ้านใกล้ไกล จอดรอเรียงลำสลับสีสันเต็มท่าดูราวกับแพเรือขนาดใหญ่ ผู้คนทยอยขึ้นจากเรือตรงไปยังสนามโรงเรียนประจำอำเภอ
หน้าทางเข้าเป็นตู้ขายตั๋วมุงสังกะสีเจาะช่องพอเห็นหน้าคน มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ภายในสามสี่คน เสียงโฆษณาเชิญชวนดังผ่านลำโพงก้องไปทั้งบริเวณงาน เย้าใจให้ล้วงกระเป๋าขยับเท้าเข้าไป ที่ใจเย็นยังแออัดกันอยู่ภายนอก ที่ใจร้อนก็ซื้อตั๋วถือส่งให้พนักงานเฝ้าทางเข้าแล้วสืบเท้าเข้าในแสงสีส่ำเสียงภายในงาน
สาวกำไลเจ้าแรกรุ่นเพิ่งสิบเจ็ดสิบแปด ผิวน้ำผึ้งนวลผ่องปานจะเปล่งจะปลั่งสะท้อนแสงไฟ สาวใดในย่านอำเภองามเกินเจ้านั้นไม่มี จึงเป็นที่หมายตาของพวกหนุ่มในอำเภอไม่เว้นคน แต่ด้วยเป็นลูกสาวผู้ใหญ่ เรื่องหวงนั่นโจษจัน จึงหามีหนุ่มใดหาญกล้าตอแย เว้นก็แต่เจ้าปานลูกกำนันผัน ผู้ใหญ่กับกำนันรักใคร่ถูกคอเป็นอันดี เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้อง จึงเป็นที่รู้กันว่าแม่งามเกินใครในอำเภอคงไม่แคล้วสะใภ้กำนัน เจ้าปานมันหมายมั่นไว้ว่าสิ้นนานี้เถอะจะบอกพ่อให้มาสู่ขอ กำไลเจ้ายินคำลูกกำนันก็เฝ้าผัดผ่อนเรื่อยมา
เสียงโฆษกประกาศเชิญชวน เสียงเพลงจากชิงช้าสวรรค์ รถไต่ถัง ปะปนจนอื้ออึง กำไลฉุดมือเจ้าจ้อยน้องชายออกจากร้านไก่ย่างจีรพันธ์ เจ้าจ้อยยังเอร็ดอร่อยไม่อยากจาก ขึงแขนยื้อมือพี่สาวไว้ กำไลออกแรงฉุด
“ไปได้แล้ว!” เจ้าเสียงเฉียว
“เอี๋ยว” เจ้าจ้อยบอกทั้งปากคาบน่องไก่
กำไลไม่ฟังเสียง ลากเจ้าน้องชายจนก้นหลุดเก้าอี้ เจ้าจ้อยตัวกะเปี๊ยกไม่ทานแรงพี่สาวจำก้าวขาตามทั้งน่องไก่คาปาก
สาวเจ้าหันรีหันขวางไม่รู้เริ่มตรงไหนดี ด้านโน้นก็อยากไปข้างนี้ก็อยากดู โนราห์ ลิเกยังไม่เริ่มเพราะยังหัวค่ำ ชิงช้าสวรรค์หมุนแล้ว รถไต่ถังก็แสดงแล้ว หันไปหันมาสักครู่แตงญาติร่วมชายคาถือกระทงถั่วต้มเดินมา
“ดูอะไรก่อนดีล่ะแตง?” กำไลถาม
แตงส่งกระทงถั่วต้มให้ มือปอกเปลือกถั่วหันมองพลางส่งถั่วเข้าปาก
“ไปดูรถไต่ถังมั้ย?” เจ้าแตงเสนอ
“ดี ไปสิ” กำไลฉุดแขนน้องชายออกเดินทันที
“คนเยอะจังเนอะ” แตงบอก
กำไลฉุดเจ้าจ้อยหลบคน ปากก็บ่น “ไม่น่าเอามาด้วยเลย”
เจ้าจ้อยหันแยกเขี้ยว “ไม่พาชั้นมาพ่อก็ไม่ให้พี่มาน่ะสิ”
กำไลค้อนน้องชาย ฉุดแขนเดินเร็วขึ้น จ้ำตรงไปถังไม้ขนาดใหญ่ ได้ยินเสียงตึงตังข้างใน
“แตงจับจ้อยไว้ที เดี๋ยวเราซื้อตั๋วให้”
ส่งมือเจ้าจ้อยให้เพื่อนรัก ส่วนตัวรีบเบียดคนไปทางโต๊ะขายตั๋ว
“สามใบค่ะ ผู้ใหญ่สองเด็กหนึ่ง” กำไลบอก
พูดยังไม่จบคำมีตั๋วยื่นมาตรงหน้า กำไลหันมอง
เจ้าปานลูกกำนันผันยืนยิ้มยื่นตั๋วในมือ
“พี่ซื้อให้เรียบร้อยแล้ว รอบนี้ล่ะ ไปพาแตงกับเจ้าจ้อยมาเลย”
กำไลยิ้ม รีบกลับมาฉุดแขนเพื่อนตรงไปหาเจ้าปาน ทั้งสี่ก้าวขึ้นบันไดไปกับคลื่นคนซึ่งเนืองแน่นจนเต็มรอบถัง เจ้าปานได้ทีเบียดยืนชิดกำไล กำไลดึงเจ้าจ้อยมาขัด เจ้าน้องชายใช้สองมือกุมขอบถังเขย่งปลายเท้าชะเง้อมอง
“มองไม่เห็น พี่กำไลยกหน่อย” เจ้าจ้อยกระตุกแขน
ปานรีบยกเจ้าจ้อยขี่คอ ขยับเบียดชิดกำไล เจ้าจ้อยหัวเราะชอบใจ ภายในถัง มีรถจักรยานยนต์ออกมาแล่นวน เมื่อแรกแล่นไปบนพื้นเอียง แล้วค่อย ๆ เพิ่มความเร็ว จนแล่นบนขอบถังขนานไปกับพื้น พวกคนดูตาค้างด้วยความหวาดเสียว เครื่องยนต์ส่งเสียงดังลั่นพร้อมกับถังสั่นสะเทือน บางครั้งโฉบขึ้นมาจวนถึงตำแหน่งผู้ชม คนดูถึงผงะถอยออก จากนั่งขี่ด้วยท่าปกติ เปลี่ยนเป็นนอน แล้วยืน คนดูปรบมือกราว จากนั้นรถอีกคันก็ไต่ขึ้นมาในทิศทางตรงข้าม สองคันแล่นสวนกันอย่างน่าหวาดเสียว มีคนยื่นมือถือเงินไว้ คนขี่บังคับรถขึ้นมาคว้าธนบัตรในมืออย่างแม่นยำ ปานล้วงกระเป๋าส่งเงินใบละบาทให้เจ้าจ้อยถือ เจ้าจ้อย ส่งเสียงร้องเรียก โบกเงินในมือไปมา รถจักรยานยนต์แผดเสียงโฉบขึ้นมาคว้าเงินไปจากมือเจ้าจ้อย เจ้าจ้อยปรบมือหัวเราะชอบใจ
รถไต่ถังหมดรอบ ทั้งหมดก้าวลงบันไดมายังพื้นหญ้า
“ดูอะไรกันต่อดีล่ะแตง?” กำไลถาม
“มีเจ้ามือแล้วนี่ ถามเจ้ามือดีกว่า” แตงบอก
กำไลหันไปทางปาน เจ้าปานก้มยกเจ้าจ้อยลงพื้น
“มานี่” กำไลคว้ามือน้องชาย กลัวหลุดหายเป็นที่สุด
ปานเหลียวมองแสงสีในงานแล้วเสนอ “ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กันดีมั้ย?”
“ดี ๆ ๆ” เจ้าจ้อยรีบบอก
หญิงสาวทั้งสองพยักหน้า พากันไปยังแสงสลับสีของชิงช้าสวรรค์ เมื่อใกล้ถึง เจ้าจ้อยกลับฉุดมือกำไล
“จะเอาลูกโป่ง” เจ้าจ้อยบอก
กำไลหันมองลูกโป่งสวรรค์หลากสี หันบอกพวกที่เหลือ
“ไปกันก่อน เดี๋ยวชั้นตามไป”
ปานอึกอักอยากอยู่กับกำไล แต่ถูกเจ้าแตงฉุดมือ
“ไปซื้อตั๋วก่อนเหอะพี่ปาน จะได้ไม่ต้องรอนาน คนเยอะยังงี้คิวยาวแน่”
เจ้าปานจำตัดใจเดินตามแตงไป กำไลถูกเจ้าจ้อยลากแขน มาหยุดยืนหน้าถังลูกโป่งสวรรค์
“เอาลูกไหน?” กำไลถามเจ้าจ้อย
เจ้าจ้อยลังเลลูกโน้นก็อยากได้ลูกนี้ก็อยากได้ ชี้มือไปมา
“เอาให้แน่” กำไลเร่ง
เจ้าจ้อยชี้ลูกสีแดง กำไลบอกชายคนขาย
“เอาลูกนี้จ้า”
ชายหนุ่มหันมาเลิกคิ้วสูง ตะลึงมองหญิงสาววงหน้าพริ้มเพรารวบผมเรียบตึง ดวงตาคมสะกดจังงังจนกำไลชี้นิ้วบอกซ้ำ
“ลูกนี้”
ค่อยยิ้มขวย เอื้อมมือปลดลูกโป่ง
“สลึงเดียว” คนขายมือยื่นลูกโป่งตาลอยมองค้าง
กำไลล้วงเหรียญสลึงส่งให้ คนขายแบมือถาม
“เอ่อ..ไม่ทราบชื่ออะไรครับ?”
กำไลมองด้วยความฉงน ดวงตาคมสบประสาน เลือดสาวฉีดพล่านโดยไม่รู้ตัวพวงแก้มเจ้าเรื่อแดง วางเงินลงบนมือ รับลูกโป่งไม่ตอบคำ ผูกเชือกกับข้อมือเจ้าจ้อยแล้วฉุดแขนเร่งตรงไปชิงช้าสวรรค์ เจ้าหนุ่มมองตามสายตาละห้อย ผมยาวผูกรวบโยนไหวไปมา ผ้าถุงตึงสะโพกผายจ้ำเดินลับหายไปในกลุ่มคน
“มาแล้ว” ลุงชมคนขายลูกโป่งแทรกคนออกมา
เจ้าหนุ่มส่งเงินให้ “ขายได้ห้าลูก” ตายังมองทางหญิงสาวลับตา
“มองไร?” ลุงชมถาม
“มะ..ไม่มีอะไร” เจ้าหนุ่มอึกอัก
“เดี๋ยวขายลูกโป่งเสร็จแล้วจะไปดู ค่ำนี้เล่นเรื่องอะไร?” ลุงชมหยิบลูกโป่งเสียบเข้าท่อแก็ส มือดันคันโยก ลูกโป่งพองออก
“คิดว่าจะเล่นพระรถ-เมรี”
“เยี่ยม!”
“ไปก่อนนะลุง”
ชายหนุ่มจ้ำหลบหลีกผู้คนไปทางชิงช้าสวรรค์ ทันเห็นหญิงสาวกำลังจูงน้องชายผ่านคอกขายตั๋ว
“รอบนี้เหลือสองใบสุดท้าย” ปานส่งตั๋วให้แตง ส่วนเจ้าตัวเดินนำขึ้นบันไดส่งตั๋วให้คนเฝ้า กำไลจูงเจ้าจ้อยขึ้นนั่ง ปานชิงตามมายกเจ้าจ้อยนั่งตักแล้วนั่งลงข้าง ปล่อยเจ้าแตงนั่งชิงช้าอีกตัว
เจ้าหนุ่มผลุนผลันเข้ามา
“อ้าว! พี่เลี่ยม!” คนคุมชิงช้าร้องทัก “เสียใจด้วย รอบนี้เต็มแล้ว”
ปิดคันกั้นให้เจ้าแตง แล้วพยักหน้าให้คนปล่อยชิงช้า คนคุมเครื่องจับคันโยกเข้าเกียร์ วงล้อโลหะกระตุกแล้วเคลื่อนตัวออกช้า ๆ เก้าอี้ชิงช้าเคลื่อนผ่าน ชายหนุ่มมองใบหน้าสวยซึ้งไม่วางตา คล้ายพบพานกันมาแต่ปางไหน ไยจึงคุ้นนัก รูปหน้าหวานปานจะหยดย้อย ดวงตาคู่นั้นจ้องมองกลับมาคล้ายทอดไมตรีสู่กัน ชิงช้าสวรรค์นั้นวนแล้ววนกลับ แต่ชีวิตสิ..หากพ้นไปแล้วเมื่อไรได้พบพานอีก หรือชาติก่อนตักบาตรร่วมขันเพียงครั้ง จึงพบแล้วต้องจากกันชั่วชีวิต ไหนเลยยินยอม เจ้าหนุ่มคว้าโครงโลหะ พาตัวลอยลิ่วไปกับชิงช้าสวรรค์
“อ้าว เฮ้ย!” คนคุมชิงช้าร้องลั่น “ทำไรน่ะพี่เลี่ยม! ลงมา! ลงมา!”
เจ้าหนุ่มไม่ฟังเสียง ไต่ตามโครงโลหะห้อยตัวอยู่หน้าเก้าอี้หญิงสาวนั่ง ดวงตาคมโตเบิ่งกว้าง มองเจ้าหนุ่มห้อยต่องแต่ง คนมาเที่ยวงานด้านล่างชี้ไม้ชี้มือตะโกนลั่น เจ้าหนุ่มฝืนยิ้ม
“ผมชื่อเลี่ยม ไม่ทราบน้องชื่ออะไรครับ?”
หญิงสาวนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ คนขายลูกโป่งนั่นเอง แรกพบก็คุ้นนัก ราวกับรู้จักกันมากี่สิบชาติ ยินถามชื่อเมื่อแรกนั้นชัด แต่ตัวเป็นหญิงรับคำเกี้ยวชายโดยง่ายนั้นกระไร ยังจะตามขึ้นมาบนนี้ กำไลอ้ำอึ้ง เจ้าปานตวาด
“ใครกันวะเนี่ย!?” หันหาสาวเจ้า “ใครกันกำไล?”
