จาก : readbook.biz

สัมภาษณ์โดย Jonathan Veitch
แปลและเรียบเรียง จิตราภรณ์ วนัสพงศ์
นิตยสารดีเคด ปีที่ 1 ฉบับที่ 11 กุมภาพันธ์ 2535

ลุยส์ ลามูร์ คือนักเขียนนวนิยายลูกทุ่งตะวันตกนามอุโฆษ ผลงานของเขาติดอันดับขายดีของ “นิวยอร์ค ไทม์” อย่างสม่ำเสมอ และเมื่อปี 1984 ประธานาธิบดีเรแกนแสดงความชื่นชมผลงานของลามูร์ โดยมอบเหรียญตรา Presidentid Medal of Freedom ให้เขา นับเป็นเกียรติยศสูงสุดของพลเรือน

หนุ่มใหญ่ รูปหล่อ ท่าทางสมถะ จึงได้มาเล่าเรื่องราวของนักสู้นักบุกเบิกและสงคราม ให้ผู้อ่านของเขาได้ฟังด้วยน้ำเสียงทุ้มและก้องกังวาน ผู้อ่านของเขาทราบดีว่า เรื่องที่เขาเขียนนั้นเคยเกิดขึ้นจริงๆ

พวกคุณอยู่ในสมัย “โอลด์ เวสต์” เมื่อศตวรรษที่ผ่านมา คุณคิดว่าคุณจะทำอะไร

ผมจะต้องทำงานที่ถูกกฎหมายอย่างแน่นอน บางทีอาจจะทำหนังสือพิมพ์ ทำไร่ปศุสัตว์ หรือผมอาจจะเป็นนักสำรวจก็ได้

นอกจากการเขียนหนังสือแล้ว ยังมีศาสตร์สาขาไหนที่ดึงดูดใจคุณมากที่สุด

โบราณคดี เมื่อยังเด็ก ผมเคยอยากเป็นทหาร แต่ไม่ใช่ทหารธรรมดานะผมฝันจะเป็นนักรบ ออกไปรบทุกที่ที่มีสงคราม แต่จริงๆแล้วผมอยากเป็นนักโบราณคดีมากกว่าอย่างอื่น

ทำไมคุณถึงเลือกเขียนเรื่องเกี่ยวกับตะวันตก

ผมไม่ได้เป็นคนเลือกเขียนเรื่องตะวันตก แต่เรื่องตะวันตกเป็นผู้เลือกผม ผมใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ที่นอร์ธ ดาโกต้า ซึ่งไม่ใช่ดินแดนตะวันตกเลย สำหรับผมแล้ว ตะวันตกหมายถึงเมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำมิสซูรี่นี่เต็มไปด้วยฝูงวัวควาย แต่อย่างไรก็ตาม ตอนเด็กๆคุณตาของผมมักจะเชิญพวกอินเดียนแดงที่เคยรบกับท่านในสมัยก่อนมาที่บ้าน พวกเขาจะนั่งล้อมวงกันที่สนาม แม่ผมจะเอาน้ำชากาแฟออกมาต้อนรับ พวกเขาจะเติมน้ำตาลใส่ถ้วยคราวละมากๆ ก่อนจะเล่าเรื่องราวในอดีต เช่นว่าพวกเขาจะโจมตีชาวผิวขาวอย่างไร แล้วชาวผิวขาวจะโต้ตอบพวกเขาอย่างไร เหมือนกับการเล่นฟุตบอลอย่างนั้นแหละ ดังนั้นบ้านคือสถานที่แรกที่ผมได้สั่งสมเรื่องราวในสมัยก่อนไว้ได้มาก

เมื่อผมอายุได้สิบห้า ผมก็ออกจากบ้านมาเผชิญโชคตามลำพัง ผมเร่ร่อนไปทั่วเท็กซัส อริโซนา และโคโลราโด ผมได้พบคนเฒ่าคนแก่มากมาย ซึ่งเป็นนักเล่าเรื่องเก่าๆ ทำให้ผมได้รู้ว่าสมัยก่อนอะไรเป็นอะไร หนังสือบางเล่มที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทำเหมือง เช่น The Comstock Lode นั้น ผมได้เค้าโครงเรื่องมาจากคนงานที่ทำงานเหมืองนั้นจริงๆ ใช่ล่ะ ผมเองก็ต้องเคยเป็นคนงานทำเหมืองมาก่อนด้วย ถึงเขียนได้ขนาดนั้น

