stock-photo-red-blood-splatter-with-kitchen-knife-in-background-shallow-dof-33421195ผมล่ะเบื่อ!

เบื่อพวกนักเขียนเรื่องหฤโหดสยองขวัญอะไรพวกนั้น  แต่ละคนพยายามบรรยายให้ผู้อ่านประทับใจ เห็นภาพ ได้ยินเสียง ได้กลิ่น กระทั่งคำว่า 'กลิ่นชวนคลื่นเหียน' ก็บอกออกมาโต้ง ๆ อยากรู้นัก ไอ้กลิ่นที่ว่ามันเป็นอย่างไร  บรรยายอย่างนั้นเคยได้กลิ่นจริง ๆ บ้างไหม  มีสักกี่คนที่เคยพบเหตุการณ์สยดสยองมาจริง ๆ ประสบเหตุฆาตกรรมหรือเคยลงมือทิ่มปลายมีดเข้าไปสำรวจโลกลี้ลับของชีวิตสัมผัสแรงสะท้อนคราปลายคมมีดปะทะลิ่มกระดูกเข้าจริง ๆ นั่นเป็นรสสัมผัสที่นำมาบรรยายกันได้หรืออย่างไร  ยิ่งอ่านยิ่งพบว่าพวกนั้นนั่งเทียน จงใจยัดเยียดขยะแขยงให้ผู้อ่านอย่างน่ารำคาญ

รู้ทั้งรู้ว่าพวกกำมะลอผมก็ยังอ่าน อ่านอย่างใจจดใจจ่อมันเป็นทั้งความบันเทิงและสนองจิตใต้สำนึกที่คอยร่ำหา

กลิ่นอากาศอับชื้น  เสียงเต้นของหัวใจที่สูบฉีดเลือดไปยังความว่างเปล่าเหมือนปลายท่อน้ำถูกวางทิ้งไว้ในสวน  ระดับอะดรีนาลีนที่แทบทะลัก..กลิ่น

อา..กลิ่นคาวเลือด

เลือดเป็นของเล่นใกล้มือที่พวกนั้นนิยมเอามาเล่นบ่อย ๆ หยิบใช้ง่ายได้ผลชะงัด  แต่หากวันใดคุณไปพ้นจากความเป็นมือสมัครเล่นเลือดจะไม่มีความหมายกับคุณมากไปกว่าของเหลวหนืด ๆ และกลิ่นคาวเหมือนปลาเน่าค้างคืน  ผมลองหลับตาสูดลมหายใจลึก แล้วควานหาความรู้สึกอะไรสักอย่างข้างใน

เปล่า..ไม่มีอะไร

คราบเลือดเลอะถุงมือยางอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก  ไม่มีความรู้สึกอะไรมากไปกว่ากลิ่นคาว บนโต๊ะขณะนี้ หากปล่อยให้นักเขียนพวกนั้นพบเข้าคงพยายามบรรยายจนผู้อ่านเห็นภาพ ไม่มากไปกว่านั้น  ก็เพราะพวกเขาเป็นแค่นักบรรยาย  ไม่มีวันเข้าถึงความรู้สึกลึกล้ำพ้นไปจากภาพที่เห็น  มีอะไรมากไปกว่านั้นคุณรู้ดี  มีแต่ผู้ลงมือกระทำจึงสัมผัสมัน

มุสโสลินีแห่งวงการสยองขวัญนายสตีเฟ่น คิงก์ หมอนี่เป็นจอมทักษะตาคมเป็นใบมีดโกน มองปราดเดียวก็รู้ว่าควรหยิบจับตรงไหน แค่ไหน มาบอกเล่าเพื่อสะกดผู้อ่านไม่เป็นอันตั้งสติสะตังค์  ครั้งหนึ่งหมอเคยสั่งให้ตัวละครกระทืบหมา  แค่กระทืบหมา  พ่อก็กระทืบซะจนคุณยายจากฟิลาเดอเฟืยเขียนจดหมายมาต่อว่า 'แกมันสารเลว รังแกสัตว์'  นายสตีวี่นั่งขำเอิ๊กอ๊าก  ก็รู้อยู่แก่ใจในชีวิตอย่าถึงกระทืบเลยคิดเตะหมาสักป้าบยังไม่เคย  หากเป็นผมล่ะ หึ หึ

เมือกเลือดมีความลื่น ลื่นอย่างวายร้าย ผมต้องเกร็งแขนขณะเฉือนใบมีดผ่านแนวผังผืดยึดกล้ามเนื้อ ช่วงนี้ให้ความรู้สึกดีที่สุด ต้องใช้ทักษะที่สุด  ผมยังไม่อยากให้มันจบลงอย่างรวดเร็ว  นี่เป็นงานศิลปะไม่ใช่งานสั่ว ๆ อย่างพวกนักเขียนพยายามทำให้เป็น

ผมเคยหลงใหลได้ปลื้มไปกับบทบรรยายพวกนั้น  จนวันหนึ่งผมทดลองด้วยมือตัวเองจึงได้พบว่าก้าวพ้นความเป็นมือสมัครเล่น  รสสัมผัสลึกกว่าแค่อ่านบทบรรยายกำมะลอเป็นไหน ๆ ลึกล้ำจนผมอยากเขียนออกมาบ้าง  อยากแสดงให้พวกนั้นเห็นว่าสุนทรียะของความสยดสยองที่แท้เป็นอย่างไร

ครั้งที่เมียคนก่อนหายตัวไป ผมเลยลงมือเขียน

พวกตำรวจตรวจค้นทั่วบ้าน (รื้อถังเขลอะกระจุย--นี่สิความคลื่นเหียนที่แท้จริง) แล้วก็พบเศษเล็บในจานอาหารหมาเหมือนจะทิ้งร่องรอย 'แน่จริงตามมา' พวกตำรวจสันนิษฐานกันไปว่าคนร้ายอาจย่อยร่างหล่อนแล้วเอาให้หมากิน  เป็นอันไอ้สจ๊วตดวงซวยถูกล้างท้องขนานใหญ่  แต่ไม่พบหลักฐานใดเพิ่มเติม

ผมน่ะเหรอ?