กำไลส่ายหน้า ชิงช้ายิ่งสูง เจ้าคนห้อยต่องแต่งยิ่งเหงื่อโซมหน้า มือข้างหนึ่งลื่นหลุดพยายามคว้าแต่พลาด
“จะตกอยู่แล้ว” หันยิ้มแหยกับหญิงสาว “ขอแค่ชื่อเท่านั้นเอง บอกชื่อหน่อยเถอะครับ”
“กะ..กำไลจ้ะ” สาวเจ้าละล่ำละลัก ขณะเจ้าปานฮึดฮัดหันรีหันขวางไม่รู้ทำประการใด
เจ้าหนุ่มดวงตาเป็นประกาย ทวนคำ “กำไล” สาวมือออกด้านนอกโครงชิงช้า พอดีชิงช้าเวียนกลับลงด้านล่าง เจ้าหนุ่มกระโดดยืนบนยกพื้น “วันพรุ่งมาเที่ยวงานอีกนะครับกำไล” ยิ้มรื่นตะโกนบอกขณะเก้าอี้ชิงช้าเคลื่อนผ่าน สาวเจ้าไม่กล้าหันกลับ เจ้าปานนั้นมองขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“จะเปลี่ยนอาชีพเป็นเล่นกายกรรมเรอะพี่เลี่ยม?” คนคุมชิงช้าร้องถาม
“ก็คิด ๆ อยู่ว่ะ” เลี่ยมพึมพำก้าวเดินลงจากยกพื้น
***
บทที่ 4
ายห่ะ!” พงศ์สำลักโอเลี้ยง “จีบใครไม่จีบ เสือกจีบลูกสาวผู้ใหญ่ลือ”
“แล้วไง” เลี่ยมสงสัย
“ดุยังกะอะไรดี” พงศ์ยื่นหน้าเค้นเสียง “คนแถวนี้เขารู้กันทั้งตลาด ไล่ตะเพิดมาไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว”
“ช่วยไม่ได้” เลี่ยมยกแก้วโอเลี้ยงขึ้นดูด “แรกเห็นก็รู้ว่าคนนี้แหละที่ข้าจะร่วมชีวิต”
พงศ์สำลักอีกที “ผู้หญิงเยอะแยะไม่เสือกร่วม ข้าว่าแล้วมาเที่ยวนี้สีหน้าเอ็งหมองคล้ำพิกล”
“เอาเถอะ” เลี่ยมเอนหลังพิงเก้าอี้ ชูมือเรียกแปะมาเก็บตังค์ “ได้รู้บ้านอยู่ไหนลูกเต้าเหล่าใครก็พอใจแล้ว ที่เหลือสุดแต่บุญทำกรรมแต่งเถอะวะ”
***
เลี่ยมกลับไปบนโรงหนัง รื้อเอากระดาษดินสอออกมาจากลังไม้ ได้แล้วปีนกลับลงมานั่งใต้ร่มจามจุรี มองทอดตาอยู่เป็นนานไม่รู้เริ่มต้นอย่างไรดี เขียน ๆ ลบ ๆ สักครู่ ที่สุดค่อย ๆ เรียงคำ
ถึงกำไล
ขอโทษด้วยเมื่อคืนวานทำให้ตกอกตกใจ แต่เพราะไม่รู้ทำประการใดแล้วให้ได้รู้ว่าหญิงสาวซึ่งเมื่อแรกเห็นก็คล้ายปะหน้ากันมาเนิ่นนานนั้นชื่อเรียงเสียงไร บ้านอยู่ไหน หากแสร้งเฉยเสียก็คงพรากจากกันไม่มีวันได้พานพบอีก ที่กระทำไปนั้น กำไลอย่าได้เห็นไปว่าเป็นคนปากไวใจเร็วนึกแต่ข้างสนุก ผ่านไหนละเล่นไปเรื่อยนั้นเปล่าเลย ทั้งชีวิตผ่านร้อนผ่านฝนมาจนพ้นเบญจเพสหาเคยกระทำ ครานี้หนแรกที่อาจหาญเอ่ยถามนามหญิงสาวทั้งรู้ไม่เหมาะไม่ควร
แต่จะให้ทำอย่างไร สิ้นหนทางแล้วจริง ๆ
ตระหนักอยู่ว่าพบพานทำความรู้จักในลักษณะนี้ไม่เป็นการดีนัก คล้ายคนจรหมอนหมิ่นไม่รู้ซัดเซมาจากทิศทางใด ที่ไหนจะไว้ใจกัน ขอกำไลอย่าได้กังวลเลย โดยอาชีพนั้นซัดเซพเนจรจริงแล้ว แต่ก็หาได้เหลาะแหละเหลวไหล ตั้งอกตั้งใจทำมาหากินมาจนเป็นที่รู้จักทั่วลุ่มเลสาบ ขาดอยู่ก็แต่หญิงสาวสักคนคอยเป็นกำลังใจ ได้อยู่ข้างเคียงกัน ดูแลกันยามเหนื่อยล้า อีกทั้งบ้านช่องที่ไร่ที่นาสืบมาแต่พ่อแก่แม่เฒ่านั้นมีอยู่หาใช่เป็นคนหลักลอยเยี่ยงอย่างที่เห็น
กล่าวมานี้ใช่หวังอวดโอ่ ยกความมาอ้างทั้งไม่อาจหาหลักฐานพิสูจน์
เพียงใคร่แจ้งให้กำไลทราบว่าที่กระทำไปนั้นใช่เห็นเป็นเรื่องสนุกใจ แต่กระทำด้วยความมุ่งมั่น จริงจัง หวังได้พบปะรู้จักกันตามแต่โอกาสอำนวย ก็เมื่อหากกำไลได้รู้จักพูดคุยแล้ว เห็นว่าไม่เป็นที่ต้องตา เค้าหน้าอัปลักษณ์เกินกำไลจักสมาคมด้วย หรืออุปนิสัยไม่ต้องจิตต้องใจ กำไลก็เพียงเพิกเฉยปัดไมตรีนี้เสียยังทันการ แต่หากยังพอจะมีใจให้แม้สักเพียงน้อย แวะมาเที่ยวงานคราหน้าผ่านร้านลูกโป่งที่ซึ่งเราแรกพบกัน ขอได้กรุณาพูดจาโต้ตอบสักคำสองคำเถิด เท่านั้นนับว่าเมตตาแก่วณิพกผู้ส่งสาส์นมาขอทานไมตรีนี้ยิ่งแล้ว
เลี่ยม
เลี่ยมพับกระดาษ กวักมือเรียกไอ้จิ๋วเด็กโรงมโนราห์
“วานอะไรหน่อยวะจิ๋ว” ล้วงหาเศษตังค์ในกระเป๋ากางเกง
“วานไรพี่เลี่ยม?” ไอ้จิ๋วถาม
“เอานี่ไปให้กำไลลูกสาวผู้ใหญ่ลือที” ชูพับจดหมาย
“นั่นแน่” เจ้าจิ๋วคว้าหมับ “จีบสาว”
“เออ..อย่าเสือกแอบอ่านเจียวนะมึง” เลี่ยมส่งเหรียญในมือ “แล้วนี่ ค่าขนม”
“ขอบใจ” เจ้าจิ๋วรับไว้ ตั้งท่าจะออกวิ่ง
“เดี๋ยว” เลี่ยมเรียก “ดูจังหวะดี ๆ ให้ถึงมือ อย่ามีใครเห็นนะเว้ย”
“นา” เจ้าจิ๋วลากเสียง “เชื่อมือสิ ไอ้จิ๋วซะอย่างไม่มีพลาด”
เจ้าจิ๋ววิ่งแจ้น เลี่ยมมองตามหลัง แล้วก็นั่งตาลอย ภาพหญิงสาวดวงตาสวยซึ้งล่องลอยอยู่ตรงหน้า เลี่ยมรำพึง
“กำไล”
***
บริเวณงานเมื่อยามวันนั้นเงียบเชียบ แม้เต็มด้วยเพิงร้านค้าเครื่องเล่น โรงมหรสพ ทุกโรงกลับดูเหมือนร้างผู้คนด้วยต่างพักผ่อนหลับนอนเอาแรงไว้ทำการแสดงเมื่อค่ำ สนามหญ้ามีพวกเด็กด้อมคุ้ยเขี่ยเผื่อเจอเศษเหรียญพวกคนมาเที่ยวงานทำตกหล่น ตะวันคล้อยเย็นจึงได้เห็นพวกคนสมัครรักทางร่อนเร่พเนจรนุ่งขาวม้า  กระโจมอก ถือขันเดินแยกย้ายไปห้องอาบน้ำซึ่งทางเจ้าภาพจัดไว้ให้
ครั้นความมืดคลี่คลุม ทั่วลานหญ้ากลับคืนชีวิตชีวา เสียงเพลงลูกทุ่งยอดนิยมดังก้อง แสงไฟหลากสีสว่างจ้า หน้างานเอะอะจอแจอีกครั้ง
เลี่ยมเกรงไปว่าหากกำไลมาแล้วจะคลาดกัน จึงมานั่งรอที่ถังลูกโป่งสวรรค์แต่หัวค่ำ ลุงชมชวนคุย
“เมื่อคืนเล่นดี เอื้อนได้หวานหยด”
“ขอบคุณลุง” เลี่ยมพูด มือส่งลูกโป่งตามองไปที่ทางเข้างาน
“ว่าแต่” ลุงชมรับลูกโป่งเสียบเข้าปลายท่อแก็ส “เรื่องพระรถ-เมรี นางเอกต้องเป็นเมรีสิ ไหงกลายเป็นกำไล”
“เอ่อ” เลี่ยมอ้ำอึ้ง “ผมหลุดปากไป เลย ๆ ตามเลย”
“เมรีกลายเป็นกำไลไปได้ไงวะเลี่ยม?”
“คำมันใกล้กันพูดพลาดง่าย ลุงลองดูสิ เมรีกำไลเมรีกำไล”
“เออ ๆ ใกล้ก็ใกล้” ลุงชมเออออ “เสร็จงานนี้ไปงานไหนต่อ?”
“ปากพยูน” เลี่ยมตอบ
“ดี ได้เจอกันอีก” ลุงชมผูกลูกโป่งไว้กับถัง
“ลุงไม่กลับบ้านบ้างเหรอ เมียลุงล่ะ?”
“มันมีผัวใหม่ไปแล้ว”
เลี่ยมอึ้ง หลายครั้งนึกท้อไม่อยากร่อนเร่พเนจรอีก เมื่อเลี่ยมยังเล็กวัน ๆ รอแต่พ่อกลับมา แม่ไม่เคยบ่นแต่เลี่ยมรู้ว่าแม่ก็คอย ปิดประตูบ้านแต่ละค่ำ แม่ยืนค้างอยู่นานกว่าหับบาน ช่วงพ่อกลับมาอยู่บ้านเป็นเวลาที่แม่สดชื่น ทำกับข้าวอร่อยไม่ซ้ำอย่าง แต่เพียงไม่กี่วันพ่อต้องออกรับงานต่อ บ้านกลับมาเงียบเหงา แต่ละวันผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย หากมีครอบครัวเลี่ยมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอีก
“ช่างมันเหอะ” ลุงชมดันคันโยกเปิดแก็ส “ชีวิตเรามันร่อนเร่เซซัง อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง กินนอนอยู่กับงานผู้หญิงที่ไหนเขาจะรอ “
“ผมว่าจะหยุดตระเวนเล่นหนังแล้วล่ะลุง” เลี่ยมบอก
ลุงชมชะงักหันเบิ่งตา “หยุดทำไมล่ะ?”
“คิดว่าจะมีเมียมีลูกเสียที” เลี่ยมตอบ “หากมีลูกผมไม่อยากให้ต้องคอยอยู่ที่บ้านเหมือนผมเคยคอยพ่อ”
“อืมม์..ก็ดี” ลุงชมผูกลูกโป่งไว้กับถัง นั่งยองส่งซองใบยาให้ เลี่ยมส่ายหน้า ลุงหยิบใบยาวางบนใบจาก “หมายตาไว้บ้างหรือยังสาวที่ไหน?”
“พบแล้วล่ะลุง” เลี่ยมบอก “แต่ไม่รู้เค้าจะว่าไง”
“สาวที่ไหนวะ?”
“นี่ไง” เลี่ยมตาค้างมองหญิงสาวกำลังตรงมา “คนนี้แหละลุง”
กำไลเดินจูงมือเจ้าจ้อย มีปานเดินอยู่ข้าง ครั้นผ่านหน้าถังลูกโป่ง สาวเจ้ายิ้มมุมปาก เท่านี้หัวใจเจ้าหนุ่มก็ล่องลอยราวกับมีลูกโป่งสวรรค์หลายร้อยพันลูกผูกไว้ ยินลุงชมพึมพำ
“อืมม์..สวยดีนี่หว่า”
เลี่ยมตาละห้อยมองสาวเจ้าคล้อยหลัง เจ้าคงมีคนหมั้นคนหมายแล้ว ไอ้หนุ่มท่าทางสำอางเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนั่นตามต้อยไม่ยอมห่าง ที่ไหนจักมีโอกาสได้สนทนา มองเรือนผมยักไหวลับคนไปแล้วก็ใจหวิว เลี่ยมขมวดคิ้วขบคิด พลันยกตัว
“ไปก่อนนะลุง”
“เออ..วัง วังไว้หน่อยล่ะ ดูท่าจะของมีเจ้า”
“ครับลุง” เลี่ยมสาวเท้าตามไปห่าง ๆ
“ไอ้คนขายลูกโป่งมองจ้องกำไลไม่วางตา” เจ้าปานเดินพลางพึมพำใจคิดต่อไปว่าเดี๋ยวก่อนเถอะ จะสั่งสอนให้เข็ด!
กำไลไม่ได้สนใจฟัง ฉุดแขนเจ้าจ้อยไปทางโรงมโหราห์
ยังไม่เริ่มแสดง แต่ผู้คนก็จับจองที่นั่งเต็มหน้าโรง แน่นไปจนถึงขอบเวที กำไลชักมือเจ้าจ้อยเลาะอ้อมไปด้านหน้าเวที ผ่านรถเข็นขายน้ำจรวดเจ้าจ้อยยื้อมือพี่สาว
“จะเอาน้ำ”
ปานก้มลงบอก
“เอาน้ำอะไรเลือกเลยจ้อย”
เจ้าจ้อยกวาดตามองโถน้ำหลากสี แล้วชี้ไปสุ่ม ๆ ปานบอกคนขาย
“น้ำซาสี่” หันถามกำไล “กำไลล่ะ เอาน้ำอะไรมั้ย?”