หลังจากนั้น ผมก็ไปลอยชายอยู่แถวนิวเม็กซิโก ได้พบกับคนที่ขี่ม้ากับบิลลี่ เดอะ คิด ผมได้รู้จักกับนักแม่นปืนหลายคน ประมาณเอาว่าแต่ละเมืองที่ผมได้ไปเหยียบผมได้รู้จักกับพวกนี้ไม่ต่ำกว่า 30 คน
แต่ถึงขนาดนี้ ผมก็ยังไม่ได้สนใจจะเขียนเรื่องตะวันตก ผมยังคงท่องเที่ยวไปถึงตะวันออกไกล และที่นั่นเองสร้างแรงบันดาลใจให้ผม ผมจึงเขียนเรื่องสั้นขึ้นจำนวนหนึ่ง เป็นเรื่องตะวันตกและเรื่องแนวสืบสวนสอบสวน แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับโทรศัพท์จากบรรณาธิการหนังสือที่มีเรื่องสั้นแนวตะวันตกของผม เขาบอกกับผมว่า “ฟังนะ เรื่องสั้นของคุณนี่มันมีนวนิยายแทรกอยู่ทีเดียว คุณอย่าทิ้งขว้างพรสวรรค์ของคุณ เขียนนวนิยายส่งมาสิ ผมจะพิมพ์เอง” ผมก็เลยลงมือเขียนนวนิยายให้เขาพิมพ์ ซึ่งก็คือเรื่อง Hondo ต่อมา จอห์น เวย์น ก็ซื้อลิขสิทธิ์ไป และนี่คือจุดเริ่มของการเขียนนวนิยายตะวันตกของผม เรื่องราวของผมเก้าเล่มจากสิบสามเล่มแรก ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างภาพยนตร์

เป็นการเริ่มที่ดีทีเดียว คุณคิดว่าทำไมภาพยนตร์ตะวันตกจึงได้รับความนิยมสูงมาก

เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

ก็จริง แต่ที่น่าสนใจคือขณะที่ภาพยนตร์ตะวันตกเสื่อมความนิยมลง นวนิยายตะวันตกของคุณกลับประสบความสำเร็จอย่างงดงามมาก คุณมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร

เสียดายที่คนสร้างหนังที่ไร้คุณภาพออกมา เป็นหนังที่ปราศจากกลิ่นอายของตะวันตกโดยสิ้นเชิง ใครๆจึงพูดกันว่าภาพยนตร์ตะวันตกถึงกาลอวสานแล้ว ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาจึงไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตะวันตกเลย

แล้วคุณคิดว่าอะไรเป็นสิ่งดึงดูดใจผู้ชมภาพยนตร์ตะวันตกเป็นสิ่งแรก

สุภาพบุรุษบนหลังม้าเป็นวีรบุรุษเสมอ ในภาพยนตร์แต่ละเรื่องคาวบอยจะเป็นตัวแทนของความอิสระเสรี ควบม้าภายใต้อาทิตย์อัสดง นำให้คนที่ต้องหน้าดำคร่ำเครียดหน้าเครื่องคิดเลขหรือเครื่องพิมพ์ดีดรู้สึกปลดปล่อยและผ่อนคลาย

ใครเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่สามารถจับความรู้สึกแบบตะวันตกมาไว้บนจอภาพยนตร์ได้ยอดเยี่ยมที่สุด ตามความเห็นของคุณ