บีบน้ำตาไปหลายกะละมัง  จะว่าไป-หล่อนหายจากโลกเสียได้ล่ะดี ขี้บ่น เอาแต่ใจก็ปานนั้น  พาลหาเรื่องไม่เว้นวันจนผมแทบหาเวลาสงบอารมณ์ไม่ได้ ใกล้บ้าเข้าทุกที

ตำรวจบังเอิญค้นเจองานเขียนชิ้นแรกในชีวิตของผมเข้า เลยถูกสอบสวนมาราธอน  ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า  ที่สุดก็ยอมปล่อยตัว  เพื่อหมดปัญหาผมตัดใจทิ้งงานเขียนระดับมาสเตอร์พีซ ขายบ้านแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่

ดวงตากลมใสจ้องผมแน่วนิ่งเหมือนตั้งคำถาม  ผมให้คำตอบด้วยการส่งคมมีดบางกริบผ่านกระดูกข้อต่อต้นคอแยกส่วนหัวออกมาวางตรงหน้า  ดวงตาเบิกกว้างยังจ้องผมไม่กะพริบ แน่ล่ะ ไม่กะพริบ

เป็นโสดอยู่ไม่นานผมก็พบคนถูกใจ  เพียบพร้อมรูปร่างหน้าตา อุปนิสัยใจคอ เซ็กส์ที่ร้อนแรง ข้อสำคัญหล่อนไม่ได้โวยวายที่วัน ๆ ผมไม่ออกไปทำงานทำการเอาแต่นั่งอ่านนิยายสยองขวัญ

แต่คุณเอ๊ย ผู้หญิงก็คือผู้หญิงวันยังค่ำ

อยู่กันนาน ๆ เริ่มออกลาย คราวนี้หนักกว่าคนเก่า อารมณ์ไม่แน่ไม่นอน คำพูดที่เคยหัวเราะกันลั่นบ้านวันดีคืนดีเธอกลับโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนผมตาค้างไม่รู้แม่คุณจะเอาไง ซ้ำร้ายผมชักสงสัยว่าหล่อนนอกใจ ที่ไม่โวยเรื่องผมหมกอยู่แต่กับบ้านเป็นเพราะจะได้มีเวลาไปขลุกกับไอ้คนขับรถฟอร์จูนเนอร์ขาว  นานเข้าผมชักไม่อยากทนอีกต่อไป

ผมจ้องมองเข้าในดวงตากลมใสแล้วฉีกยิ้ม  คุณคงมองออก เป็นยิ้มของความพึงใจ อิ่มเอม ความรู้สึกล้ำลึกย้อนกลับมาอีกครั้งหลังจากว่างเว้นไปนาน  ผมสูดหายใจลึก ลึกลงไปให้สุดปอดฝังความรู้สึกยอดเยี่ยมไว้ตรงนั้น เพื่อทยอยนำออกมาดื่มด่ำอีกในภายหลัง  ผมใช้สองมือประคองส่วนหัวตั้งบนพื้นโต๊ะแต่เสียสมดุล  ขณะกำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไรต่อดี  มีเสียงก๊อกแก๊กผมสะดุ้งมอง 

ประตูดีดผลัวะ!

เอมอรหอบข้าวของเต็มแขนเดินเข้ามา 

"อี๊..กลิ่นไรน่ะ?"  หล่อนปล่อยของลงบนโต๊ะ

"เมนูดินเนอร์”  ผมบอก  “สเต็กเซลม่อน"  ผมรู้ว่าเป็นเมนูโปรด

"ว้าว..คุณได้เซลม่อนมาจากไหน?"

"คุณคิดว่าจากไหนล่ะ?"

"สดแน่นะ!"

"ปลาจะสดต้องดูที่ตา"  ผมยิ้มมองดวงตากลมใส

เอมอรตรงเข้าห้อง  "ช่วยเก็บของที่ซื้อมาให้ด้วย  วันนี้เหนื่อยจัง  คุณช่วยเอาดรายเป่าผมไปคืนณีให้หน่อย  อ้อ  เอาผ้าไปร้านซักด้วยนะคะ  ยังมี  ตะกี้สวนกับคุณกำจร  เขาบอกว่าสจ๊วตมันขี้ทิ้งไว้ที่สนามหญ้าแน่ะคุณช่วยไปดูให้ที"  สั่งเสร็จหายวับเข้าในห้อง  เสียงประตูปิดดังปัง! มีเสียงตะโกนตามหลัง  "ทำไมวันนี้ถึงยังไม่จัดห้องคะ?"

หนังสยองขวัญฮอลลิวู้ดยุคต้นปีเก้าศูนย์นิยมจบแบบให้ตัวเอกโผกอดกันหลังผ่านเรื่องราวสยดสยองและคนอื่น ๆ ตายหมดแล้ว  ภาพจะซูมใบหน้าตัวเอกที่รอดชีวิตและรอยยิ้มชั่วร้าย

ผมคิดว่าจะจบแบบนั้นล่ะ

จบ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น