สาวเจ้าส่ายหน้า หันมองเวทีมโนราห์ใจคิดไปถึงเจ้าหนุ่มคนขายลูกโป่ง ไม่มีโอกาสทักทายเพราะเจ้าปานมาด้วย หุนหันของเจ้าปานนั้นรู้กันอยู่ ดีมิดีเกิดความขึ้นมาจะไม่งาม เจ้าเลยงำคำเสีย ยิ้มให้คงพอแทนคำตอบกระมังว่าได้รับจดหมายแล้ว พลันสาวเจ้าสะดุ้งวาบ ยินเจ้าปานร้องโวย
“อะไรกันวะ!”
เงื้อขาจะเตะเจ้าเด็กตัวเปี๊ยก ทะเล่อทะล่าหิ้วถุงน้ำหวานวิ่งชนเลอะกางเกงตัวเก่ง เห็นกำไลหันมองมันชะงักขา มือผลักหัวไอ้เด็กซุ่มซ่าม
“ระวังหน่อยสิวะ ไปวิ่งที่อื่นไป!”
เด็กนั่นหน้าตื่น ทิ้งถุงน้ำลนลานวิ่งหนีไป เจ้าปานปัดกางเกง คราบเหนียวเหนอะติดมือ เจ้าจ้อยแบะปากกระถดพิงพี่สาว
“ไปล้างเสียก่อนเหอะพี่” กำไลบอก
“เอ่อ..” เจ้าปานลังเล “กำไลคอยอยู่ตรงนี้นะ พี่ไปเดี๋ยวเดียว”
สาวเจ้าพยักหน้า เจ้าปานเหลียวมองหาที่พอจะมีน้ำสะอาดชะล้างกางเกง แล้วจ้ำฝ่าฝูงคน เจ้าปานไม่ทันลับหลัง กำไลเจ้าพลันตัวแข็งทื่อยินเสียงนุ่มแว่วอยู่ข้างกาย
“ได้รับจดหมายแล้วใช่มั้ย?”
กำไลไม่หันมอง ยิ้มพยักหงึก ๆ ไม่ตอบปล่อยเจ้าหนุ่มพร่ำคำ
“ได้พบอีกครั้งก็ยินดีแล้ว เมื่อแรกยังเกรงไปว่าชาตินี้จะมีบุญแค่เพียงหน”
กำไลเหลือบมอง เจ้าหนุ่มเค้าหน้าคมคายยืนยิ้มเผล่ ไม่ใกล้ไม่ห่างเกินไป มองแค่แวบเจ้าก็เหลียวหน้าคืน เสมองเวทีมโหราห์ ฉากสีสันสดใส แสงไฟสว่างจ้า มีตั่งว่างวางไว้กลางเวที
“ไม่รู้ใจกำไลจะยังว่างเหมือนตั่งหน้าโรงมโนราห์ยามนี้ หรือมีพระเอกออกมาจับจองเสียแล้วสินะ” สาวเจ้าอมยิ้มปล่อยเจ้าหนุ่มเพ้อพร่ำ “ขอโทษเถอะกำไลที่ต้องถามตรง ๆ เจ้าคนเมื่อกี้เขาเป็นใคร ไยจึงเห็นอยู่ข้างกายไม่ยอมห่าง”
“พี่ปาน” เจ้าตอบสั้น
“พี่ชายกำไลหรือ?”
“เปล่า” กำไลคลึงริมฝีปาก จะบอกอย่างไรดี “พี่ปานเป็นลูกกำนันคนบ้านเดียวกันจ้า”
“อ้อ” ยินก็ให้ใจชื้น สาวเจ้าไม่ถึงกับตัดไมตรี เจ้าหนุ่มนายหนังสูดหายใจลึก ดึงผ้าขาวม้ากระชับแก้ขัดเขิน เห็นเจ้าจิ๋วโผล่มาชี้ไม้ชี้มือ เจ้าหนุ่มพยักหน้า หันบอกหญิงสาว
“ต้องไปก่อนแล้ว” หันมองเห็นเจ้าปานจ้ำเดินหลบผู้คนมาไว ๆ “ค่ำพรุ่งมาเที่ยวอีกนะกำไล”
ไม่รอตอบคำ ออกเดินผ่านหน้าสาวเจ้าแล้วหันมาส่งยิ้ม กำไลฝืนยิ้มอิหลักอิเหลื่อ
เจ้าหนุ่มเดินตรงไปทางเจ้าปาน เจ้าปานนั่นเร่งจะกลับมาหาหญิงสาวที่หมายปอง ปะคนเดินสวนมามันก้มหน้าหลบทางซ้าย เจ้านั่นกลับหลบทางเดียวกัน ครั้นก้าวมาขวาก็ขยับตาม ยึกยักอย่างนั้นอยู่ครู่ เจ้าปานฮึดฮัดเหลือบมอง เจ้าหนุ่มนายหนังยิ้มเผล่ ออกตัว
“ขอโทษ” แล้วก้าววกอ้อมเจ้าปานไป
ลับหลังไม่ทันจะสี่ห้าก้าวก็แลไม่เห็นกัน เพราะคนในงานนั้นแน่นนัก เห็นเจ้าจิ๋วยืนเต๊ะท่าคอย
“แผนพี่หวาดเสียวฉิบ หวิดโดนเตะแน่ะชั้น”
เลี่ยมล้วงกระเป๋า “ขอบใจว่ะจิ๋ว” ลูบหัวมันไปทีก่อนส่งเหรียญให้ “แล้วนี่ค่าน้ำจรวด เอาไปซื้อใหม่”
เจ้าจิ๋ววิ่งไปที่รถเข็นน้ำจรวด เลี่ยมชะเง้อมองกลับไป แม้เบื้องหน้าเต็มด้วยผู้คน แต่เลี่ยมคิดว่าเห็นสาวเจ้ายืนอยู่ตรงนั้น คิดไปว่าสาวเจ้าคงชะเง้อมองหาเหมือนอย่างที่ตนมองอยู่ตอนนี้ ใจอยากกลับไปยืนใกล้อีกครั้ง ได้ฟังน้ำเสียงพูดคุยก็ยังดี แต่เวลากระชั้นเข้ามาแล้ว ต้องไปเตรียมตัวหนัง เลี่ยมตัดใจก้าวช้า ๆ ตรงไปโรงหนังตะลุง
***
บทที่ 5
ท่าเรือเที่ยงวันผู้คนคึกคักด้วยมีเรือจากบ้านใกล้บ้านไกลนำสินค้าเข้าตลาด แม่ค้ารายย่อยนั่งเรือหางยาวจากต่างตำบลเข้ามาซื้อของไปขายต่ออีกทอด โดยมากเป็นพืชผักผลไม้ ส่วนประเภทข้าวของเครื่องใช้ทันสมัยยาสีฟัน แปรงสีฟัน ผงซักฟอกหาซื้อจากร้านค้าท่าเรือที่รับมาจากยี่ปั๊วในเมือง ตลอดแนวสะพานไม้เคี่ยมท่าเรือจึงเต็มด้วยเรือหางยาวจอดเรียงเป็นตับ คั่นด้วยเรือด่วนลำใหญ่ซึ่งเป็นหนทางสัญจรหลักระหว่างตลาดชนบทกับตัวเมือง
ร้านกาแฟแปะเซ่งตรงท่าเรือด่วนไม่เคยขาดลูกค้า เพราะตั้งอยู่ปากตรอกเชื่อมท่าเรือกับถนนในตลาด ผู้คนสัญจรผ่านไปมาตลอดเวลา วันนี้พงศ์ไม่อยู่เพราะเป็นคิวเรือจอดท่าในเมือง เช้าพรุ่งจึงกลับมาเทียบท่าอีกที เลี่ยมขาดคู่คุยนั่งดูดโอเลี้ยงตาเหม่อมองผู้คนสัญจร
เสียงเครื่องเรือลั่นคุ้งน้ำ
เรือเครื่องกลางลำจากเกาะใหญ่เข้าเทียบท่า พวกแม่ค้านั่งคอยแผลวลุกจากที่โจนลงเรือตั้งแต่ยังจอดไม่สนิท ผลไม้ในเข่งถูกคว้าจับจองต่อรองราคา เกาะใหญ่มีชื่อเรื่องผลหมากรากไม้ ตั้งแต่มะเฟืองมะไฟไปจนถึงสะตอ สะตอเกาะใหญ่เลื่องชื่อว่าเม็ดใหญ่ไม่มีหนอน ชาวเกาะใหญ่ขนมาเท่าไร แม่ค้าขายปลีกในตลาดเป็นรับซื้อไม่เหลือ
เลี่ยมนั่งมองพวกแม่ค้ายื้อแย่งสินค้า ต่อว่าต่อขานกันขรมแล้วอมยิ้ม
ชีวิตคงต้องยื้อแย่งเยี่ยงนี้เอง หากวางเฉยไหนเลยได้สิ่งต้องประสงค์ ไหนเลยดำรงชีพอยู่ได้ แม่ค้าพวกนั้นจำเป็นต้องแย่งแข่งกัน ไม่งั้นก็คงไม่มีสินค้ามาขาย ไม่มีรายได้เลี้ยงชีวิต เรื่องต่อปากต่อคำต่อรองราคาคงยากเลี่ยง ชีวิตคนคงเป็นเช่นนี้เอง คิดถึงตนเองเลี่ยมอดยิ้มไม่ได้ หมายปองสาวทั้งที สาวเจ้ากลับมีคนคอยเฝ้าอยู่แล้วไม่ห่างกาย ยอมนิ่งเฉยเสียก็คล้ายงอมืองอเท้าไม่มีใจ แต่ครั้นดึงดันเล่า ก็คล้ายพานหาเหาใส่หัวหาเรื่องใส่ตัว ใจสาวเจ้านั้นเป็นเยี่ยงไรไหนเลยรู้ได้
เลี่ยมนั่งมองเพลินพลันทะลึ่งพรวด!
หญิงสาวผมยาวนุ่งผ้าถุงมือคล้องตะกร้าโหนตัวอยู่บนกราบเรือเกาะใหญ่ก้มเลือกผลไม้ใช่ใคร สาวเจ้าที่เลี่ยมเฝ้าคะนึงหานั่นเอง เลี่ยมเรียกแปะเซ่งเก็บตังค์วางเหรียญไว้บนโต๊ะเผ่นออกจากร้านทันที
โดดลงเรือหางยาวจอดเรียงต่อกัน โจนข้ามทีละลำตรงหาเรือเกาะใหญ่ หัวใจเต้นรัว ถึงเรือเกาะใหญ่เท้ามือขอบเรือร้องทักถาม
“มาซื้ออะไรครับ?”
กำไลเลือกมะเฟืองในเข่ง ยินเสียงร้องทักสะดุ้งหันมอง เจ้าหนุ่มคนขายลูกโป่งนั่นเอง สาวเจ้ายิ้มตอบ
“แม่อยากกินมะเฟืองน่ะจ้ะ” กำไลเลือกมะเฟืองใส่บานชั่ง
เลี่ยมช่วยเลือกลูกอวบ ๆ วางลงบนบานชั่ง หันมองใบหน้าสวยใสแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กำไลหลบตา มือบังเอิญสัมผัสกัน ไออุ่นแผ่ซ่านหัวใจสาวเจ้าสั่นรัว กำไลเจ้ายิ้มอาย ส่งบานชั่งให้แม่ค้าปลดตะกร้าจากแขน
“สองบาท” แม่ค้าดูตาชั่งบอกราคา รับตะกร้าจากกำไลเทมะเฟืองลงไปแล้วยื่นตะกร้าคืน
“ผมช่วยถือ” เลี่ยมบอกเอื้อมมือรับตะกร้าจากแม่ค้า
กำไลล้วงเงินส่งให้แม่ค้า หันยิ้มให้ชายหนุ่ม
“เอากระท้อนด้วยดีมั้ย? ลูกใหญ่ดี” เลี่ยมชี้มือไปที่เข่งกระท้อน ไม่รอกำไลตอบ ก้มหยิบกระท้อนลูกใหญ่ ๆ ส่งให้แม่ค้า กำไลหยุดรอ
“กำไลขึ้นบนท่าก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมตามไป” เลี่ยมบอก
สาวเจ้าโหนเสาเรือเดินบนกราบ ปีนขึ้นบนท่า เลี่ยมได้กระท้อนจ่ายเงินให้แม่ค้าแล้วก้าวไปในเรือหางที่จอดชิดด้านข้างปีนขึ้นบนท่า
“มาอย่างไรครับเนี่ย?” เลี่ยมถาม
“พายเรือมาจ้ะ” กำไลตอบ
“ไปครับ เดี๋ยวผมหิ้วไปส่ง”
ทั้งสองเดินเบียดคนตรงไปสุดปลายท่าเป็นที่สำหรับจอดเรือพาย กำไลก้าวลงในเรือขยับนั่ง เลี่ยมวางตะกร้าไว้ในเรือช่วยแก้เชือกให้แล้วหยิบใบพาย กำไลยื่นมือจะรับใบพาย เลี่ยมกลับกุมไว้ ดันออกจากท่าแล้วโดดขึ้นเรือ กำไลร้อง
“อ้าว!”
เลี่ยมยิ้ม “ผมพายไปส่ง”
สาวเจ้ายิ้มขวย “รู้รึบ้านอยู่ที่ใด?”
“บ้านผู้ใหญ่ลือใคร ๆ ก็รู้จัก”
“ใคร ๆ ก็รู้ว่าดุ” กำไลก้มหน้ายิ้มแก้มแดง
“ดุก็ไม่กลัว” เลี่ยมจ้วงพายคัดเรือไปทางสะพานข้ามคลอง
พ้นบริเวณท่าเรือออกมาลำน้ำกลายเงียบสงบ ร่มรื่นด้วยเงาไม้สองฝั่งคลอง เสียงกระจิบกระจอกร่ำร้องอยู่ทั่วไป สาวเจ้าก้มหน้าเอียงอายไม่รู้กล่าวคำใด รอบข้างเต็มด้วยแมกไม้นกกา เรือหางยาวก็สวนไขว่ไปมาหาใช่ที่เปลี่ยว แต่นั่งร่วมเรือเดียวเพียงสอง หัวใจเจ้าก็พลันเบาหวิวลอยล่องเหมือนลำเรือแล่นล่องบนผิวน้ำอยู่ขณะนี้ ยินเจ้าหนุ่มเอ่ยถาม
“ค่ำนี้ไปเที่ยวงานอีกมั้ย?”