จอห์น ฟอร์ด เขาละเอียดกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่น ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของนักสู้ชาวอินเดียนแดงเป็นชาวไอริช ในภาพยนตร์เรื่อง She Wore a Yellow Ribbon ฟอร์ดละเมียดละไมกับอารมณ์ตัวละครมากกว่าจะพะวงถึงฉากแอ็กชั่นดุเดือด ผมยังจำได้ ฉากหนึ่ง ทหารกลุ่มหนึ่งร้องเพลงอวยพรให้กับจอห์น เวน และภรรยาของเขา ซึ่งนี่เป็นจุดเด่นของชาวตะวันตก สิ่งเล็กน้อยน่ารักแบบนี้เกิดขึ้นเสมอๆ แต่ผู้สร้างภาพยนตร์ส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจเลย กลับเน้นไปที่บทบู๊ ทำให้หนังขาดเสน่ห์ของตะวันตก นอกจากเรื่องนี้อีกเรื่องหนึ่งที่ผมประทับใจตลอดกาลก็คือ Jeremiah Johnson ของซิดนีย์ พอลแล็ค ด้วยเหตุผลแบบเดียวกัน



พระเอกหนังคาวบอยคนไหนที่สร้างบรรยากาศแบบ “โอลด์ เวสต์” ได้ดีที่สุดในความคิดคุณ

จอห์น เวย์น เขาแสดงออกถึงความรู้สึกแบบตะวันตกได้ดีกว่าคนอื่น ไม่มีนักแสดงคนไหนมีความสามารถในการแสดงหนังคาวบายได้ดีเท่าจอห์น เวย์น ทันทีที่เขาก้าวเข้าฉาก เขาก็สามารถสร้างบรรยากาศแบบตะวันตกได้ทันที ผมเขียนนวนิยายไว้เรื่องหนึ่ง ผมอยากให้จอห์น เวย์นเล่นเป็นพระเอกมากที่สุด พระเอกในบทถูกตามไล่ล่าโดยมือปืนสี่สิบคน ถ้าเป็นจอห์น เวยน์แล้วละก็ ผมว่ามันจะไม่ดูเกินความจริงไปอย่างแน่นอน



คุณให้ความสนใจกับนักเขียนนวนิยายตะวันตกรุ่นเก่าๆ เช่น เซน เกรย์ และเจมส์ เฟนิมอร์ คูเปอร์ บ้างหรือเปล่า

สนใจมาก ผมอ่านเรื่องของพวกเขามากเท่าๆกับของคนอื่นๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงเท่า มีนักวิจารณ์วรรณคดีตะวันตกจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าวรรณคดีตะวันตกเริ่มต้นที่ โอเวน วิสเตอร์ ซึ่งที่จริงแล้วเขายังมาทีหลัง มีนักเขียนหลายคนเริ่มต้นเขียนก่อนหน้านี้แล้ว

คุณได้รับอิทธิพลจากนักเขียนเหล่านั้นหรือไม่

คิดว่าไม่นะ สิ่งที่มีอิทธิพลต่องานเขียนของผมก็คือเรื่องราวที่ผมได้ยินมาในวัยเด็ก

ปกติแล้วคุณแบ่งเวลาทำงานในแต่ละวันอย่างไร

ส่วนใหญ่ ผมจะตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า แล้วเริ่มทำงานตอน 7 โมง ผมนั่งทำงานหน้าเครื่องพิมพ์ดีดตลอดทั้งเช้า หลังอาหารกลางวัน ผมก็อาจทำงานอีกสักชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง หรือไม่ก็อ่านหนังสือทั้งวัน ผมชอบอ่านนิตยสารหลายฉบับ มันทำให้ผมรับรู้ความเคลื่อนไหวว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ไหนบ้าง (บางทีมีคนถามผมว่านักเขียนคนโปรดของผมคือใคร ซึ่งผมจะตอบไม่ได้เพราะคนที่ผมโปรดปรานมีเป็นหมื่นๆคน)

เรื่องที่ผมอ่านส่วนใหญ่มักเป็นเค้าโครงแรกของนวนิยายของผม หลายครั้งที่ผมอ่านประวัติศาสตร์แล้วได้ไอเดียขึ้นมา ผมก็จะค้นคว้าเรื่องนั้นจากหนังสืออีกสิบๆเล่ม ผมจึงเขียนนิยายออกมาได้ ผมไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อหาไอเดียเขียนนิยาย แต่ผมจะอ่านไปเรื่อยๆ เรื่องราวต่างๆ จะค่อยปะติดปะต่อในใจผมเอง

