เบื่อพวกนักเขียนเรื่องหฤโหดสยองขวัญอะไรพวกนั้น แต่ละคนพยายามบรรยายให้ผู้อ่านประทับใจ เห็นภาพ ได้ยินเสียง ได้กลิ่น กระทั่งคำว่า 'กลิ่นชวนคลื่นเหียน' ก็บอกออกมาโต้ง ๆ อยากรู้นัก ไอ้กลิ่นที่ว่ามันเป็นอย่างไร บรรยายอย่างนั้นเคยได้กลิ่นจริง ๆ บ้างไหม มีสักกี่คนที่เคยพบเหตุการณ์สยดสยองมาจริง ๆ ประสบเหตุฆาตกรรมหรือเคยลงมือทิ่มปลายมีดเข้าไปสำรวจโลกลี้ลับของชีวิตสัมผัสแรงสะท้อนคราปลายคมมีดปะทะลิ่มกระดูกเข้าจริง ๆ นั่นเป็นรสสัมผัสที่นำมาบรรยายกันได้หรืออย่างไร ยิ่งอ่านยิ่งพบว่าพวกนั้นนั่งเทียน จงใจยัดเยียดขยะแขยงให้ผู้อ่านอย่างน่ารำคาญ
รู้ทั้งรู้ว่าพวกกำมะลอผมก็ยังอ่าน อ่านอย่างใจจดใจจ่อมันเป็นทั้งความบันเทิงและสนองจิตใต้สำนึกที่คอยร่ำหา
กลิ่นอากาศอับชื้น เสียงเต้นของหัวใจที่สูบฉีดเลือดไปยังความว่างเปล่าเหมือนปลายท่อน้ำถูกวางทิ้งไว้ในสวน ระดับอะดรีนาลีนที่แทบทะลัก..กลิ่น
อา..กลิ่นคาวเลือด
เลือดเป็นของเล่นใกล้มือที่พวกนั้นนิยมเอามาเล่นบ่อย ๆ หยิบใช้ง่ายได้ผลชะงัด แต่หากวันใดคุณไปพ้นจากความเป็นมือสมัครเล่นเลือดจะไม่มีความหมายกับคุณมากไปกว่าของเหลวหนืด ๆ และกลิ่นคาวเหมือนปลาเน่าค้างคืน ผมลองหลับตาสูดลมหายใจลึก แล้วควานหาความรู้สึกอะไรสักอย่างข้างใน
เปล่า..ไม่มีอะไร
คราบเลือดเลอะถุงมือยางอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ไม่มีความรู้สึกอะไรมากไปกว่ากลิ่นคาว บนโต๊ะขณะนี้ หากปล่อยให้นักเขียนพวกนั้นพบเข้าคงพยายามบรรยายจนผู้อ่านเห็นภาพ ไม่มากไปกว่านั้น ก็เพราะพวกเขาเป็นแค่นักบรรยาย ไม่มีวันเข้าถึงความรู้สึกลึกล้ำพ้นไปจากภาพที่เห็น มีอะไรมากไปกว่านั้นคุณรู้ดี มีแต่ผู้ลงมือกระทำจึงสัมผัสมัน
มุสโสลินีแห่งวงการสยองขวัญนายสตีเฟ่น คิงก์ หมอนี่เป็นจอมทักษะตาคมเป็นใบมีดโกน มองปราดเดียวก็รู้ว่าควรหยิบจับตรงไหน แค่ไหน มาบอกเล่าเพื่อสะกดผู้อ่านไม่เป็นอันตั้งสติสะตังค์ ครั้งหนึ่งหมอเคยสั่งให้ตัวละครกระทืบหมา แค่กระทืบหมา พ่อก็กระทืบซะจนคุณยายจากฟิลาเดอเฟืยเขียนจดหมายมาต่อว่า 'แกมันสารเลว รังแกสัตว์' นายสตีวี่นั่งขำเอิ๊กอ๊าก ก็รู้อยู่แก่ใจในชีวิตอย่าถึงกระทืบเลยคิดเตะหมาสักป้าบยังไม่เคย หากเป็นผมล่ะ หึ หึ
เมือกเลือดมีความลื่น ลื่นอย่างวายร้าย ผมต้องเกร็งแขนขณะเฉือนใบมีดผ่านแนวผังผืดยึดกล้ามเนื้อ ช่วงนี้ให้ความรู้สึกดีที่สุด ต้องใช้ทักษะที่สุด ผมยังไม่อยากให้มันจบลงอย่างรวดเร็ว นี่เป็นงานศิลปะไม่ใช่งานสั่ว ๆ อย่างพวกนักเขียนพยายามทำให้เป็น
ผมเคยหลงใหลได้ปลื้มไปกับบทบรรยายพวกนั้น จนวันหนึ่งผมทดลองด้วยมือตัวเองจึงได้พบว่าก้าวพ้นความเป็นมือสมัครเล่น รสสัมผัสลึกกว่าแค่อ่านบทบรรยายกำมะลอเป็นไหน ๆ ลึกล้ำจนผมอยากเขียนออกมาบ้าง อยากแสดงให้พวกนั้นเห็นว่าสุนทรียะของความสยดสยองที่แท้เป็นอย่างไร
ครั้งที่เมียคนก่อนหายตัวไป ผมเลยลงมือเขียน
พวกตำรวจตรวจค้นทั่วบ้าน (รื้อถังเขลอะกระจุย--นี่สิความคลื่นเหียนที่แท้จริง) แล้วก็พบเศษเล็บในจานอาหารหมาเหมือนจะทิ้งร่องรอย 'แน่จริงตามมา' พวกตำรวจสันนิษฐานกันไปว่าคนร้ายอาจย่อยร่างหล่อนแล้วเอาให้หมากิน เป็นอันไอ้สจ๊วตดวงซวยถูกล้างท้องขนานใหญ่ แต่ไม่พบหลักฐานใดเพิ่มเติม
ผมน่ะเหรอ?