“เห็นจะไม่” เจ้าแสร้งอมยิ้ม
“อ้าว!” เจ้าหนุ่มหน้าเหลอ “ทำไมล่ะ?”
“เที่ยวจนทั่วแล้ว ยังจะมีที่ใดให้ดู” เจ้าเสตอบ
“กำไลยังไม่ได้ดูหนังจูเลี่ยมกระมัง” เจ้าหนุ่มแกล้งถาม
“กำไลไม่ชอบดูหนังตะลุง”
“อ้าว!” เจ้านายหนังถลึงตา “ทำไมล่ะ?”
“มีแต่ตลกคะนอง” สาวเจ้ายิ้มตอบ “ทะลึ่งหยาบโลนก็เท่านั้น”
“ไม่นะ” เจ้าหนุ่มค้าน “หนังจูเลี่ยมออกเรียบร้อย”
“นั่นล่ะตัวดี”
“ยังไงเหรอ?”
“ลือกันทั้งตลาดว่านายหนังทะลึ่งตึงตังไม่ต่างไอ้เท่งไอ้ยอดทอง”
“ก็แค่คำลือ” เจ้าหนุ่มจ้วงพายอมยิ้ม
“ที่ใดมีควันย่อมที่นั่นมีไฟ” สาวเจ้างามกล่าวมาดมั่น “กำไลว่านายหนังจูเลี่ยมคงไม่ต่างคำลือสักเท่าไรดอก”
“กำไลเคยพบเขาแล้วหรือไรจึงมั่นใจกระนั้น”
“ฮึ” เจ้าตอบ “ไม่เคยพบเห็น แค่คนที่เคยพบเล่าให้ฟัง”
เจ้าหนุ่มหลากใจ เออหนอภาพสะท้อนตัวเราช่างเป็นไปได้กระนั้น ลองถามอีกว่า
“ไม่รู้นายหนังจูเลี่ยมเป็นคนอย่างไรวัยไหนสินะ”
“คราวพ่อกำไลล่ะมัง” สาวเจ้าบอก
เจ้าหนุ่มอมยิ้ม คงหมายถึงพ่อตนเสียเป็นแท้ กำไลเจ้าคงยินคำลือแต่เล็กจึงจดจำไว้ หารู้ไม่ว่านายหนังผลัดรุ่นแล้ว
“หากมีนายหนังมาชอบพอกำไลจะว่าอย่างไร?”
“ฮึ!” สาวเจ้าเค้นเสียง “ไม่เอาหรอก คนไม่อยู่กับที่ รถไฟเรือเมล์ลิเกตำรวจแม่บอกว่าอย่าได้เข้าใกล้”
เจ้าหนุ่มใจหวำ พายแทบหลุดมือ กลืนน้ำลายลงคอถามต่อว่า
“ก็แล้วคนขายลูกโป่งล่ะ?”
สาวเจ้าไม่ตอบคำ ก้มหน้าอมยิ้ม แต่แล้วมือคว้ากราบเรือยกตัวขึ้น
“ไม่ได้!”
เจ้าหนุ่มชะงักพาย สาวเจ้าละล่ำละลัก “พี่ต้องขึ้นที่ท่าวัดนี่ล่ะ หากขืนพายถึงหน้าบ้านพ่อเอาตาย”
เจ้าหนุ่มยิ้มกริ่มจ้วงพายต่อ กำไลขึงตา
“ฉันพูดจริง ๆ นะ”
เจ้าหนุ่มยิ้มพยักคัดพายเบี่ยงหัวเรือเข้าเทียบท่าวัด ส่งพายให้สาวกำไล แล้วก้าวขึ้นบนกระไดท่า นั่งยองมือจับเรือไว้
“ค่ำนี้ไปเที่ยวงานอีกเถอะนะ” เสียงวอน “พี่จะคอย”
สาวเจ้าส่งพายดันกระไดท่า อมยิ้มไม่ตอบคำ เจ้าหนุ่มยื้อกราบเรือไว้
“รับปากก่อนสิ”
เจ้าพยักหน้า เจ้าหนุ่มจึงปล่อยมือดันหัวเรือออก นั่งยิ้มมองเรือนร่างแน่งน้อยผมยาวสลวยพายเรือเลียบฝั่ง สาวเจ้าหันมาชม้าย เจ้าหนุ่มส่งยิ้มแล้วโบกมือจนเจ้าลับคุ้ง
***
ฟ้าค่ำนี้สว่างไสวกว่าทุกคืน ดวงดาวเต็มราวฟ้าปานว่าจะเด็ดลงมาเก็บไว้ในมือ แสงโคมแสงไฟในงานสว่างจ้าเยี่ยงทุกคืน เพียงแต่ค่ำคืนนี้ดวงไฟทุกดวงราวกับจะเรืองแสงสดใสอาบหัวใจให้สว่างวาบ เสียงเพลงแม่ค้าตาคมของศรคีรี ศรีประจวบไพเราะกว่าเคยยินมา เลี่ยมอาบน้ำประแป้งหน้าขาว สวมเสื้อลายตัวใหม่มานั่งดักรอกำไลที่ร้านลูกโป่งลุงชมแต่หัวค่ำ
“เป็นอะไรของเอ็ง” ลุงชมฉงน “นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
เลี่ยมไม่ตอบซ้ำฮัมเพลงแม่ค้าตาคมคลอสำเนียงหวานแว่วของศรคีรี
“เออแน่ะ” ลุงชมชักเสียง “ข้าก็เคยมีอาการนี้” แล้วละห้อย “แต่นานมาแล้วว่ะ”
เลี่ยมช่วยหยิบลูกโป่งส่งให้โดยไม่หันมองด้วยตานั้นจ้องแต่ทางเข้าหน้างาน
“เฮ้ย! พอก่อน ข้าอัดแก็สไม่ทัน” ลุงชมโวย
เลี่ยมยิ้มปูเลี่ยน มือถือลูกโป่งส่งค้างเหมือนใจไม่อยู่กับร่าง ในหัวยินแต่เสียงระงมว่าเมื่อไรสาวเจ้าคนงามจะมาเสียที แล้วเลี่ยมก็ทะลึ่งพรวด ลุงชมกระโดดโหยง! หันมองอีกทีเลี่ยมจ้ำอ้าวไปโน่นแล้ว
“ไอ้บ้า!” ลุงชมว่าแล้วยิ้มส่ายหน้า
***
กำไลเจ้างามกว่าทุกวัน ผิวพรรณนวลปลั่งด้วยเนื้อสาวแรกรุ่น ผัดหน้าทาแป้งหอมกรุ่นเดินผ่านช่องตรวจตั๋วเข้ามาในงาน เลี่ยมหลบคนเขยิบไปหลังพุ่มไม้มองสาวเจ้างามอยู่ครู่ นึกยินดีแลหลากใจไฉนเจ้าคนตามต้อยไม่มา เห็นกำไลวกลัดตัดตรงไปทางถังขายลูกโป่ง เจ้าหนุ่มนึกสนุกแอบย่องตามมาหลังไม่ให้รู้ตัว กำไลหยุดยืนหน้าถังลูกโป่ง
“ลุงจ๊ะ”
ลุงชมนั่งมวนบุหรี่ ยินเสียงเรียกเงยหน้ามอง สาวเจ้างามเอ่ยถาม
“เจ้าของร้านไปไหนเสียล่ะจ๊ะ?”
“ลุงนี่แหละเจ้าของ” ลุงชมบอก
“อ้าว!” กำไลฉงน “ไม่ใช่พี่เลี่ยมดอกหรือ?”
“ไอ้เลี่ยมรึ” ลุงชมว่า “อ้อ...มันมาช่วยขายตอนหัวค่ำ ร้านลูกโป่งสวรรค์ไม่เหมาะกับมันดอก หยั่งมันต้องโน่น” ลุงชมชี้มือไปทางโรงหนังตะลุง “มันเป็นนายหนังชื่อเสียงโด่งดัง เมื่อกี้ยังนั่งอยู่นี่ เห็นจ้ำไปหาหนูนั่นแหละ ไม่เจอกันรึ?”
สาวกำไลส่ายหน้า ลุงชมบอก
“งั้นลองไปดูที่โรงหนัง ไอ้เลี่ยมมันไม่ไปไหนหรอก อยู่แถว ๆ นี้ล่ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
กำไลเดินตรงไปทางโรงหนังตะลุง เลี่ยมมุดตามออกมา
“ลุงนะลุง” ขมวดคิ้วแค่นเสียง “บอกหมดเลย”
“อ้าว!” จู่ ๆ เจ้าหนุ่มโผล่หน้าออกมาลุงชมฉงนฉงาย “ทำไมบอกไม่ได้วะ เป็นนายหนังก็บอกออกไปซี สาวจะได้หลง”
“ที่ไหนกันล่ะลุง!” เลี่ยมฮึดฮัดส่งเสียงจิ๊กจั๊ก “กำไลเค้าไม่ชอบคนอยู่ไม่เป็นที่”
“อ้าว! งั้นไป” ลุงชมอ้าปากค้าง
เลี่ยมรีบจ้ำตามสาวเจ้าไปทางโรงหนังตะลุง
หน้าโรงว่างคนด้วยยังหัวค่ำ ผู้คนไปรวมกันที่โรงมโนราห์ โรงลิเก ตามด้วยวงดนตรีลูกทุ่ง ทั้งหมดจบแล้วจึงเป็นเวลาของหนังตะลุง กำไลหยุดยืนหน้าโรงหนัง แหงนมองไปที่จอขาวมีรูปพ่อแก่ปักค้างไว้ ด้านบนเป็นตัวอักษร ‘หนังจูเลี่ยมเสียงทอง’ ตัวใหญ่พาดจากขอบด้านหนึ่งถึงอีกด้าน แสงจากหน้าจอสาดส่องลงมาทาบร่างสาวเจ้าเป็นเงา เลี่ยมหยุดยืนเพ่งมอง จดจำภาพนี้ฝังใจ หญิงสาวและงานที่ตนรัก ทั้งสองมาพบกันแล้ว อยู่ร่วมกันแล้ว เลี่ยมย่องเข้าไปด้านหลัง
“หนังยังไม่แสดงครับ”
กำไลสะดุ้งหันกลับ แล้วขบริมฝีปาก “ตกใจหมดเลย”
เลี่ยมยิ้ม เงยมองจอหนัง แล้วสูดหายใจลึก “พี่เป็นนายหนัง กำไลคงไม่ถือสานะ”
“ก็แล้วไยไม่บอกแต่แรก ปล่อยกำไลหลงเข้าใจไปว่าขายลูกโป่งเสียนาน คนหลอกลวง”
“ที่ไหนกัน” เลี่ยมหันมาเบิ่งตา “พี่ไม่เคยบอกสักคำว่าขายลูกโป่ง จะว่าหลอกลวงได้ไง”
“ก็เถอะ” สาวเจ้าขบริมฝีปากยักคาง
เลี่ยมใส่หวัว ชักชวน “ไปทางโน้นกันเถอะ”
ทั้งสองเดินตัดสนามหญ้าผ่านเตาขนมจาก เลี่ยมยื่นเงินให้ยายแม่ค้า รับขนมจากมาแกะไม้กลัดแล้วส่งให้กำไล สาวเจ้ายิ้มแล้วรับไว้ หยิบเนื้อขนมจากมากิน ดึงอีกส่วนส่งคืนให้ชายหนุ่ม เลี่ยมไม่เคยลืมเลยว่าขนมจากห่อนั้นอร่อยแค่ไหน ทั้งคู่มาหยุดที่หน้าร้านปาลูกดอก เลี่ยมหยิบลูกดอกบนแผ่นไม้ส่งให้กำไล แล้ววางเหรียญลงบนอักษรสูง
“กำไลปาก่อน”
สาวเจ้าพยักหน้าหันมองกระดาน ตัวเลขศูนย์ถึงเจ็ดเรียงสลับไปมาแยกเป็นตารางเล็ก ๆ ด้วยเส้นเชือก กำไลจ้องไปที่เจ็ด แล้วเงื้อลูกดอก โยกตัวไปหน้าเหวี่ยงมือปล่อยลูกดอกออกไป เจ้ามองตามลูกดอกส่ายปักกระดานหางห้อยเกือบหลุดร่วง ลูกดอกปักที่เลข 1 เจ้าหันมองหน้าละห้อย
เลี่ยมยิ้มปลอบ ขยับมือทะมัดทะแมง เงื้อแล้วเงื้อเล่า เหลียวมองหน้าเจ้างาม กำไลถลึงตา เลี่ยมจึงหันไปจ้องตัวเลขบนกระดาน แล้วเหวี่ยงแขนปล่อยลูกดอก กำไลจ้องเขม็ง นึกภาวนาให้ได้เลข 7 ตัวเดียวเท่านั้นที่ผลจะออกสูง มิฉะนั้นก็ถูกกิน ลูกดอกปักเลข 7 จริง ๆ เจ้างามปรบมือกระโดดตัวลอย คนขายวางเงินให้เท่าตัว เลี่ยมรวมเงินไว้ในมือชวนสาวเจ้าออกเดิน
“ไม่ปาต่อหรือ?” กำไลข้อง
“ได้แล้วต้องรู้จักพอ” เจ้าหนุ่มบอกออกเดินจากร้านปาลูกดอก
กำไลยังนึกสนุก “พี่เลี่ยมปาแม่นจัง”
“รู้มั้ยทำไมจึงปาแม่น” เลี่ยมพูดเสียงจริงจัง
“ทำไงเหรอ?”
“รู้แล้วอย่าอึงไปนะ” ลดเป็นเสียงกระซิบ
กำไลยิ้มพยักสีหน้าจริงจัง เลี่ยมบอก
“พี่เล็งที่เลข 1”
สาวเจ้างามฟังอึ้งไปครู่ แล้วโพล่ง “ที่แท้ปาพลาด!”
เจ้าหนุ่มยิ้มยักคิ้ว ถามว่า
“เล่นบอลโต๊ะกันมั้ย?”