ที่ผมชอบอ่านมากอีกอย่างคือไดอารี่ หลายคนอาจมองข้ามไป แต่สำหรับผมแล้วไดอารี่เป็นหลักฐานอ้างอิงที่แสดงถึงวิถีชีวิตขอบชาวตะวันตกในเกือบทุกๆด้าน ในบรรดาไดอารี่ต่างๆ เรื่องของ Oregon Trail นับเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุด



ไดอารี่เกี่ยวกับ Oregon Trail มีลักษณะอย่างไร ทำให้ผู้อ่านสะเทือนใจไปกับชีวิตอันลำเค็ญของผู้บุกเบิกในสมัยนั้นหรือ

ส่วนมากไม่เขียนบรรยายถึงความยากลำบากในการดำรงชีพ แต่จะเน้นไปที่เรื่องงานประจำวันมากกว่า คนส่วนใหญ่ไม่มีพรสวรรค์ในการเขียนหนังสือเลย ไดอารี่บางเล่มเขียนอย่างตรงไปตรงมา ไม่น่าอ่านนัก แต่ก็เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จจริงที่สำคัญๆ ในสมัยนั้น ซึ่งจะดึงดูดความสนใจเราได้ไม่น้อย คนที่เขียนไดอารี่ก็มีมากมายหลายประเภททีเดียว

คุณเคยรู้สึกไหมว่า การเขียนนิยายอ้างอิงประวัติศาสตร์ ทำให้อิสระในการเขียนของคุณน้อยลง

ไม่เลย สำหรับผมคิดว่าความจริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

มีบางแง่มุมในงานเขียนของคุณที่ดูคล้ายกับว่า ไม่ได้มีเค้าโครงมาจากความจริง เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่มักดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์สวยงาม ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในสมัยก่อน ในสมัยนั้นจะมีผู้หญิงอยู่สองประเภท คือพวกผู้หญิงก๋ากั่น กับพวกกุลสตรี ผู้หญิงที่เป็นกุลสตรีสามารถเดินทางไปไหนไกลๆได้ในเขตตะวันตก โดยไม่ต้องกลัวอันตรายเลย ไม่มีใครรู้จักคำว่าข่มขืน เพราะไม่เคยปรากฎเลยว่ามีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น

ผมเขียนเรื่องเซ็กซ์ในหนังสือของผมพอๆกับที่ชาร์ลส์ ดิกเคนส์เขียนในหนังสือของเขา แต่เราทำให้เหมือนกับว่าเราเพิ่งค้นพบเรื่องพวกนี้ เหมือนเด็กผู้ชายที่ชอบแอบซุ่มหลังยุ้งข้าว เพื่อเล่าเรื่องสัปดนให้กันฟัง ชาวตะวันตกก็มีความสัมพันธ์ทางเพศเหมือนกับคนอื่นในยุคอื่นๆ แต่พวกเขาไม่เห็นความสำคัญของมันถึงขนาดต้องจดจำหรือเล่าให้ฟังสืบต่อกันไป

ย้อนกลับมาเรื่องอินเดียนแดงหน่อย อินเดียนแดงถูกวาดภาพให้เป็นพวกป่าเถื่อน โหดร้าย หรือไม่ก็เป็นพวกไร้อารยธรรม ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ทั้งสองอย่าง คุณมองพวกเขาอย่างไร

อินเดียนแดงถูกป้ายสีให้ผิดไปจากความเป็นจริง พวกเขามีวิถีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ เช่นการประกาศเกียรติยศก่อนออกรบ ปัญหาสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวอินเดียนแดงกับรัฐบาลอเมริกันคือพวกเขามาจากพื้นเพที่แตกต่าง จึงก่อให้เกิดความไม่เข้าใจกันขึ้น

