ยอดเยาวมิตร
ฉันนั่งอยู่ตรงตะวันจูบอำลาขอบฟ้า สถานที่ซึ่งถูกเรียกว่าสนธยากาล ที่ตรงนี้เวลาหยุดเคลื่อนไหว เข็มนาฬิกาพักผ่อนหลังกรำงานมาชั่ววัน สถานที่ซึ่งสายลมตะวันตกไล่ติดตามกองเกวียนแห่งวัยชราอย่างรีบเร่ง ไกลออกไปตรงกลุ่มเมฆเรือง เหล่านกฟ้าบินเรียงตามจ่าฝูง ท้องฟ้าเรื่ออำพันตลอดปี สถานที่แห่งนี้มีรอยเชื่อมต่อของตะเข็บเวลาซึ่งเต็มด้วยหลืบร่องให้ฉันใช้เดินทางเข้า-ออกไปที่โน่นนี่ตามแต่ใจชักพา
บ่อยครั้งฉันไปหาเธอ
ยอดปิยมิตร..ในห้องสี่เหลี่ยมลูกบาศก์แห่งความฝัน เต็มด้วยระไอหมอกหม่นมัว กลิ่นหอมอ่อนคล้ายโชยจากเรือนผมเพิ่งสระ ฉันพบเธอนั่งก้มหน้าอยู่กับแป้นพิมพ์ ขมวดคิ้วจ้องมองจอภาพฝ้าขาว นิ้วโป้งกระดกเคาะคีย์เบา ๆ คล้ายกระสับกระส่ายรอการมาถึงของถ้อยคำซึ่งพลาดตกรถไฟขบวนก่อนหน้า
ฉันยิ้มมอง
นึกขำที่เห็นเธอเพ่งสมาธิจดจ่อกับผู้คนในจอ ไม่สะกิดใจสักนิดว่าฉันเขยิบเข้าใกล้ ฉันยื่นหน้าเหนือไหล่เธอ มองตัวอักษรเคลื่อนไหวเป็นภาพชีวิตผู้คนที่เธอสร้างขึ้น ยิ้มมองด้วยความชื่นชม..ฉันชื่นชมเธอเสมอมา
นานเท่าไรแล้วที่เรือกระดาษลำน้อยล่องลอยในทะเลอักษร
เมื่อออกเดินทางฉันมีสหายร่วมลำเรือไม่มาก แต่ก็มากพอประโลมใจว่าการเดินทางจะไม่เงียบเหงา เวลานั้นครึกครื้นใช่น้อย เราร้องรำทำเพลง เรากินเราดื่มท่ามแสงนวลแข ขณะคนหนึ่งประเลงพิณ อีกคนลุกขึ้นเอื้อนเอ่ยบทกวีเย้ยจันทร์ ผ่านคืนสู่ทิวาวาร เราช่วยกันชักใบเรือ ดันคานใบหันรับลม เดินทางผจญท้องทะเลเวิ้งว้าง หมายไปยังจุดหมายซึ่งไม่มีเลยสักคนในกลุ่มเรารู้ว่าคือที่ใด รู้เพียงเราจะเดินทางไป ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทางโดยปล่อยให้ปลายทางเป็นภาระของสายลมแห่งโชคชะตา
ฉันยังจำคืนดึกที่เราโดนพายุกระหน่ำ คลื่นยักษ์ปั่นป่วนยกเรือเราโยกโยนจะคว่ำมิคว่ำแหล่ ยอดคลื่นสูงจนแหงนคอมองขวัญแขวน ทะมึนซัดทีโหนเหนี่ยวเรือไว้แทบไม่ทานแรง พวกเราเปียกปอนผมเผ้าลู่อุ้มน้ำทะเลปนฝน ส่งเสียงตะโกนแข่งคลื่นช่วยกันยื้อคันคานชักใบลงผ่อนแรงลม ค่ำนั้นหลังคลื่นสงบ พวกเราสลบไสลไปทั้งเนื้อตัวชุ่มน้ำ
แสงอรุณฉานอยู่ตรงขอบฟ้า
เราพาเรือเทียบท่า ตระหนกหนักเมื่อพบว่าหลายคนสมัครใจขึ้นฝั่ง การเดินทางไปในเวิ้งทะเลว่างเปล่ามิมีสิ่งใดยวนใจอีกต่อไป จากนั้นก็ทยอยหายไปทีละคนเมื่อเทียบท่าถัด หายไปในกระแสสังคมและซอกหลืบระหว่างตึกสูงแทนฟันฝ่าพายุเปลี่ยวเยี่ยงนักผจญคลื่น
จนเหลือลำพัง ฉันตัดสินใจไม่แวะท่า ไม่กลับเข้าฝั่งอีกต่อไป