“เอาสิ”
เลี่ยมเดินไปที่คนเฝ้า ได้ลูกบอลไม้เล็ก ๆ กลับมา กำไลยืนประจำที่ สองมือกุมด้ามไม้รออยู่แล้ว เลี่ยมวางบอลไม้ลงกลางโต๊ะ ยังไม่ทันคว้าด้ามถือ สาวเจ้าก็สะบัดหุ่นไม้เตะลูกบอลทันทีแล้วหัวเราะชอบใจ ลูกบอกกลิ้งหวิดเข้าช่องประตู เลี่ยมชักหุ่นไม้นายประตูขวางไว้ทัน แล้วเตะคืนกลับเบา ๆ กำไลเร่งสลับมือคว้าด้ามไม้คันหมุน ดีดหุ่นไม้มือระวิง เลี่ยมหยุดมองสาวเจ้างามเพ่งสมาธิอยู่กับหุ่นไม้ ปล่อยบอลลูกเล็กกลิ้งไปกลับด้วยแรงสะท้อน เจ้าเคลื่อนไหวไปมาท่วงท่าแคล่วคล่อง เรือนผมเจ้าสยายอยู่ในแสงไฟ ใบหน้าแย้มยิ้มเอาจริงจังจดจ่อกับเครื่องเล่นตรงหน้า เลี่ยมคล้ายหลุดลอยไปอยู่ในอีกมิติ เป็นมิติชวนฝันหวานหอม โลกทั้งโลกมีแต่รอยยิ้มพริ้มเพรา เสียงบอลไม้กระแทกช่องประตูดังโผละ สาวเจ้าปรบมือร้องบอก
“เข้าแล้ว!” แล้วก็ต้องชะงัก “พี่เลี่ยมแกล้งอ่อยนี่นา”
เลี่ยมยิ้ม “ไม่ใช่อ่อย แต่เป็นเต็มใจให้ชนะ ยอมให้ชนะจริง ๆ นะ”
ไม่อาจบอกมากกว่านั้น ได้แต่หวังว่าสาวเจ้าจะเข้าใจ เจ้าก้มหน้ารื่นยิ้ม เหลือบมองค้อน ทั้งสองชักชวนกันไปซื้อน้ำจรวด ตอนเดินผ่านโรงเมียงู กำไลกระตุกชายเสื้อเลี่ยม เลี่ยมเสียงขึง
“เป็นหญิงไม่เหมาะ”
“แต่กำไลอยากดู”
เลี่ยมยึดยื้อไม่ยอมก้าวตาม แต่เจ้าก็ยังยื้อยุด ที่สุดยอมพาเข้าไป แต่แล้วเจ้าก็ฉุดลากเลี่ยมออกมายืนแก้มเรื่อ
“ก็บอกแล้วไม่เหมาะ”
เลี่ยมพึมพำพากันเดินไปนั่งหน้าโรงลิเก เลี่ยมปลดผ้าขาวม้าปูให้ กำไลรวบชายผ้าถุงนั่งชันเข่า เลี่ยมนั่งลงข้าง สองไหล่ใกล้บางครั้งกระทบกระทั่งเมื่อขยับทำหัวใจหนุ่ม-สาวสั่นสะท้าน บนโรงลิเกร้องกันว่าไร เลี่ยมหารู้ความด้วยลอบชายตามองแต่สาวเจ้าจนมิได้ฟัง จนใกล้เวลาเตรียมตัวแสดง
“ได้เวลาเล่นหนังแล้ว” เลี่ยมบอก “พี่เห็นจะต้องลากำไลก่อน”
“กำไลจะตามไปดู”
“ดีสิ” เลี่ยมยิ้มรื่น “เมื่อแรกยินว่าไม่ชอบหนังตะลุงทำเอาใจหาย มีกำไลคอยดูยังงี้ หนังจูเลี่ยมคงเล่นดีกว่าทุกค่ำ”
พูดจบขยับตัวลุกขึ้น สาวเจ้างามลุกตาม เลี่ยมดึงผ้าขาวม้าสะบัดเบา ๆ แล้วผูกเคียนเอวไว้อย่างเก่า ทั้งสองเดินอ้อมหลังคนนั่งดูลิเกไปทางโรงหนังตะลุง
หน้าโรงหนังตะลุงยามนี้เต็มด้วยผู้คนทุกเพศวัยพากันปูเสื่อจองทำเลหน้าจอ หลายคนถึงกับมีหมอนมาด้วย ปะลุงชมนั่งถุนยา
“อ้าว ลุง” เลี่ยมทัก “เลิกไวจริง”
“วันนี้ขายดี เลยเลิกไวหน่อย”
“ขายดีแล้วทำไมเลิกเสียล่ะ”
“เอาเท่าที่ได้” ลุงชมถอนมวนยาพ่นควัน “ได้แล้วก็พอ จะเอาอะไรนักหนา เล่นซะทีซีมาคอยนานแล้วนะ”
เลี่ยมยิ้ม หันบอกกำไล
“นั่งกับลุงนะ พี่ขึ้นไปเล่นหนังก่อน”
กำไลยิ้มพยัก ย่อตัวนั่งลงบนเสื่อ
“ฝากกำไลด้วยนะลุง” เลี่ยมบอก แล้วเดินตรงไปหลังโรง มือคว้าบันไดหันมองสาวเจ้า เจ้างามยิ้มหวาน เลี่ยมใจชุ่มรื่นยิ้มสาวมือปีนขึ้นบนโรงหนัง
กำไลแหงนจ้องมองจอหนังด้วยหัวใจหวิวไหว รูปพ่อแก่ซึ่งถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพบูชาของเหล่านักเล่นหนังตะลุงยืนเด่นอยู่กลางจอ เสียงปี่กลองทับโหม่งบรรเลงขับกล่อมราวมโหรีประโคมสักการะทวยเทพ ชักนำภวังค์ทุกผู้คนที่อยู่ในรัศมีสังคีตล่วงเข้าสู่อีกโลก โลกของแผ่นหนังฉลุบาง ๆ บนหน้าจอ โลกของเจ้าชายเจ้าหญิง และเพื่อน ๆ ผู้ติดตามที่ผูกพันกันด้วยเรื่องราวหลากอารมณ์รส โลกของแผ่นหนังฉลุบาง ๆ ที่แห้งแข็ง แต่กลับเคลื่อนไหวสนทนาเปี่ยมชีวิตชีวาด้วยวาทศิลป์และปฏิภาณไหวพริบของคนเพียงคนเดียว ตลอดมาเคยก็แต่นั่งดูอยู่หน้าโรงหนังตะลุง กำไลไม่เคยคิดฝันว่าจะมาสัมผัสโลกเบื้องหลังจอขาวนั่น โลกนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรซุกซ่อนอยู่หลังแผ่นผ้าขาวบาง อะไรที่ชักชวนให้ผู้คนทั่วสารทิศมานั่งแหงนคอติดตามเรื่องราว ตาจ้องเขม็งบนจอ หูคอยฟังเสียงร้อง ยิ้มหวัวไปกับบทสนทนาโต้ตอบ เป็นเรื่องลึกลับชวนฉงน หัวใจวัยสิบแปดหวิวหวั่นสั่นไหว
กำไลนั่งกอดเข่าแน่นคล้ายจะกุมหัวใจไว้ให้อยู่กับเนื้อกับตัว หารู้ไม่ด้านหลังมีดวงตาเคียดขึ้งจ้องมองจอผ้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
***
“มึงว่าอะไรนะ!?” ผู้ใหญ่ลือตวาดถลึงตาปากสั่นคอสั่น ปื้นหนวดขยับขึ้นลงไม่หยุด
เจ้าปานพลอยอกสั่นขวัญหาย
“นายหนังเลี่ยมพ่อผู้ใหญ่” กลืนน้ำลายลงคอ ฝืนยิ้มทวนคำ “ข้าเห็นกับตา นายหนังเลี่ยมมันเกาะแกะกำไล”
ผู้ใหญ่ลือถลันลุกกระชากไม้เรียวจากชายฝา โผล่หน้าออกชานเรือน ตะโกนสั่ง “ไปตามอีกำไลมา!”
เจ้าแตงกำลังฝัดข้าวเปลือกลนลานวางกระด้งลงรีบวิ่งออกประตูเรือน เจ้าปานเห็นท่าไม่ดี ขืนอยู่ไป กำไลรู้ว่าตนนำเรื่องร้อนมาให้เป็นเสียการ รีบพนมมือ
“ฉันเองต้องลาก่อนล่ะพ่อผู้ใหญ่”
“อ้าว! จะรีบไปไหนล่ะพ่อปาน อยู่ดูใจนังลูกไม่รักดีก่อนสิ”
“พ่อใช้ไปธุระบนอำเภอน่ะพ่อผู้ใหญ่ แล้วฉันจะแวะมาเยี่ยมใหม่ ฉันไปล่ะ”
เจ้าปานยกมือไหว้ รีบกระถดออกชานเรือน ยังไม่พ้นประตูรั้วก็สวนกำไลกับเจ้าแตงฉุดมือกันมา กำไลมองจ้องด้วยความฉงน
“มีธุระอะไร มาหาพ่อแต่เช้าเชียวพี่ปาน?”
“มะ..มะมีอะไร” เจ้าปานลุกลี้ลุกลนก้มหน้าตอบ “ธุระพ่อฝากมาบอกพ่อผู้ใหญ่นิดหน่อยน่ะจ้ะ” เร่งเดินออกประตูเรือน
กำไลหลากใจเหลียวมองเงาหลังเจ้าลูกชายกำนัน เจ้าแตงฉุดพาเข้าในเขตเรือน ดันหลังขึ้นบันได ก่อนกลับไปคว้ากระด้งฝัดข้าวแล้วเหลือบมองเพื่อนรักด้วยสายตากังวล กำไลก้าวขึ้นเรือน เห็นพ่อนั่งมือเคาะไม้เรียวก็ใจหวิวก้มหน้านิ่ง
“เมื่อคืนไปไหนมา!?” ผู้ใหญ่ลือถาม
“ลูกไปเที่ยวในงาน” กำไลตอบเสียงค่อย
“ไปกับใคร!?”
“คนเดียว”
“กูบอกแล้วใช่มั้ย อยากไปเที่ยวงานกูไม่ห้ามแต่ต้องพาไอ้จ้อยอีแตงไปด้วย”
“จ้ะ” กำไลพยักหน้า
“นัดใครไว้ในงาน?”
“ปละ..เปล่า”
“โกหก!”
ผู้ใหญ่ลือลุกพรวด สาวเจ้าอกสั่นตัวสั่น
“มึงก็รู้ มึงมีคนหมั้นคนหมายแล้ว ถึงยังไม่ได้หมั้นเป็นการเป็นงาน แต่ผู้ใหญ่สองฝ่ายก็รับรู้แล้ว การที่จะไปนัดพบปะกับชาย ทำผู้ใหญ่หมางใจกันนั้นไม่บังควร”
“แต่..” สาวเจ้าคิดขัดแต่พูดไปมีแต่สาดน้ำมันลงกองไฟจำกลืนคำไว้
“พ่อปานนั้นมีการศึกษา ไม่นานก็ได้เป็นเจ้าคนนายคน เขามารักชอบนับเป็นบุญแล้ว หากมึงยังขืนทำตัวยังงี้ เขาเกิดเปลี่ยนใจพ่อแม่ก็จะพลอยได้อาย”
“แต่กำไลไม่ได้รักพี่ปาน”
“เป็นไรไป!” ผู้ใหญ่ลือตะคอก “อยู่กันนานไปก็รักกันไปเอง ดูอย่างพ่อกับแม่มึงปะไร เมื่อแรกก็ใช่จะรักกัน แต่ก็อยู่กันมาจนมึงโตเป็นสาว”
“อยู่กันมาแต่แม่มีความสุขเสียที่ไหน แม่ต้องยอมพ่อตลอดเวลา”
“เถียงคำไม่ตกฟาก!”
ผู้ใหญ่ลือหวดไม้เรียวลงบนหลังลูกสาว เสียงเควียบเสียวสยอง แผ่นหลังผิวอ่อนแสบรอยเป็นทาง กำไลกรีดร้องน้ำตาพราก เจ้าแตงยินเสียงรีบทิ้งกระด้งวิ่งออกไปตามแม่ช้อย ผู้ใหญ่ลือหวดซ้ำอีกที สาวเจ้ากระถดถอนขยับลุกจะวิ่งหนี
“มึงวิ่งหนีกูจะไม่ให้เข้าเรือน ดูซิมีปัญญานอนไหน” ผู้ใหญ่ลือตะคอก
กำไลลังเล จำนั่งอยู่กับที่ ดวงตาแดงก่ำจ้องมองผู้เป็นพ่อแน่วนิ่ง ผู้ใหญ่ลือชี้ไม้เรียว
“รับปากกูมึงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับไอ้นายหนังนั่นอีก”
กำไลจ้องหน้านิ่งไม่ตอบคำ
“มึงยังจะยุ่งเกี่ยวกับไอ้นายหนังนั่นอีกหรือไม่?”
กำไลจ้องหน้านิ่ง
“มึงได้ยินที่กูถามมั้ย?”