เช่น หากคุณได้ยินชาวอินเดียนแดงพูดว่า “ชาวอินเดียนแดงไม่เคยละเมิดคำสัญญา” ซึ่งคุณอาจเห็นว่า ไม่จริงเด็ดขาด ชาวอินเดียนแดงผิดสัญญานับพันๆครั้ง โดยไม่รู้สึกว่าผิดคำสัญญา เนื่องจากสำหรับพวกเขาแล้วถือว่าชาวอินเดียนแดงคนไหนที่ไม่ได้อยู่ในพิธีประกาศสัญญา ก็ถือว่าไม่ต้องมีพันธะต่อสัญญานั้น แต่ชาวผิวขาวไม่เข้าใจพวกเขาคิดว่า หัวหน้าเผ่าจะต้องป่าวประกาศให้ชาวอินเดียนแดงทุกคนรับรู้และปฏิบัติตาม เหมือนกับที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ปราศรัยแก่ประชาชน

ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ตำแหน่งหัวหน้าเผ่าได้มาจากความสามารถ ถ้าคุณเป็นนักรบประจำเผ่า แล้วหัวหน้าเผ่าสั่งให้คุณทำอะไร คุณจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณยอมรับนับถือหัวหน้าเผ่าของคุณหรือไม่ ถ้าคุณไม่ทำตามคำสั่งของเขาก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิของคุณ

นอกจากนั้น ชาวอินเดียนแดงไม่เคยถือสิทธิ์ครอบครองแผ่นดิน พวกเขาไม่เข้าใจเมื่อชาวผิวขาวแสดงหลักฐานว่าเขาครอบครองที่ดินนั้นอย่างถูกกฎหมาย เมื่อชาวผิดขาวขอซื้อที่ดิน พวกเขาก็คิดว่าการขายแผ่นดินนั้นก็เหมือนกับการขายแผ่นฟ้า หรือคือการอนุญาตให้ชนผิวขาวเข้ามาล่าสัตว์ได้ในที่ที่เขาครอบครองอยู่ เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนทำให้ชาวอินเดียนแดงถูกเข้าใจผิด หลายครั้งที่พวกเขาแสดงความโหดร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ และก็กล้าบ้าบิ่นอย่างเหลือเชื่อเช่นกัน เช่นครั้งหนึ่งมีนักรบผู้กล้าชาวอินเดียนแดงคนหนึ่ง ขี่ม้าลุยเข้าประจันกับทหารม้าทั้งกองที่ระดมยิงใส่เขาตามลำพัง เพื่อแสดงความกล้าหาญ

ถามเรื่องนักแม่นปืนบ้าง ผู้ชายประเภทไหนที่จะเป็นนักแม่นปืนได้

ผมเคยอธิบายเรื่องนี้ไว้แล้วในหนังสือเล่มเล็กๆ ชื่อ To Tame the Land บางคนเกิดมาก็เก่งกว่าคนอื่นตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่คนประเภทเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์นี้มีอยู่น้อยมาก คนที่จะเป็นนักแม่นปืนได้ต้องอาศัยทักษะและการฝึกฝน ผมรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งที่เคยขี่ม้าคู่กับบิลลี่ เดอะ คิด ในสงครามมณฑลลินคอล์น เขาเล่าให้ผมฟังว่าเขายิงปืนเข้าเป้าได้แม่นกว่าบิลลี่ เดอะ คิด เสียอีก แต่ว่าในการสู้รบจริงๆ เขาเทียบบิลลี่ เดอะ คิด ไม่ติดฝุ่นเลย การยิงเป้านิ่งกับยิงของจริงที่ต้องถูกยิงตอบโต้นั้น มันคนละเรื่องกัน

มีอยู่อย่างหนึ่งที่นักแม่นปืนควรจะตระหนักไว้ก็คือ การชักปืนไว้ไม่สำคัญเท่ากับการยิงนัดแรกให้แม่นหรอก

