พระจันทร์โป้งเหน่งสวัสดิ์ขอรับตะละแม่ท่านย่าที่เคารพ

เย็นนี้กินข้าวกับแสงอาทิตย์อัสดงคตยังไม่ทันเสร็จพระจันทร์ท่านก็โผล่เบื้องบูรพา
ขึ้นมาดวงกลมสุกสว่างสะท้อนเงาน้ำริกริก  ข้าพเจ้านั่งมองอยู่เป็นนาน..แสงนวลนั่นไม่ทำลายสายตา  ยิ่งมองยิ่งสบายตา  คิดถึงแม่หญิงนามว่า 'นวล' (อย่างแม่มิ่งขวัญพันท้ายนรสิงห์) ยามนั่งมองจันทร์กระจ่างเช่นนี้  จึ่งได้รู้ซึ้งถึงที่มาแห่งนามนางน้อง  ช่างเป็นการตั้งชื่อที่ลึกซึ้งแยบคายเสียจริงเจียวขอรับ  เพราะไม่ว่าจะห่างร้างเรือนเหย้าไปพำนัก ณ ทุราคมใด  ยามแหงนมองจันทร์เจ้าย่อมมิวายระลึกถึงนิ่มนางร่ำไป

'นวล' ชื่อไพเราะนะขอรับ

ข้าพเจ้าไม่ได้มาคารวะชาท่านเสียเป็นนาน  เหตุด้วยกิจจำเป็นของชีวิตที่ดูเหมือนว่าอสุขารมณ์ทั้งมวลจะพร้อมใจกันมาเยี่ยมเยือนข้าพเจ้าเสียในเวลาเดียวจนหัวกระไดกระท่อมแทบไม่ได้มีเวลาเหือดแห้ง 

ผ่านมานานเท่าไรแล้วขอรับท่านย่า  หนึ่งเดือน  หรือสองเดือน  ขอท่านได้รับรู้เถิดว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตไม่ลงรูปลงรอยเสียจริง ๆ ข้าพเจ้าหวนคิดถึงวันเวลาที่กระทำกิจประจำวันตรงเวลา  ชีวิตเคลื่อนไปกับดวงตะวัน  ผ่านเช้าเที่ยงเย็นค่ำซ้ำเดิม ๆ แต่เปี่ยมด้วยความอิ่มใจ  ด้วยกิจทุกการที่กระทำล้วนเป็นงานที่รัก  วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ยิ้มรับวันไหม่ด้วยความกระตือรือล้น

ช่างต่างกับคืนวันแห่งความป่วยไข้  แลอุปสรรคขวากขวาง  ที่แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างยากเย็นแสนเข็น  นอนหลับนอนตื่นไม่เป็นเวล่ำเวลากิจกระทำพัลวัลพัลเกด้วยสมองที่สูญแล้วซึ่งความผ่องแผ้วทั้งมวล

มองกลับไปก็เป็นเหมือนการฝึกทักษะใช้ชีวิตนะขอรับ

ฝึกอยู่กับคืนวันที่ดี..ฝึกพำนักกับวันคืนที่เลวร้าย  โดยชีวิตยังดำเนินไป  ข้าพเจ้าพยายามอย่างที่สุดแล้วขอรับ  ไม่ว่าจะพบอุปสรรคเยี่ยงไรยังก้มหน้าก้มตาเข็นระแทะอักษรโกโลโกโสเล่มนี้ให้เคลื่อนไป 

ผ่านมาร่วมสองเดือน  ชีวิตข้าพเจ้าเพิ่งกลับเข้าสู่จังหวะของตัวเองวันนี้เองขอรับ  คงใช้เวลาอีกสักหลายชั่วยามที่จะฟื้นจังหวะเดิม ๆ หากทำได้ดังตั้งใจ ทุกหัวค่ำท่านก็จะเจอจอกชาคารวะจากข้าพเจ้าเป็นประจำ  หวังไว้ว่าจะใช้เวลาหัวค่ำหัดขีดเขียนวันละเล็กละน้อย  อาจเป็นร้อยกรองเพื่อตรวจสอบทุพขภิกภัยแห่งถ้อยคำในกะโหลกที่นับวันยิ่งพบว่าขาดแคลนเสียเหลือเกิน(ดังคำแนะนำท่านที่เห็นว่าข้าพเจ้าใช้คำซ้ำอย่างมากมายในกระบี่ฯ เพราะคิดคำอื่นไม่ออกเสียจริง ๆ)  หรือร้อยแก้วสั้น ๆ เพื่อฝึกขยับปลายนิ้วให้เต้นไปในจังหวะคิดหวัง

หายไปนานในช่วงเวลาที่ชีวิตสาหัสเต็มทีก็ด้วยเกรงจะนำทุกขาจารแห่งตนมาบำเรอท่านให้ต้องห่วงกังวล  ยามนี้ชีวิตน้อย ๆ เข้ารูปเข้ารอยแล้ว(หวังว่าเป็นเช่นนั้น) จึงได้หิ้วป้านชา ฉวยผ้าขาวม้ามาปัดหยักไย่ที่ศาลา  ทิ้งตัวอักษรไว้ให้ท่านได้แกล้มน้ำชาต่างขนมไหว้พระจันทร์

พรุ่งนี้เป็นวันชิงเปรตขอรับ  วันทำบุญเดือนสิบของทางใต้ (ยังจำกะปิ ตอน ย่าพากะปิไปชิงเปรตได้ไหม?)

เป็นวันบุญแรก  ถัดอีกสิบห้าวันจะเป็นบุญใหญ่  วันที่ฉากชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน  ผู้เฒ่าจูงมือเด็ก ๆ ประแป้งหน้าขาวเสื้อผ้าใหม่เอื่ยมเดินไปวัด  บรรดาลูกหลานที่จากบ้านไปทำงานต่างเมืองแรมเดือนแรมปีกลับมาพร้อมหน้ากันอีกที  มาร่วมกันทำบุญให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ  ครั้งหนึ่งเคยเป็นวันทำบุญซึ่งมีความสำคัญมากกับผู้คนที่นี่  มาถึงยุคนี้ความเข้มขลังคลายจางลงไปตามแรงเหวี่ยงโลก

ข้าพเจ้าเองการที่หวนกลับไปหาวิถีอดึตทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองแปลกแยก(จนบางครั้งอยากไปอยู่หลวงพระบางให้รู้แล้วรู้รอด) แต่คงปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้นล่ะขอรับ  เพราะข้าพเจ้าเลือกแล้วที่จะดำเนินชีวิตอย่างนี้

เลือกแล้วที่จะกลับไปหาวิถีชนบทอันใช้ธรรม(ชาติ)นำชีวิต
วันพรุ่งข้าพเจ้าจะหิ้วปิ่นโตไปวัด  แต่คงมีเพียงข้าวกับไข่เจียวขะรับ
หลวงพ่อเจอปิ่นโตข้าพเจ้าเข้าต้องยิ้มแฉ่งแน่ ๆ

ดื่มชาขอรับท่านย่า
คารวะ
หลานก้นกุฎี  

k r a t o m t u l e e Din : My Writing Life,

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น