สาวเจ้าขบปากนิ่ง
ผู้ใหญ่ลือเงื้อมือ หวดไม้เรียวนับครั้งไม่ถ้วน กำไลกัดฟันทั้งน้ำตานองหน้า ตัวอ่อนลงกับพื้น แม่ช้อยวิ่งขึ้นเรือนมากอดลูกสาวไว้กับอก
“พอเถอะพี่” มือลูบหัวลูบแขน “ลูกยังเด็กนัก”
“ตามใจมันยังงี้ลูกมันถึงได้ใจเถียงไม่ทิ้งคำ!” ผู้ใหญ่ลือเงื้อไม้เรียว ใจคิดจะฟาดเสียทั้งลูกทั้งเมีย แต่กลับชะงักค้างไว้ สะบัดหน้าทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ชี้หน้าลูกสาวด้วยไม้เรียว
“จากวันนี้ ห้ามมึงไปงานอีก หากมึงยังขืนไปกูจะเผาโรงหนังนั่นเสีย ดูทีซิไอ้นายหนังร่อนเร่จะว่าไง”
“มาเถอะลูก มาเถอะ”
แม่ช้อยประคองลูกสาว กำไลสะอึกสะอื้นตัวสั่นปวดแสบจนแทบขยับไม่ได้ ปล่อยแม่โอบประคองพาลงจากเรือน
***
บทที่ 6
ฟ้าค่ำนี้ซึมเซา แสงไฟเสียงเพลงเหมือนจะยิ่งเสียดแทงหัวใจเจ้าหนุ่มเจ็บร้าว แสงไฟสาดส่อง เงาร่างผู้คนเดินสวนไปมาสับสนบนลานหญ้า กลับไม่เห็นเงาคนที่เฝ้ารอ เลี่ยมชะเง้อแล้วชะเง้อเล่า ลุกเดินไปมา วนหาจนทั่วงาน ไม่ว่าจะเวทีดนตรี หน้าโรงลิเก มโนราห์ หรือหนังกลางแปลง วนกลับไปแผงปาลูกดอกยังคล้ายเห็นภาพสาวเจ้าปรบมือแย้มยิ้มแต่แล้วก็เลือนหาย เลี่ยมเบือนหน้าใจหวั่น หรือได้ป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ เพราะเจ้าตากน้ำค้างข้ามคืน เลี่ยมพะวงต่าง ๆ นานา ใจอยากตามไปให้ถึงบ้าน ดูให้รู้ความจะได้ตัดห่วง แต่ก็เกรงกลับมาไม่ทันเวลาหนัง
หนังจูเลี่ยมค่ำนั้นเล่นอย่างซังกะตาย จนยินเสียงคนดูโห่ฮาอยู่หน้าโรงก็หลายครั้ง เลี่ยมใจลอยหยิบตัวหนังผิด ๆ ถูก ๆ ท่องบทสับไปมา จนพวกลูกน้องมองหน้ากันเอง
เลิกหนังก่อนเวลา แล้วเลี่ยมก็นอนมือก่ายหน้าผากไม่พูดไม่จา ค่ำวานกับค่ำนี้ต่างราวฟ้ากับดิน ค่ำวานทุกบททุกกลอนเล่นร้องด้วยใจจำเริญสุข ราวล่องลอยอยู่ในทิพย์พิมาน เนื่องเพราะรู้ว่ามีคนที่รักนั่งดูนั่งฟังอยู่ แต่ค่ำนี้สิ ขาดเจ้าเสียคนโลกทั้งโลกกลับล่มทลายคล้ายไม่อาจดำรงคงอยู่ ทั้งก่อนหน้าอยู่มาได้ด้วยดี ทำไมจึงเป็นเยี่ยงนี้ เลี่ยมนอนคิดครุ่นจนเผลอหลับคาจอหนัง
มาสะดุ้งตื่นก็ตอนยินเสียงตะโกนเรียก
“พี่เลี่ยม! พี่เลี่ยม!”
เลี่ยมผงกหัว ตาปรือ เหลียวซ้ายแลขวา รางโหม่ง กลองทับ วางชิดข้างผนัง ลำกล้วยวางพาดอยู่ข้างจอ เสื้อผ้าลูกน้องห้อยเต็มข้างฝา เลี่ยมคลานออกไปหลังโรง ชะโงกมอง
“ว่าไงวะจิ๋ว?”
“มีผู้หญิงฝากจดหมายนี่” เจ้าจิ๋วโบกพับกระดาษในมือ “บอกให้เอามาให้พี่”
เลี่ยมตื่นตา รีบปีนลงจากโรงหนัง รับจดหมายจากเจ้าจิ๋ว
“ขอบใจเว้ย”
เจ้าจิ๋วยืนท้าวสะเอวแบมือตบเท้ากับพื้น
“ไว้ทีหลังนา มึงนี่”
เลี่ยมยกมะเหงก เจ้าจิ๋วหดหัว วิ่งอ้าว เลี่ยมหย่อนก้นพิงจามจุรีรีบคลี่จดหมายออกอ่าน
พี่เลี่ยม
กำไลเขียนจดหมายทั้งน้ำตา พ่อสั่งคนไปบอกพี่ปานให้หาฤกษ์แต่งแล้ว พี่ปานเป็นลูกกำนัน มีการศึกษา แม่บอกว่ากำไลจะได้มีครอบครัวที่ดี เป็นหลักเป็นฐาน แต่กำไลไม่ได้รักพี่ปาน ก่อนหน้ากำไลผัดผ่อนเรื่อยมา กำไลเองก็ไม่รู้ว่าความรักเป็นอย่างไร
จนกำไลได้พบพี่
ได้รู้แล้วว่าความสุขของการได้อยู่ใกล้คนที่เรารักเป็นอย่างนี้เอง สุขอย่างนี้เอง
พ่อสั่งห้ามไม่ให้กำไลมาเที่ยวในงานอีก หากยังขืนมาพ่อจะเผาโรงหนังของพี่เสีย พ่อทำจริง พ่อเคยทำมาหลายครั้งแล้ว กำไลสิ้นหนทางไม่รู้คิดแก้ประการใด ได้แต่ปล่อยไปตามเวรตามกรรม
กำไลบุญน้อยได้พบพี่เพียงครู่ก็ต้องพรากจากกัน แต่ก็ยังดีใจว่าครั้งหนึ่งในชีวิตกำไลได้รับรู้แล้วว่าความรักเป็นอย่างไร ขอให้พี่ลืมกำไลเสีย และมีความเจริญก้าวหน้ากับงานที่พี่รัก ได้พบคนที่เหมาะสมกับพี่
กำไลบุญน้อยขอลา
กำไล
เลี่ยมใจหายขยำจดหมายทะลึ่งลุก สมองมึนงง สนามหญ้าหมุนคว้างเหมือนต้องลมสลาตัน เลี่ยมซวนเซหลังพิงต้นจามจุรีทรุดกายลงช้า ๆ ดวงตามองเหม่อไปข้างหน้า โลกทั้งโลกพังทลายลงแล้ว ความหวังที่จะสร้างครอบครัว หยุดร่อนเร่พเนจรทำไร่ไถนาไปตามประสาพังทลายเหมือนเจดีย์ทรายที่ก่อไว้เพียงเพื่อรอคลื่นซัด แล้วความฝันทั้งหมดก็กลายเป็นผืนทรายราบเรียบ เหมือนไม่เคยมีอยู่ ไม่เคยเกิดขึ้น ชีวิตเบื้องหลังความฝันที่ว่างเปล่านั้นจะเป็นอย่างไร เลี่ยมไม่อยากคิดถึง
ได้แต่งกับคนมีหน้ามีตาใกล้เคียงก็สมควรดีแล้ว ที่ไหนคนร่อนเร่หาเช้ากินค่ำนี้จะเทียบเปรียบ คำรักเจ้าอาจแค่ปลอบรักษาน้ำใจ แล้วตัวก็ไปร่วมหอกับคนที่บอกไม่รัก กระไรใจหญิงจึงเป็นไปได้
เห็นลูกน้องเดินผ่านมาเลี่ยมตะโกน
“บอกพวกเรา เก็บข้าวของ ออกเดินทางค่ำนี้”
“แต่งานยังเหลืออีกคืนนะพี่” ลูกน้องบอก
“ไปคืนนี้เลย” เลี่ยมสั่ง
ลูกน้องสีหน้างงงวย กลับไปตามพวกมาช่วยกันเก็บข้าวของ
***
เรือหางยาวขนกระสอบข้าวสารมาเต็มลำ เข้าเทียบข้างเรือด่วนลำใหญ่ คนเรือช่วยกันเคลื่อนย้ายกระสอบข้าวสาร เหงื่อท่วมตัวส่งเสียงหยอกเย้ายิ้มหัวพลางฉวยกระสอบน้ำหนักร้อยกิโลฯ โยนเข้าในท้องเรือ อีกพวกยกจัดเรียงซ้อนกระสอบในท้องเรือจนแน่นขนัด
พงศ์กำลังยกกระสอบข้าวสาร พราวเหงื่ออาบกล้ามเนื้อเป็นมัน เหลียวเห็นลูกน้องเลี่ยมแบกข้าวของมาลงเรือก็นึกฉงน วางมือจากกระสอบข้าวสารเดินไปถาม
“กลับกันแล้วรึ?”
“อื้อ” ลูกน้องเลี่ยมพยักหน้า
“งานยังมีอีกคืนไม่ใช่รึ? ไหงเร่งกลับก่อน”
“ไม่รู้พี่เลี่ยมแก” ลูกน้องเลี่ยมวางลังไม้ลงบนเรือ “จู่ ๆ ก็สั่งให้เก็บของ”
“ยังไงของมัน” พงศ์พึมพำ หันบอกกับลูกน้องเลี่ยม “วางข้าวของไว้ข้างเก้าอี้นายท้ายนี่แหละ ไม่หายหรอก ชั้นล่างยังต้องลงข้าวสารอีกหลายลำเรือ”
พวกลูกน้องเลี่ยมรับคำ วางลังไม้เรียงซ้อนไว้ข้างเก้าอี้นายท้ายเรือ
***
“ไปแล้วเรอะ?” ผู้ใหญ่ลือถลึงตาถาม
“จ้าพ่อผู้ใหญ่” เจ้าปานตอบ
“ฮ่า ฮ่า นึกว่านักเลง ที่แท้ใจปลาซิว ไม่ทันนกกระจอกกินน้ำก็เผ่นแน่บ” ก้มลงกระซิบถาม “ว่าแต่แน่นะ”
“แน่ซีจ๊ะ” เจ้าปานยืนยัน “ฉันเห็นลูกน้องมันขนของกับตา”
“ไปเสียได้ก็ดี หมดเรื่องหมดราว ข้าล่ะรำคาญนัก มีลูกสาวก็เหมือนมีส้วมหน้าบ้าน ใครมาใครไปคิดแต่จะขี้เยี่ยวไว้เรี่ยราด เออ..ฤกษ์แต่งที่บอกให้รีบหาเล่าว่าอย่างไร?”
“เดือนเก้านี้ล่ะจ้ะพ่อผู้ใหญ่” เจ้าปานยิ้มประจบ ตาเป็นประกายยินดีจะได้ร่วมหอลงโรงเจ้างามสองคุ้งฝั่งคลองไม่มีใครเกินเสียที
“เออ..ดีแล้ว อย่าให้มันเนิ่นนัก ข้าคร้านจะต้องกำราบ พ้นไอ้นายหนังตัวดีนี่ไปแล้วยังไม่รู้ใครจะโผล่มาอีก”
“ฉันเองก็ร้อนใจใช่น้อย อยากให้เป็นเดือนหกเดือนเจ็ดเสียซ้ำ” เจ้าปานบอก “แต่พระครูท่านว่าฤกษ์ดีมีแต่รอเดือนเก้า ฉันก็จนใจ”
“เถอะ เดือนเก้าก็เดือนเก้า พ่อไปจัดแจงพิมพ์บัตรบอกงานเสีย บอกพ่อกำนันมาคุยนัดแนะให้เข้าใจกันก็เป็นอันเรียบร้อย”
“จ้ะพ่อผู้ใหญ่” เจ้าปานยกมือไหว้ “ฉันเลยถือโอกาสลา”
“เออ..ไปเหอะ” ผู้ใหญ่ลือโบกมือ แล้วคิดขึ้นได้ประสานักเลงเก่า “อ้อ!”
“จ๊ะ?” เจ้าปานชะงักหันกลับมา
“ค่ำนี้เอาคนไปเฝ้าท่าเรือ ดูให้แน่ว่าไอ้นายหนังนั่นไปแล้วจริง ๆ”
“จ้ะ” เจ้าปานรับคำยกมือไหว้แล้วก้าวลงเรือน
***
ตะวันรอนจวนลับทิวไม้ คล้ายหัวใจเจ้ายามนี้ หวิวไหวริบหรี่ราวจะดับลับไปกับตะวันเสียให้รู้แล้วรู้รอด ยินเสียงใบพายจุ่มน้ำก็ชะเง้อมอง ยินไอ้ช่อนฮุบเหยื่อในกอจาก หันขวับคิดเผื่อไปว่าเจ้าหนุ่มนายหนังจะแวะมา แต่แล้วก็ต้องซบหน้าลงกับเข่า กำไลเจ้านั่งเหม่อในศาลาท่าน้ำจนเงามืดคลี่คลุม จิ้งหรีดเริ่มกรีดปีก เสียงแม่ช้อยตะโกนเรียกมาจากในครัว
“กินข้าวได้แล้วกำไลลูก”
“แม่กินก่อนเถอะ ลูกยังไม่หิว” สาวเจ้าตะโกนตอบ
เจ้าแตงผ่านมารู้ว่ากำไลอยากอยู่คนเดียวจึงเดินเลยไปครัว
ฟ้ามืดสนิทแล้ว คืนนี้คงเป็นคืนเดือนมืด ฟ้าจึงได้มืดมิดกระนี้ คงไม่ต่างหัวใจเจ้าที่มืดมนอับจนหนทาง ไม่รู้จัดการกับตัวเองอย่างไร ได้แต่ปล่อยตามยถากรรม คิดถึงชีวิตเบื้องหน้าแล้วน้อยใจชะตานัก มีชีวิตมาแล้วไยไม่มีหนทางของตัวเอง ไยไม่อาจเลือกใช้ชีวิตด้วยตัวเอง คิดก็อยากหนีไปให้ไกล ๆ แต่ตัวก็เท่านี้จะหนีไปไหนได้ จะหาเลี้ยงปากท้องอย่างไร กำไลเจ้ายิ่งคิดน้ำตายิ่งไหลรดรินใบหน้า รำพึงเสียงแผ่ว
“พี่เลี่ยม”
อยากให้เสียงเรียกนี้ยินถึงเจ้าของ อยากให้มานั่งอยู่ใกล้ ฟังคำรำพันว่าหัวใจกำไลเจียนขาดอยู่รอน ๆ ฝากจดหมายไปหวังจะได้รับข่าวกลับเงียบหาย กำไลเจ้าอยากเสี่ยงไปในงานเสียให้พอได้พบหน้า แต่ก็เกรงทำคนที่ตนรักได้ร้อน เจ้าอัดอั้นทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ฟุบหน้าร่ำน้ำตานอง ยินเสียงเรียกแผ่วเบา
“กำไล”
สาวเจ้าสะดุ้งสุดตัว เสียงที่ร่ำร้องเรียกหา เสียงที่เฝ้ารอคอยแว่วอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ขมวดคิ้วเหลียวมองทั้งไม่มั่นใจคิดไปว่าหูแว่ว แต่แล้วยินซ้ำ
“กำไล พี่อยู่นี่”
สาวเจ้าผลุนผลันลงสะพานท่าน้ำ
“พี่เลี่ยม” ทั้งฉงนทั้งตื่นยินดี เจ้ายิ้มทั้งน้ำตา
“กำไลร้องไห้” เลี่ยมฉวยกระไดท่ามองหญิงคนรักด้วยความกังวล “ใครทำกำไลร้องไห้”
กำไลใช้แขนป้ายน้ำตา “ไม่มีหรอกพี่ หากจะมีก็พี่นั่นแหละ”
“พี่เหรอ” เลี่ยมฉงน “งั้นพี่ก็ต้องทำโทษตัวเองฐานทำกำไลร้องไห้”
สาวเจ้าป้ายน้ำตาสะอึกยิ้ม “พี่ก็” ยินเสียงกุกกักด้านหลัง เจ้าสะดุ้งหันมอง ครั้นเห็นไม่มีใครก็ถอนใจ หันมากล่าว “พี่มาทำไม เดี๋ยวพ่อเจอเข้าจะเกิดเรื่อง วันนี้พี่ไม่เล่นหนังเหรอ?”