หมายความว่า การยิงนัดแรกให้ถูกเป็นเรื่องยากมาก

ถูกต้อง หลายครั้งที่นักแม่นปืนชักปืนได้รวดเร็ว แต่กลับยิงนัดแรกโดนฝุ่นกระจุย แล้วเขาก็จะหมดโอกาสยิงนัดต่อไป โดยทั่วไปแล้วมีนักแม่นปืนอยู่สองประเภทที่พบเห็นกันอยู่ ประเภทแรกคือพวกเสือซ่อนเล็บ พวกนี้จะไม่ค่อยหาเรื่องราวกับใคร แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาล่ะก็ เขาจะจัดการทุกอย่างได้จนอยู่หมัด ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือพวกที่คอยถือปืนออกท่าออกทางว่าข้านี้แน่นัก ใครอย่ามาเสี่ยงกับลูกปืนข้า แต่ถ้าลองท้าดวลกับเขา พวกนี้จะไม่กล้าดวลกับคุณหรอก คุณจะต้องรู้ว่า จะรับมือกับคนประเภทไหนอย่างไร คนที่อ่านใจผู้อื่นได้ทะลุปรุโปร่งย่อมเป็นจอมคน บางครั้งอาจมีหนุ่มเลือดร้อนอยากลองวิชาเข้ามาหาเรื่องในเมือง ยิงปืนขึ้นฟ้า ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ตั้งใจทำอันตรายคนหรอก ถ้าคุณเพียงแต่รู้จักวิธีรับมือพวกเขา คนที่เป็นยอดคนย่อมมีวิธีบอกให้พวกเขาเก็บปืนแล้วไสหัวออกไปจากเมืองนี้แต่โดยดี ข้อสำคัญคือคุณต้องตระหนักว่าคุณกำลังพูดกับใคร และจะจัดการอย่างไร

เป็นเรื่องแปลกที่นักแม่นปืนเก่งๆ มันจะอยู่ข้างกฎหมาย มีไม่กี่คนหรอกที่เป็นพวกผิดกฎหมาย และมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นสิงห์การพนัน

คุณคิดว่าลักษณะเด่นของชาวตะวันตกเป็นอย่างไร

คนตะวันตกมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก เขาจะดำเนินชีวิตบนเส้นทางที่เขาเลือกเองเท่านั้น แม้ว่าในปัจจุบันเขาจะขี่รถจี๊ป แต่เขาก็ยังดูแลม้าอยู่

คุณคิดว่าอะไรทำให้คนอ่านชื่นชอบและติดตามผลงานคุณ

ส่วนหนึ่งก็เพราะผมพยายามให้ความบันเทิงพวกเขา นักเขียนทุกคนต้องตระหนักว่า ถ้าปราศจากความบันเทิงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ก็จะไม่มีใครอยากอ่านเรื่องของคุณเลยแม้แต่คนเดียว ปัจจุบันมีสิ่งต่างๆมากมายให้เขาเลือกทำแทนการอ่านหนังสือ ดังนั้น จะไม่มีใครอ่านหนังสือของคุณถ้าเขารู้สึกว่าไม่สนุก เมื่อคุณใช้ความบันเทิงดึงดูดผู้อ่านในสนใจหนังสือคุณได้แล้ว การสอดแทรกเรื่องราวอื่นๆ ลงไปให้เขาอ่านก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนที่ซื้อหนังสือของผมย่อมคาดหวังว่าจะได้อ่านเรื่องสนุกๆ ซึ่งเขาจะหาอ่านจากงานของนักเขียนคนไหนก็ได้ ผมจึงต้องมีอะไรเป็นพิเศษเสนอให้แก่ผู้อ่าน เช่น พยายามเล่าประวัติศาสตร์ให้พวกเขารู้ว่า ประเทศแห่งนี้เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ผู้คนมีชีวิตอยู่กันอย่างไร กินอะไรกัน และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยซึ่งทำให้ผู้อ่านเกิดความอยากรู้อยากเห็น

งานของผมคือการอ่านและแปลความหมาย และถ่ายทอดสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ ผมมีโอกาสในการศึกษาค้นคว้า ในขณะที่นักเขียนหลายคนไม่ได้ทำ นักเขียนหลายคนหลงลืมไปว่าการเล่าเรื่องเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ และยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดงานเขียนก็คือการแบ่งปัน