บีบน้ำตาไปหลายกะละมัง จะว่าไป-หล่อนหายจากโลกเสียได้ล่ะดี ขี้บ่น เอาแต่ใจก็ปานนั้น พาลหาเรื่องไม่เว้นวันจนผมแทบหาเวลาสงบอารมณ์ไม่ได้ ใกล้บ้าเข้าทุกที
ตำรวจบังเอิญค้นเจองานเขียนชิ้นแรกในชีวิตของผมเข้า เลยถูกสอบสวนมาราธอน ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ที่สุดก็ยอมปล่อยตัว เพื่อหมดปัญหาผมตัดใจทิ้งงานเขียนระดับมาสเตอร์พีซ ขายบ้านแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่
ดวงตากลมใสจ้องผมแน่วนิ่งเหมือนตั้งคำถาม ผมให้คำตอบด้วยการส่งคมมีดบางกริบผ่านกระดูกข้อต่อต้นคอแยกส่วนหัวออกมาวางตรงหน้า ดวงตาเบิกกว้างยังจ้องผมไม่กะพริบ แน่ล่ะ ไม่กะพริบ
เป็นโสดอยู่ไม่นานผมก็พบคนถูกใจ เพียบพร้อมรูปร่างหน้าตา อุปนิสัยใจคอ เซ็กส์ที่ร้อนแรง ข้อสำคัญหล่อนไม่ได้โวยวายที่วัน ๆ ผมไม่ออกไปทำงานทำการเอาแต่นั่งอ่านนิยายสยองขวัญ
แต่คุณเอ๊ย ผู้หญิงก็คือผู้หญิงวันยังค่ำ
อยู่กันนาน ๆ เริ่มออกลาย คราวนี้หนักกว่าคนเก่า อารมณ์ไม่แน่ไม่นอน คำพูดที่เคยหัวเราะกันลั่นบ้านวันดีคืนดีเธอกลับโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนผมตาค้างไม่รู้แม่คุณจะเอาไง ซ้ำร้ายผมชักสงสัยว่าหล่อนนอกใจ ที่ไม่โวยเรื่องผมหมกอยู่แต่กับบ้านเป็นเพราะจะได้มีเวลาไปขลุกกับไอ้คนขับรถฟอร์จูนเนอร์ขาว นานเข้าผมชักไม่อยากทนอีกต่อไป
ผมจ้องมองเข้าในดวงตากลมใสแล้วฉีกยิ้ม คุณคงมองออก เป็นยิ้มของความพึงใจ อิ่มเอม ความรู้สึกล้ำลึกย้อนกลับมาอีกครั้งหลังจากว่างเว้นไปนาน ผมสูดหายใจลึก ลึกลงไปให้สุดปอดฝังความรู้สึกยอดเยี่ยมไว้ตรงนั้น เพื่อทยอยนำออกมาดื่มด่ำอีกในภายหลัง ผมใช้สองมือประคองส่วนหัวตั้งบนพื้นโต๊ะแต่เสียสมดุล ขณะกำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไรต่อดี มีเสียงก๊อกแก๊กผมสะดุ้งมอง
ประตูดีดผลัวะ!
เอมอรหอบข้าวของเต็มแขนเดินเข้ามา
"อี๊..กลิ่นไรน่ะ?" หล่อนปล่อยของลงบนโต๊ะ
"เมนูดินเนอร์” ผมบอก “สเต็กเซลม่อน" ผมรู้ว่าเป็นเมนูโปรด
"ว้าว..คุณได้เซลม่อนมาจากไหน?"
"คุณคิดว่าจากไหนล่ะ?"
"สดแน่นะ!"
"ปลาจะสดต้องดูที่ตา" ผมยิ้มมองดวงตากลมใส
เอมอรตรงเข้าห้อง "ช่วยเก็บของที่ซื้อมาให้ด้วย วันนี้เหนื่อยจัง คุณช่วยเอาดรายเป่าผมไปคืนณีให้หน่อย อ้อ เอาผ้าไปร้านซักด้วยนะคะ ยังมี ตะกี้สวนกับคุณกำจร เขาบอกว่าสจ๊วตมันขี้ทิ้งไว้ที่สนามหญ้าแน่ะคุณช่วยไปดูให้ที" สั่งเสร็จหายวับเข้าในห้อง เสียงประตูปิดดังปัง! มีเสียงตะโกนตามหลัง "ทำไมวันนี้ถึงยังไม่จัดห้องคะ?"
หนังสยองขวัญฮอลลิวู้ดยุคต้นปีเก้าศูนย์นิยมจบแบบให้ตัวเอกโผกอดกันหลังผ่านเรื่องราวสยดสยองและคนอื่น ๆ ตายหมดแล้ว ภาพจะซูมใบหน้าตัวเอกที่รอดชีวิตและรอยยิ้มชั่วร้าย
ผมคิดว่าจะจบแบบนั้นล่ะ
จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น