“กำไล” เลี่ยมเรียกเสียงแผ่ว “พี่มาลากำไล”
“พี่จะไปแล้ว” สาวเจ้าใจหาย มือไม้ระทวย เขากำลังจะจากไป เอาหัวใจดวงน้อยของเจ้าไปด้วย แล้วกำไลจะอยู่อย่างไร กำไลหน้าสลด นิ่งอึ้ง
“พี่ขออวยพรให้กำไลมีครอบครัวที่ดี อยู่เย็นเป็นสุขสมที่พ่อแม่ตั้งใจ” เลี่ยมพูดตะกุกตะกัก ทุกถ้อยล้วนฝืนคำ
“กำไลไหนเลยอยู่เย็นเป็นสุขได้” เสียงปนสะอื้น สาวเจ้าสีหน้าละห้อยน้ำตาทบถั่ง มือป้ายแก้มดวงตาจ้องมองคนรัก “อีกไม่นานต้องออกเรือนกับคนที่ไม่ได้รัก นับวันคงมีแต่ตกนรกหมกไหม้”
เห็นน้ำตาหญิงคนรักแล้วใจหาย เลี่ยมทอดถอนใจ “เก็บน้ำตาเสียเถอะนะกำไล เราพบกันด้วยรอยยิ้ม พี่ก็อยากจากกันไปด้วยรอยยิ้ม อยากจดจำแต่ใบหน้ายิ้มแย้มของกำไล ระลึกถึงคราใดจะได้รู้ว่ากำไลยังมีความสุข มีชีวิตที่ดี หากภาพสุดท้ายจดจำไว้แต่แก้มเปื้อนน้ำตา ใจพี่ก็คงพะวงแต่จะมาหาให้รู้แน่ว่ากำไลร้องไห้ด้วยเรื่องใด”
“ภาพจำเยี่ยงนั้นจะมีประโยชน์ใด” สาวเจ้าขัด “ก็หากความเป็นจริงกำไลจมอยู่แต่ห้วงทุกข์ร่ำไห้ไม่เว้นวัน”
เลี่ยมก้มหน้าถอนใจ ที่สุดตัดสินใจเด็ดขาด เงยหน้าจ้องมองหญิงคนรัก
“ไปกับพี่เถอะนะกำไล”
สาวเจ้าสะดุ้ง ดวงตากลมโตจ้องมองมาไม่กะพริบ ยินน้ำเสียงเจ้าหนุ่มเคร่งเครียด
“พี่จะหยุดชีวิตร่อนเร่เสียที จะทำไร่ไถนาอยู่กับบ้าน รับแต่งานใกล้บ้าน”
“พ่อคงฆ่ากำไล” สาวเจ้าดวงตาเลื่อนลอย
“พี่จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายกำไล ต่อเป็นพ่อผู้ใหญ่ก็คงต้องคุยกัน”
“ไม่ได้” เจ้างามส่ายหน้า “กำไลจะทิ้งพ่อทิ้งแม่ไปได้อย่างไร ใครจะอยู่ดูแลเมื่อแกแก่เฒ่า”
“ใช่จากกันชั่วชีวิตที่ไหน สักพักรอพ่อผู้ใหญ่แกผ่อนโกรธลงแล้วเราค่อยกลับมาขอขมา”
“แต่พ่อกับแม่ก็คงอับอายชาวบ้านว่าลูกสาวคนเดียวหนีตามชาย”
“ก็แล้วเวลาทั้งชีวิตของลูกสาวคนเดียวที่ต้องแต่งกับคนไม่รักเล่ากำไล ใครมาใส่ใจ”
เจ้านิ่งเงียบ ครุ่นคิดสับสน บุญคุณที่พ่อแม่ให้กำเนิดเลี้ยงดูมาแต่เล็กนั้นใหญ่นัก เจ้าจะตอบแทนด้วยหนีไปเมื่อโตนั้นไม่ควร แต่แววตามาดมั่นตรงหน้าเล่า มองคล้ายจะวอนให้เจ้าเห็นน้ำใจ กำไลส่ายหน้า
“ไม่ได้ดอกพี่...ไม่ได้..”
“พี่เข้าใจแล้ว” เลี่ยมก้มหน้า เสียงสั่น “เป็นธรรมดาคนเรา ย่อมต้องมองอนาคตมั่นคงข้างหน้าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด หากจะต้องฝืนใจอยู่บ้างก็จำทน จดหมายที่บอกไปก็คงแค่หลอกให้พี่ตายใจ ให้พี่หลงเพ้อพกไปคนเดียว แล้วเจ้าก็ลอบยินดีว่าได้มีคนมาหลงปลงใจ ได้เป็นที่รักของใคร ๆ เท่านี้คงสมใจเจ้าแล้ว”
“ไม่ใช่นะพี่เลี่ยม!” กำไลร้อง
“เห็นอยู่ไยจึงไม่ใช่” เลี่ยมดวงตาแดงก่ำ “พี่คงหลงเพ้อไปเพียงเดียว หลงคิดไปว่าจะลงหลักปักฐานสร้างครอบครัว ต่อแต่นี้ไอ้เลี่ยมคงเล่นหนังเร่ไปจนกว่าหมดสิ้นเรี่ยวแรง ก็เพราะวิมานที่มันวาดไว้พังเสียสิ้นแล้ว ไม่เหลืออะไรให้นึกฝันอีกแล้ว”
เลี่ยมโน้มตัวจะผลักเรือออกท่า กำไลเจ้ากุมกราบเรือไว้น้ำตานองหน้า จ้องมองดวงตาชายคนรักแน่วนิ่ง ขยับริมฝีปาก เสียงเจ้าแผ่วเบา
“แล้วพี่อย่าทิ้งกำไลนะ”
เลี่ยมโน้มตัวโอบกอดหญิงคนรักไว้แนบแน่น กำไลร่ำไห้สะอื้นฮักอยู่ในอ้อมกอด พูดซ้ำคำเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า เลี่ยมพยักหน้าลูบหลังสาวเจ้าแผ่วเบา
“ดวงใจของพี่ อ้อมกอดนี้คือชีวิต เจ้าพ้นไปจากอ้อมกอดนี้วันใด วันนั้นคือวันตายของพี่”
น้ำเสียงเหมือนเกราะอุ่นคุ้มครองเจ้าจากภยันตราย สาวเจ้าสะอื้นซบไหล่ เหลียวมองเรือนในเงาตะคุ่ม ลาแล้วฟากฝาที่เคยอาศัยมาแต่เล็ก ลาแล้วอกแม่ที่เคยโอบปลอบเจ้า ที่เคยดูแลยามเจ็บไข้ได้ป่วย
เลี่ยมประคองหญิงคนรักลงนั่งในเรือ ดันเรือออกพ้นท่า
***
เสียงเครื่องยนต์ครางเรียบ แสงไฟจากตัวเรือสะท้อนเงาคลื่นน้ำระยิบไหว คนเดินทางลงมาจับจองที่นั่งในเรือเต็มทั้งบนและล่าง เด็กขายของถือถาดใส่กระทงถั่วต้ม ลูกกอ ลูกหยีเดินไต่กราบเรือ บนสะพานท่าเต็มด้วยผู้คนสัญจรทั้งที่มาส่งและออกเดินทาง เมื่อยังไม่ถึงเวลาเรือออกก็เดินเล่นหาซื้อของกินฆ่าเวลา สะพานท่าพลุกพล่านจอแจ
พงศ์เหวี่ยงตัวโหนปีนจากกราบเรือขึ้นบนชั้นสอง ลูกน้องเลี่ยมนั่งพิงลังข้าวของ พงศ์โผล่หน้าถาม
“ไอ้เลี่ยมยังไม่มารึ?”
“ยังพี่” ลูกน้องเลี่ยมตอบ
“จวนได้เวลาเรือออกแล้วนา” พงศ์เปรย
“พี่เลี่ยมสั่งไว้ว่า หากมาไม่ทัน ให้ไปก่อน แล้วพี่เลี่ยมจะตามไป”
“เอางั้นรึ” พงศ์กลอกตา ปีนกลับ เดินไปดูลูกน้องขนข้องหมูวางท้ายเรือ
***
“ไม่มีเรอะ!” ปานเสียงดังกระแทกเป๊กยาดองลงบนโต๊ะ
“จ้ะพี่” ลูกน้องตอบ
“มึงหาทั่วแล้วแน่นะ” ปานย้ำ
“จ้ะ”
ปานตาขวาง นึกฉงน “ไปไหนของมัน ข้าวของรึก็ขนลงเรือหมดแล้ว มันชักจะยังไงอยู่นา” เจ้าปานพึมพำ
เสียงเครื่องยนต์ปนเสียงผู้คนสับสน คนเดินทางพากันมาลงเรือไม่ขาด ตรอกเชื่อมระหว่างท่าเรือกับถนนผู้คนสวนกันไปมา แสงตะเกียงจ้าวพายุของร้านกาแฟแปะเซ่งสว่างจ้า ปานขยับเก้าอี้ชิดขอบประตูร้าน เอียงตัวหลบคนบนสะพานท่า กวาดตามองลงไปในเรือด่วน
***
แม่ช้อยตักข้าวใส่ปาก มิวายกังวลถึงลูกสาว หันบอกเจ้าแตง
“ไปดูมันหน่อยเถอะวะแตง ป่านนี้ยังไม่ยอมกินข้าวกินปลา”
เจ้าแตงวางช้อนขยับจากสำรับ คลานออกประตู ลงเรือนสาวเท้าตรงไปศาลาท่าน้ำ
“กำไล” เจ้าแตงเรียก
ไม่มีเสียงโต้ตอบ ในศาลาว่างเปล่า กลับขึ้นเรือนบอกกับแม่ช้อย
“ไม่อยู่จ้ะป้า”
“ดูในห้องรึยัง?”
เจ้าแตงเร่งไปที่ห้องกำไล ผลักบานประตู ห้องมืดมิดไม่มีใคร
“ไม่มี สงสัยแอบหนีไปที่งานอีกแล้วกระมัง” เจ้าแตงตะโกนบอก
“อืม..อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวพ่อผู้ใหญ่ได้ยิน” แม่ช้อยบอกเสียงเบา
“กูได้ยินแล้ว!” ผู้ใหญ่ลือตาแดงก่ำยืนค้ำขอบประตู
***
เลี่ยมผูกเรือพายคืนไว้ที่เดิม ปลดผ้าขาวม้าส่งให้กำไล
“พันคลุมหัวไว้จนกว่าจะถึงเรือ”
สาวเจ้ารับผ้ามาพันรอบหัวทบทับไว้เหนือไหล่
“งามไปอีกแบบ” เลี่ยมยิ้มชมวงหน้านวล กำไลฝืนยิ้มทั้งใจระทึก
เลี่ยมขึ้นจากเรือพายเอื้อมมือประคองหญิงคนรักขึ้นท่า เร่งเดินตัดออกไปท่าเรือด่วน
***
เจ้าปานชะเง้อมองในเรือแทบนับคน ครุ่นคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจว่าไอ้นายหนังนั่นหายหัวไปไหน เสียงหวูดดังครั้งสุดท้ายเตือนคนให้มาลงเรือ ยังไม่มีวี่แววจะโผล่มา พวกลูกน้องมันนั่งหน้าสลอนอยู่ในเรือเหมือนไม่ทุกข์ร้อนที่ลูกพี่หายไป มีนิ้วสะกิดหลัง ปานหันมอง
“นั่นไง” ลูกน้องบอก
ปานโยกหัวหลบคนพลุกพล่าน “ไหน?”