เรือกระดาษลอยคว้างไปในทะเลคราม นานครั้งมีนกนางนวลละยอดคลื่นบินมาวนส่งเสียงร้องทัก ฉันป้องมือเงยมองฝ่าแผดแดดจัดจ้าของเที่ยงวัน ริมฝีปากแห้งผาก พยายามยันกายแต่สิ้นแรงขยับเขยื้อน เสียงร้องแผ่วหาย เจ้านางนวลบินจากไป เหลือแต่เสียงคลื่นกระทบขอบเรือ เสียงเพลงเสียงท่วงทำนองบทกวีดังแว่วอยู่ในร่องคลื่น พวกเพื่อนบางเบาโปร่งใสจ้องมองฉันด้วยแววตาฉงน บางคนถึงกับถามว่าจะไปต่อทำไม เท่าที่พบนับว่ามากพอแล้ว ไยไม่กลับเข้าฝั่ง กลับคืนสู่ชีวิตจริง เรือลำนี้เสากระโดงนี้ ผ้าใบเปื่อยยุ่ยนี้ไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างเป็นแค่ภาพฝัน
ยอดปิยมิตร
ฉันกะพริบตาให้แน่ใจว่าที่เห็นนั้นภาพลวง พยายามขยับลุกแต่ไร้แรง เบ็ดใช้จับปลาพอได้ประทังท้องแต่ละมื้อว่างเปล่าตั้งแต่เช้าวาน หลายครั้งฉันทบทวน ฉันกำลังทำอะไร มาทำอะไรอยู่ในทะเลเวิ้งว้างนี่ ไยไม่กลับไปหาที่นอนอุ่น ๆ ห้องหับมิดชิดสามารถนั่งลงนิ่ง ๆ โดยไม่โยกโคลง แสงแดดอ่อนในสวนยามบ่ายกับกาแฟสักแก้ว หลับติดต่อเนื่องตลอดคืนไม่ต้องระแวงกับเสียงคลื่น
ฉันพยุงกายควานเปะปะหาคานใบ ออกแรงเหนี่ยวคิดปรับทิศทางกลับคืนฝั่ง
แต่แล้วมีเมฆพร้อมลมอ่อน ๆ พัดผ่านมา เป็นเมฆอักษรกลุ่มเล็ก ๆ ขาวสะอาดตา แทนปรับใบเรือกลับเข้าฝั่ง ฉันหันตามเมฆกลุ่มนั้นไป
เรือกระดาษรับลมแล่นฉิวบนยอดคลื่น เรี่ยวแรงกลับคืนทั้งยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง แลเห็นหมู่เมฆสดใสนำไปไกลลิบ มีละอองหมอกลอยต่ำเรี่ยผิวน้ำอยู่ตรงหน้า ฉันติดตามฝ่าเข้าไป อากาศรอบข้างเย็นจัดมองเห็นแค่ยื่นปลายนิ้ว เหมือนพลัดหลงเข้าในตะเข็บเวลา ฉันมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมลูกบาศก์เต็มด้วยระไอหมอกหม่นมัว กลิ่นหอมอ่อนคล้ายเรือนผมหญิงสาวเพิ่งสระ เห็นเธอนั่งก้มหน้าอยู่กับแป้นพิมพ์
ฉันรอรีชั่วครู่แล้วกลับออกมา
เรือแล่นพ้นออกจากกลุ่มหมอก แสงสีอำพันอาบขอบฟ้า หมู่เมฆสดใสยังล่องลอยนำทางอยู่ตรงหน้า
ถึงเวลานี้แม้มีฉันเพียงผู้เดียว เรือกระดาษลำน้อยยังคงเดินทาง ฉันไปหาเธอบ่อยเท่าใจต้องการ และกลับออกมาโดยทิ้งไว้เพียงแผ่วลมหายใจมิต่างวูบลมปลายปีกนางนวล ไม่เคยคิดรบกวนขัดทำลายจังหวะอักษรของเธอ เพื่อฉันจะได้มีหมู่เมฆสดใสไว้นำทาง และนั่งยิ้มมองด้วยความชื่นชม..ชื่นชมเสมอมา ●
@ จดหมายจากดาวสีน้ำเงิน : พบพาน ใช่ผ่านเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น