“เดินมาโน่นกับผู้หญิงคนนึง” ลูกน้องชี้มือ “ข้างคนแบกกระสอบ”
ปานเพ่งมอง แล้วทะลึ่งพรวด “กำไล”
“จับมันไว้!” คว้าดาบบนโต๊ะโจนออกจากร้านกาแฟ
เลี่ยมกวาดตาระแวดระวังพลางเดินเบียดคน หมายไปที่เรือด่วน เห็นพวกปานแหวกคนตรงมา เลี่ยมคว้ามือกำไลหันกลับ วิ่งฝ่ากลุ่มคนบนสะพานท่า ปานเห็นฝ่ายตรงข้ามหนี ชักดาบออกมาตะโกน
“เฮ้ย! หยุด!” ใช้หลังมือปัดคนขวางแล้วโบกให้ลูกน้องวิ่งออกตรอกไปดักหน้า
คนบนสะพานท่าแตกตื่น เบียดเสียดหลบหนี หลายคนถูกเบียดตกน้ำ ผู้หญิงกรีดร้อง เด็ก ๆ ตื่นตกใจร้องไห้จ้า เลี่ยมจับมือกำไลมั่นพาวิ่งออกจากท่าเรือ เหลียวมองกลับไป ลูกเรือปลดเชือกจากหัวเสาโยนลงเรือแล้วกระโดดตาม แสงไฟสว่างบนผืนน้ำดำมืดกำลังเคลื่อนออกจากท่า พวกปานไล่กระชั้นมา
เลี่ยมวกลงถนนดิน วิ่งเลียบลำคลอง หวังไปดักหน้าเรือด่วน พวกปานสามคนมือถือดาบเปลือยฝักวิ่งออกจากตรอกไล่ตามประชิด เลี่ยมดึงมีดสั้นออกจากเอว บอกกำไล
“วิ่งไปรอพี่ข้างหน้า”
หันกลับชูมีดสั้นขึ้นสูงแล้วควงสะบัด มีดสั้นหมุนคว้างบนมือราวกับมีชีวิต ลูกน้องปานวิ่งถึง เจ้าคนแรกเสือกปลายดาบ เลี่ยมเบี่ยงตัว ตวัดมีดสั้น คมมีกรีดลำแขนเปิดผิวเนื้อเลือดกระเซ็น มันไม่ทันส่งเสียงร้องก็โดนศอกกระทุ้งเต็มหน้า หงายหลังล้มลงในป่าหญ้าข้างทาง สองดาบที่เหลือจ้วงฟันสะเปะสะปะ เลี่ยมก้มหลบ สะบัดคมมีด คนฟันผงะ อีกคนฟันเฉียงมา เลี่ยมปัดคมมีด ดาบแฉลบ เลี่ยมคว้าจับหักพับศอก ดาบร่วง แล้วบิดข้อมือเหวี่ยงมันหาดาบพวกเดียวกัน คนจ้วงฟันชะงักดาบ เลี่ยมโจนข้ามเงื้อเตะเต็มแรง ลูกน้องปานกระเด็นตกในกอผักตบชวาริมคลอง เลี่ยมทิ้งตัวลงพื้นถีบคนที่เหลือตามไป แสงไฟจากเรือด่วนสองชั้นเคลื่อนพ้น จวนออกจากปากบาง พวกปานอีกสี่ห้าคนวิ่งตรงมา เลี่ยมเสียบมีดพกคืนฝักวิ่งตามกำไลไปทางปากบาง
มองเห็นท้องเลสาบสลัวอยู่เบื้องหน้า เลี่ยมร้องเรียก
“กำไล”
สาวเจ้าตัวสั่นมือสั่น รีบวิ่งออกจากข้างทาง
“ทำไงดีล่ะพี่ เรือออกปากบางไปแล้ว”
เลี่ยมหันซ้ายหันขวา ฉุดแขนกำไลวิ่งตัดป่าหญ้า
“ทิ้งกำไลไว้ที่นี่เถอะ พี่หนีเอาชีวิตรอดไปก่อน” เสียงเจ้าเหนื่อยหอบ
“ฟังพี่นะกำไล ไม่ว่าเกิดอะไร พี่จะไม่ทิ้งกำไล” เลี่ยมพูดทั้งวิ่งมือแหวกป่าหญ้าสูงท่วมหัว
ปานกับพวกไล่ตามมาพบพวกตนกระเสือกกระสนขึ้นจากข้างทาง ปานร้องถาม
“มันไปทางไหน!?”
ลูกน้องปานชี้ไปทางปากบาง ปานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กระชับดาบเร่งติดตาม สุดทางดิน เบื้องหน้าเห็นท้องทะเลสาบราบเรียบ ปานหันรีหันขวาง ไร้วี่แววคนทั้งคู่
มีแสงไฟวูบวาบมาตามทางดิน ปานวิ่งไปร้องถาม
“นั่นใคร!?”
“ปานหรือวะนั่น!?” เสียงอีกฝ่ายร้องถาม
เจ้าปานเร่งวิ่งไปหา “พ่อผู้ใหญ่เองรึ”
“เออ” ผู้ใหญ่ลืออ้าปากหอบฮัก “ได้ตัวมั้ย?”
ปานส่ายหน้า “คงซ่อนอยู่แถวนี้แหละพ่อผู้ใหญ่”
“อ้าวเฮ้ย! ฉายไฟหาให้ทั่ว” ผู้ใหญ่ลือสั่งสมุน แสงไฟฉายห้าหกกระบอกกระจายออกทันที
“ระวังด้วยนะมันมีมีด” เจ้าปานบอก
พลันยินเสียงเครื่องเรือกระตุก ทุกคนหันขวับ เครื่องกระตุกอีกสองทีแล้วดังลั่น
“ทางโน้น” เจ้าปานชี้มือ “ไป!”
ทุกคนพากันวิ่งตัดป่าหญ้าไปตามเสียง ถึงชายฝั่งคลองสายเล็กตัดจากคลองใหญ่ ใบพัดเรือหางยาวตีน้ำฟุ้งกระจายแล่นฝ่าความมืดออกไป ปานตวาด
“ตาม!”
ทั้งหมดกระโดดลงเรือหางยาว ลูกน้องปานคว้าเชือกม้วนเพลาเครื่องแล้วดึง เครื่องสำลักทำท่าเหมือนจะติดแล้วเงียบ มันรีบม้วนเชือกกับเพลาอีกครั้ง กระชากสุดแรง ผลเหมือนเดิม ทุกคนหันมองกระสับกระส่าย เจ้าคนติดเครื่องลูบ ๆ คลำ ๆ ไปข้างตัวเครื่อง หันมาบอก
“มันปลดสายน้ำมัน”
ผู้ใหญ่สั่ง “ว่ายไปเอาลำโน้นมา” ชี้มือไปที่เรือฝั่งตรงข้าม
ลูกน้องปานโดดลงน้ำว่ายไปติดเครื่องเรือแล้วเบี่ยงหางเข้าเทียบ พวกปานโดดย้ายขึ้นเรืออีกลำ ผู้ใหญ่ลือเห็นว่าไปหลายคนจะยิ่งถ่วงเรือ ส่งปืนลูกซองให้ปาน
“ปืนผู้ใหญ่ ฆ่าคนไม่มีความผิด อย่าให้มันรอด เอาลูกสาวข้ากลับมา”
“จ้ะพ่อผู้ใหญ่” ปานรับคำ สั่งลูกน้องเร่งเครื่องติดตาม
เสียงเครื่องยันม่าร์ดังลั่นคุ้ง มองเห็นฟุ้งน้ำของเรือลำหน้าอยู่ลิบ ๆ ปานยืนหัวเรือ ยกปืนประทับเล็งแล้วยิงออกไป
“ระวังถูกลูกสาวผู้ใหญ่นา” ลูกน้องเตือน ปานสบถ หันไปเร่งคนขับ “เร็ว ๆ เข้าเว้ย!”
ฟ้าโปร่ง ดวงดาวระยิบ ท้องทะเลสาบราบเรียบ เห็นทิวเขาฝั่งพัทลุงตะคุ่ม เรือนอนสองชั้นแสงไฟสว่างจ้าแข่งแสงดาว ลอยลำไปบนผืนน้ำสีนิล ขณะเงาเล็ก ๆ ซึ่งนำพาความฝัน ความหวังชั่วชีวิตของคนคู่หนึ่งแล่นตรงไปหา
“มันตรงไปที่เรือด่วน” ปานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “กลางเลยังงี้จะหนีไปไหนได้ ไม่รอดแน่มึง” หันตะโกนสั่งคนขับ “เร็วเข้า!”
ใกล้เรือใหญ่เข้าทุกที แสงไฟในเรือเจิดจ้า ปานไม่อาจทนรอ ลุกยืนบนหัวเรือหางยาว พอเรือใกล้เข้าระยะ ปานกระโดดขึ้นบนเรือใหญ่
พงศ์ชะโงกมองจากหน้าต่างด้านหน้า ตะโกนถาม
“คิดปล้นเรือรึไอ้ปาน?”
ปานปีนขึ้นมาห้องถือท้าย กวาดตามองผู้โดยสาร แล้วบอกกับพงศ์
“ข้ามาตามจับไอ้คนลักพาลูกสาวผู้ใหญ่ลือ”
“ลูกสาวผู้ใหญ่ลือถูกลักพา!” พงศ์สีหน้าแตกตื่น “ไอ้คนนั้นมันกินดีหมีดีเสือมาหรือไรถึงได้ใจกล้าปานนั้น”
“อย่ามาตีสีหน้า กูเห็นกับตามันตรงมาที่เรือนี่” ปานเดือดดาล
“เรือหางยาวนั่นใช่มั้ยเล่า?” พงศ์ชี้มือไปที่ฝอยน้ำเป็นเงาข้างลำเรืออีกฟาก
ปานไม่สนใจ พวกอีกสี่ห้าคนตามขึ้นมา ปานสั่ง “ค้น! ค้นให้ทั่ว!”
ลูกน้องปานแยกย้าย ถือดาบเปลือยฝักเดินตัดห้องโดยสาร เห็นใครก้มหน้าหลบพวกมันกระชากผมดูหน้า อีกสองคนแยกไปทางกราบเรือ “ดูในส้วมท้ายเรือด้วย” ปานสั่ง
พงศ์หมุนพังงาเรือสองสามรอบ แล้วนั่งเอกเขนกบนเก้าอี้นายท้าย ปานหลิ่วตามอง เก้าอี้นายท้ายสูงพ้นช่วงเอว ปิดทึบล้อมสี่ห้านเป็นห้องเล็ก ๆ บานประตูมีกุญแจคล้อง
“ในนั้นมีอะไร?” ปานถาม
“ของใช้ส่วนตัว ไม่มีอะไร” พงศ์ตอบ
“เปิด” ปานสั่ง
พงศ์เฉย ปานยกปืนขึ้นเล็ง
“เปิด” สั่งซ้ำ
พงศ์ล้วงกุญแจจากลิ้นชักข้างพังงา เดินมาย่อตัวเสียบเข้าแม่กุญแจแล้วบิด ปานเล็งปืนไปที่บานประตู
“เปิดช้า ๆ”
พงศ์เหลือบมอง สีหน้าพะอืดพะอม “แต่..”
“เปิดช้า ๆ”
ปานกระชับปืน ประสาทตึงเครียดจ้องที่เก้าอี้นายท้าย ผู้โดยสารนั่งไกลถึงกับชะเง้อมอง
พงศ์เปิดบานประตูออก ทุกคนอ้าปากค้างตาค้าง พงศ์เสียงอ่อย
“คือเที่ยวนี้เมียกูมาด้วย มันอายไม่รู้ตากกางเกงในที่ไหน ทีนี้พอใจยัง?”
ปานลดปืน ส่ายหน้าผ่อนลมหายใจ พวกลูกน้องปานกลับมามือเปล่า ปานหงุดหงิด
“พวกมึงหาทุกซอกทุกมุมแล้วหรือวะ?”
ลูกน้องรับคำ ปานตะคอก “บนหลังคาล่ะ” ลูกน้องพยักหน้า ปานหัวเสียหันเห็นลูกน้องเลี่ยมนั่งพิงลังข้าวของ เดินเข้าไปเตะลังไม้
“ในนี้มีอะไร?” ปานถาม
“ตัวหนัง” ลูกน้องเลี่ยมบอก
“เปิด!” ปานสั่ง
ลูกน้องเลี่ยมมองหน้ากัน แล้วก็คลานไปปลดกุญแจ
“เร็ว ๆ ซีเว้ย!” ปานตะคอกเหวี่ยงขาเตะเข้าชายโครงลูกน้องเลี่ยม เจ้าคนนั้นกระเด็นไปทางพรรคพวก
“อยู่บนเรือห้ามทำร้ายผู้โดยสาร” พงศ์บอก
“กูจะทำ มึงจะทำไม?” ปานตั้งท่าจะระบายอารมณ์กับลูกน้องเลี่ยมอีก
พงศ์ดึงดาบจากใต้ลิ้นชักพังงา สะบัดชี้ที่ปาน “มึงก็ลองถามดาบกูนี่”
ปานกวาดตามอง พวกลูกเรือยามนี้ยืนถือดาบล้อมไว้ทุกด้าน พงศ์พูดเสียงเครียด
“ค้นทั่วแล้วมึงก็ไสหัวไป บนเรือกูมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยผู้โดยสาร หากมึงยังขืนอาละวาด กูจะจับโยนทะเลให้หมด”
ลูกน้องปานเข้ามากระซิบ “มันอาจถ่วงเวลาหลอกให้เราค้นหาในเรือใหญ่ แล้วหนีไปกับเรือหางยาวลำนั้น”
ปานสะดุ้งโหยง เร่งสั่งลูกน้อง
“ลงเรือ!”
สบตาพงศ์เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแล้วเร่งตามลูกน้องลงเรือหางยาว
พงศ์ยืนมือเท้าขอบหน้าต่าง มองเรือพวกปานแล่นห่างออกไป ที่ไกลลิบยังเห็นฟองฟุ้งน้ำใต้แสงดาว
“ตามให้ทันนะเว้ย!” พงศ์ตะโกน
***
ห่างออกไป เรือหางยาวน้ำมันหมดลอยโยกโยนโล้คลื่นลม เรือหางยาวอีกลำเร่งตามประชิดเข้ามา ปานยกปืนขึ้นประทับเตรียมยิง
เรือตรงหน้าลอยเท้งเต้ง หางจุ่มน้ำ คันถือมีเชือกผูกยึดไว้  ปานชะงัก ลดปืนลง เหลียวมองไปทางเรือด่วน
แสงไฟเหลือเพียงดวงเล็ก ๆ ไกลลิบตา
***
พงศ์ปีนลงกราบเรือ มุดเข้าบริเวณที่นั่งผู้โดยสารชั้นล่าง คนโดยสารกระถดหลบ พงศ์ตลบเสื่อลากวางไว้ข้าง ดึงฝาปิดท้องเรือขึ้น
“พวกมันไปกันแล้ว” พงศ์บอก
กำไลสีหน้าตื่น ค่อย ๆ โผล่ขึ้นจากเงามืด ผมเผ้าเต็มด้วยเส้นไยเชือกป่านกระสอบข้าวสาร เลี่ยมตามขึ้นมาสภาพไม่ต่างกัน พงศ์ปิดฝาครอบลากเสื่อคลุมไว้อย่างเดิม คนโดยสารคลานกลับมานั่งส่งยิ้มกับหนุ่มสาวทั้งคู่
“ขอบใจว่ะพงศ์” เลี่ยมตบหลังเพื่อนเกลอ
พงศ์มองเลี่ยมแล้วหันมองกำไลแล้วหันมองเลี่ยมแล้วหันมองกำไล จับมือคนทั้งคู่ประกบกันหันประกาศกับผู้โดยสารทั้งลำเรือ
“นายหนังจูเลี่ยมเสียงทองกำลังจะแต่งกับกำไลลูกสาวผู้ใหญ่ลือครับ”
พวกคนโดยสารทั้งลำเรือปรบมือโห่ร้อง เลี่ยมมองหญิงสาวซึ่งตนหมายร่วมชีวิตด้วยแววตามุ่งมั่น กำมือแบบบางไว้แน่น กำไลเจ้าก้มยิ้มแก้มเรื่อ 
-จบ-